ใบหน้าเยวี่ยเจ๋อหม่นคล้ำ สีหน้าเคร่งเครียดเข้าครอบงำ เขากล่าวขึ้น “ดูแล้ว ข้าคงดูถูกเจ้าเกินไป”
เยวี่ยเจ๋อเข้าใจคู่ต่อสู้ของเขาดี สตรีนางนี้มิใช่ท่านผู้นำที่ไร้ความสามารถดังเช่นคำเล่าลือ หากแต่เป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถมากกว่าเขาหลายเท่า
หากเขาไม่ใช้ความสามารถทั้งหมด การประลองครานี้คงต้องยอมรับกับความพ่ายแพ้
“ระวัง!”
กระบี่สีเงินยามถูกดึงออกจากฝัก เสมือนมีพลังอันบ้าคลั่งรุนแรง พลังนั้นโจมตีไปทางมู่เฉียนซี
“จ๋านยื่อซ่าน!” ผู้เฝ้าชมการต่อสู้พึมพำกับการต่อสู้ของเยวี่ยเจ๋อ
“มู่เฉียนซีช่างแข็งแกร่งนัก ถึงขนาดให้พี่ใหญ่ใช้เคล็ดวิชาของตระกูลเยวี่ย จ๋านยื่อซ่าน”
มู่เฉียนซีพลิกร่างหลบป้องกันตนเอง พลังวิญญาณอันหนาแน่น พลันเปลี่ยนกลายเป็นมังกรยาวสีน้ำเงินเข้าจู่โจมเยวี่ยเจ๋อ
— ตูม! —
เริ่มปะทะกันอีกครั้ง เยวี่ยเจ๋อรีบนำกระบวนท่าสุดยอดวิชาออกมา แต่ทั้งสองคนก็ยังคงตอบโต้ฝีมือทัดเทียมกัน
ร่างของสองคนเร็วยิ่งนัก หนึ่งม่วง หนึ่งฟ้า ผลัดกันตั้งรับบนเวทีการประลอง ทำให้คนที่ดูอยู่เริ่มตาลาย
“ยอดเยี่ยมนัก! ยอดเยี่ยมโดยแท้! ข้าดูการประลองของเหล่าอัจฉริยะมาก็ไม่น้อย ไม่คิดว่าการประลองครั้งนี้ที่ข้าได้ดูจะเป็นการประลองที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้”
“ท่านผู้นำตระกูลมู่ช่างเป็นต้นแบบให้ข้าจริง ๆ เมื่อก่อนใครกันช่างกล้าปล่อยข่าวเล่าลือ ทำให้สามปีของข้าที่ผ่านมา ขาดโอกาสหลายครั้งที่จะได้รู้จักต้นแบบที่แท้จริง”
“…”
สองคนปะทะกันเกือบสิบกว่ากระบวนท่า เสื้อผ้าอาภรณ์เริ่มยู่ยี่ ทั้งเส้นผมยังดูยุ่งเหยิงไปหมด
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “เยวี่ยเจ๋อ ประลองกระบวนท่าสุดท้ายตัดสินแพ้ชนะกันเสียตอนนี้เถอะ”
เยวี่ยเจ๋อกล่าวตอบ น้ำเสียงเข้มขรึม “มู่เฉียนซี เจ้าแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นใด โปรดวางใจ ข้าจะยึดมั่นในคำสัญญา”
เขาขบคิดในใจ รู้สึกได้ว่าตนเองมีความเป็นไปได้หลายส่วนว่าจะพ่ายแพ้
ทั้งสองคนต่างดึงพลังวิญญาณของตนเองออกมาทั้งหมด ระเบิดพลังจู่โจมในการปะทะครั้งรุนแรงที่สุด!
— ตูม! —
เสียงดังสนั่นประหนึ่งผืนแผ่นดินถูกขยับเขย่า บริเวณโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือน
จากนั้น ผู้ชมทั้งหมดก็ได้เห็นร่างเยวี่ยเจ๋อกระเด็นลอยออกไป ทว่าร่างบางสีม่วงยังคงยืนอยู่ในลานประลอง ไม่มีทีท่าถอยหลังแม้เพียงก้าวเดียว
ทุกผู้คนนิ่งอึ้งตะลึงลาน ฉับพลันก็มีคนร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ชนะแล้ว มู่เฉียนซีชนะ นางชนะแล้ว!”
“นางชนะเยวี่ยเจ๋อผู้เป็นอัจฉริยะระดับเจ็ด สวรรค์โปรดบอก นี่มันเกิดเหตุอันใดขึ้น ?!”
“…”
ดูเหมือนผลแพ้ชนะกลับตาลปัตร
แต่เดิมพวกเขาคิดว่าถ้าหากความสามารถของมู่เฉียนซีถึงผู้บำเพ็ญภูตระดับหก อย่างมากปะทะกับเยวี่ยเจ๋อ ผลประลองย่อมเสมอกัน ไม่คิดว่านางจะเอาชนะได้รวดเร็วราวเสกคาถา
เยวี่ยเจ๋อใบหน้าตกตะลึง รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันก็ไม่ปาน
“พี่ใหญ่แพ้ให้กับมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีแข็งแกร่งมาก ฉะนั้นข้าแพ้นางก็ไม่ผิด ให้ตายเถอะ ข้าโดนโบยเสียเปล่า ข้าจะต้องกลับไปหาท่านพ่อเพื่อแก้แค้น”
เยวี่ยซู่ไม่กังวลว่าพี่ชายแพ้การประลองในครั้งนี้ รู้สึกแค่ว่าการที่เขาถูกโบยฟรีนั้นไร้ความยุติธรรม
มู่เฉียนซีเดินมาข้างหน้าเยวี่ยเจ๋อ กล่าวเสียงนุ่มนวล “เจ้าแพ้แล้ว”
“ใช่ ข้าแพ้แล้ว แต่ข้ารู้ เจ้าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด”
น้ำเสียงของเยวี่ยเจ๋อแฝงไปด้วยความระทมทุกข์ เขาพ่ายแพ้อย่างไม่มีข้ออ้าง พรสวรรค์ของหญิงที่อยู่ต่อหน้านี้ช่างน่าสะพรึงนัก
ได้แต่มองหญิงสาวงดงามที่อยู่ตรงหน้า กล่าวขึ้น “มู่เฉียนซี เอ่อ… ขออภัย ท่านผู้นำตระกูลมู่ ข้าจะรีบกลับบ้าน เตรียมสิ่งต่าง ๆ ย้ายมาอยู่ที่บ้านตระกูลมู่โดยเร็ว”
มู่เฉียนซีคิ้วขมวดมุ่น กล่าวขึ้น “ช้าก่อนเยวี่ยเจ๋อ เจ้าน่าจะเข้าใจอะไรผิดไป”
“ข้อแรก ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นน้องชายข้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาเป็นคนรับใช้ เจ้ายังคงเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเยวี่ย อยู่บ้านตระกูลเยวี่ยดีอยู่แล้ว หากข้ามีเรื่องใดจะส่งคนไปบอกเจ้า ไม่จำเป็นที่ตัวเจ้าเองจะต้องย้ายมาอยู่บ้านตระกูลมู่ ถึงแม้ตระกูลมู่ข้าจะไม่ขาดแคลนที่พำนักให้เจ้า”
“ข้อสอง ในเมื่อเจ้าเป็นน้องชายข้า เช่นนั้นให้เจ้าเรียกข้าว่า พี่ใหญ่หรือหัวหน้า ไม่ต้องเรียกผู้นำตระกูลมู่”
เรียกหญิงงามผู้นี้ว่าพี่ใหญ่หรือหัวหน้ารึ ?! ไม่นึกไม่ฝัน นั่นมันไม่เหมือนเรียกว่าท่านผู้นำตระกูลมู่แม้แต่น้อย
ใบหน้าเยวี่ยเจ๋อตะลึงแข็งค้าง มู่เฉียนซีไม่ปล่อยเขาไป
นางยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม กล่าวขึ้น “ให้ความจริงใจหน่อย รีบเรียกพี่ใหญ่เร็วสิ”
เยวี่ยเจ๋อใบหน้าทาบทาความอึดอัดใจ ท่าทีลังเลไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากเรียกในที่สุด “พี่ใหญ่”
พวกเขาตระกูลเยวี่ย แต่ไหนแต่ไรมารักษาคำพูด ไม่มีทางกลับคำ
มู่เฉียนซีนำยาระดับหนึ่งออกมา “เอาล่ะ เจ้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บ กินยาฟื้นฟูนี้เสียเถอะ”
แต่เมื่อเยวี่ยเจ๋อเปิดฝาขวดยา ก็อึ้งไปเลย
“นี่เป็นยาหุยหยวน ฟื้นฟูพลังระดับสอง”
เม็ดยาระดับสอง! หากนำไปบ้านประมูลอันดับหนึ่ง ประมูลขาย เกรงว่าตระกูลเยวี่ยของพวกเขาขายเหล็กก็ยังซื้อยาเช่นนี้เม็ดหนึ่งมาไม่ได้
“ขออภัย ยานี้ข้าใช้ไม่ได้ มันช่างมีค่าเกินไป”
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวขึ้น “อย่าได้กังวล ขอเพียงเจ้าจริงใจติดตามพี่ใหญ่อย่างข้า ยาระดับสองก็นำมากินแทนข้าวได้ไม่มีปัญหา เจ้าอย่าลืมว่าตระกูลมู่ของข้านั้น สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดคืออะไร”
เยวี่ยเจ๋อมุมปากกระตุก ตระกูลมู่ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุด แน่นอน… เงินทอง
นิสัยของผู้นำตระกูลมู่ท่านนี้กับคำเล่าลือที่พูดต่อกันมาช่างแตกต่างกันยิ่งนัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ผลาญทรัพย์!
คนอื่น ๆ ต่างจ้องมองไปที่เม็ดยาในมือของเยวี่ยเจ๋ออย่างริษยา เฮะ! เม็ดยาระดับสอง เยวี่ยเจ๋อแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ผู้นำตระกูลมู่ผู้มั่งคั่งท่านนี้ก็นำเม็ดยาระดับสองออกมา
ระดับการฝึกบ่มเพาะของมู่เฉียนซีพุ่งสูงขึ้นมาก พอ ๆ กับการเพิ่มความสามารถในการผลาญทรัพย์ของนาง
แต่พวกเขาก็อยากจะเกาะขาใหญ่ของมู่เฉียนซีบ้าง “ท่านผู้นำตระกูลมู่ ท่านยังขาดน้องชายไหม ?! รับข้าอีกสักคนเถอะ”
มู่เฉียนซีเมิน ส่ายมือ “ข้า พี่ใหญ่จะกลับบ้านแล้ว มีเรื่องอะไรจะไปหาเจ้า จำไว้ว่าอย่าขาดงาน”
ร่างบางในชุดกระโปรงสีม่วงหายไป มู่เฉียนซีออกไปจากจินอู๋ถาง…
“ไม่ดีแล้ว ไม่ดีเสียแล้ว ท่านหัวหน้า”
หลังการประลองเสร็จสิ้น ผู้ดูแลจินอู๋ถางรีบร้อนเข้าไปหาหัวหน้าของพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้น ?” หัวหน้าถาม
“ผู้นำตระกูลมู่ นางพนันว่าตนเองชนะ ลงพนันหนึ่งล้านเหรียญทองคำ นางชนะจริง ๆ ครั้งนี้พวกเราแพ้อย่างราบคาบ”
หัวหน้าจินอู๋ถางรีบลุกขึ้นทันใด “มู่เฉียนซีลงพนันเยอะขนาดนี้ ให้ผลตอบแทนกี่เท่า ?”
“หนึ่ง ตอบแทนเจ็ด”
— ตุบ! —
หัวหน้าเป็นลมล้มพับในทันใด สภาพไม่ต่างจากผ้าย้วย ๆ ม้วยลงไปกองกับพื้น ท่านประมุขมู่ช่างใจดำมากนัก เหตุใดจึงทำอย่างนี้กับจินอู๋ถางของพวกเขา
ผู้นำตระกูลมู่ใช้เงินเป็นจำนวนมากในการทุ่มทุนลงไป นางทุ่มค่าใช้จ่ายหนึ่งหมื่นเหรียญทองคำในการจองสนามประลองที่ดีที่สุดของจินอู๋ถาง บวกกับเงินที่ข้าราชการคนใหญ่คนโตเหล่านี้วางเดิมพัน วันนี้เขาทำกำไรได้มากมาย
แต่ไม่คาดคิดว่ามู่เฉียนซี สตรีน่าตายจะวางเงินเดิมพันตนเองชนะถึงหนึ่งล้าน จินอู๋ถางของพวกเขาต้องควักเงินให้นางถึงเจ็ดเท่า ช่างใจดำเหลือเกิน
เขาก็คิดอยู่ว่าตระกูลมู่ใช้เวลาระยะสั้นขนาดนี้ แต่มีทรัพย์สมบัติมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ที่แท้ทั้งตระกูลต่างเจ้าเล่ห์เพทุบายกันหมด
หนึ่งสนามการประลองที่ดีที่สุด ได้มีน้องชาย ได้ทองคำไปไม่น้อย ทั้งยังได้ประลองการต่อสู้ ได้รับผลประโยชน์ไม่เลวจริง ๆ
ทุกวันนี้… คนของแคว้นจื่อต่างไม่กล้ามองว่ามู่เฉียนซีเป็นคนที่ไร้ความสามารถแล้ว ฝีมือราวกับปีศาจขนาดนี้ หากนับให้เป็นคนไร้ความสามารถ คนอื่นจะยังมีหน้ามีชีวิตอยู่อีกหรือ ?
……
โอวหยางเหว่ยโมโหจนหน้าเขียว
“ต้องไม่ให้มู่เฉียนซีกำเริบเสิบสานต่อไป ถ้านางได้กินเม็ดยาระดับสูงทุกวัน ครึ่งปีหลัง ความสามารถของนางต้องนำข้าเป็นแน่ ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเป็นอันขาด” โอวหยางเหว่ยกล่าวด้วยความอาฆาตแค้น
……
ทั้งปรุงยาทั้งบ่มเพาะ ทำทั้งสองอย่างไป มู่เฉียนซีดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้ราบรื่นดี
มีสิ่งเดียวที่เสียดายคือยังต้องการสมุนไพรวิญญาณบางชนิดเพื่อมารักษาดวงตาของท่านอาเล็ก แต่ยังไม่มีข่าวคราวมา
“ท่านผู้นำตระกูล วันมะรืนเป็นเทศกาลจื่อหยวน ฮ่องเต้ได้จัดงานเลี้ยงเย็นที่ราชวัง มีบัตรเชิญส่งมา ท่านผู้นำจะไปหรือไม่ ?”
ฮ่องเต้เชื้อเชิญ ถึงอย่างไร นั่นเป็นราชโองการ ไม่ไปก็เหมือนขัดคำสั่งราชโองการ มีความผิดโทษฐานหมิ่นเบื้องสูง ต้องประหารเก้าชั่วโคตร
แต่สถานภาพของตระกูลมู่ค่อนข้างพิเศษ หากมู่เฉียนซีบอกว่าไม่ไป มู่อวู่ซวงก็จะหาวิธีการที่ไม่ให้คนในวังมาวุ่นวายกับนาง
มู่เฉียนซีกล่าว “ไปสิ ข้าไป งานเลี้ยงเย็นในวันเทศกาลจื่อหยวน เรื่องคึกคักขนาดนี้ ข้า ผู้นำตระกูลมู่จะไม่ไปร่วมได้อย่างไร ?”
.