ตอนนี้เหตุการณ์คับขัน ความหวังมีเพียงวิธีเดียวคือ…
มู่เฉียนซีรีบถาม “อาถิง ตอนนี้ข้าสามารถเข้าไปศาลาเลือนรางเก้าชั้นได้ไหม ?”
เพียงแค่เข้าไปหลบในศาลาเลือนรางเก้าชั้น อย่าว่าแต่งูเหลือมโลหิตวิญญาณที่ตามมาจะเป็นสัตว์วิญญาณระดับสี่ ต่อให้เป็นสัตว์วิญญาณระดับเก้าก็อย่าหวังว่าจะหานางพบ
“ความสามารถของเจ้าตอนนี้เพิ่งเปิดศาลาได้ แต่ตอนนี้ร่างกายเจ้าเข้ามาไม่ได้” อาถิงตอบกลับ
จิตใจของมู่เฉียนซีเหี่ยวฟีบดูอาการหนักลง อาถิงพูดขึ้นมาอีก “สตรีน่าตายมาสู้กับมันเถอะ ต่อให้ตาย ข้าก็จะคอยเก็บซากให้เจ้า ไม่ทำให้เจ้าถูกงูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนั้นกินจนหมด เป็นอย่างไร ? ข้าดูเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์พอไหม ?”
“ความตายเฉียดใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าพูดให้มันน่าเชื่อถือหน่อยได้ไหม ?!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยอารมณ์โมโห
เจ้างูเหลือมตามวิญญาณโลหิตที่ตามมาตัวนี้ กลืนกินคนไปสองคนแล้ว ลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรง มันพุ่งตรงไปที่มู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีรีบกระโดดหลบ นำยาพิษที่ตัวเองมีทั้งหมดเขวี้ยงออกไป ใช้พลังวิญญาณที่มีทั้งหมดสร้างการโจมตีรุนแรงที่สุด
นางตะโกนด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “มังกรวารี ไป!”
— ตูม! —
มังกรวารีสีฟ้าตัวหนึ่งตรงไปปะทะกับงูเหลือมตามวิญญาณโลหิต โจมตีโรมรันเข้าด้วยกัน
ถึงแม้ยาพิษจะมาก แต่ร่างกายอันแข็งแกร่งของงูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนี้กลับไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้มังกรวารีจะโจมตีไปถูกจุด แต่พละกำลังยังอ่อนแอเกินไป คงเพราะเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับห้า จึงได้แต่ทำร้ายเจ้างูเหลือมนั้นแค่เกล็ดผิวหนังแผ่นเดียว
เกล็ดที่ผิวตกไปแผ่นหนึ่ง ทำให้เจ้างูเหลือมยักษ์เจ็บแค้นเคืองโกรธมาก
‘เป็นเพียงมดปลวกที่อ่อนแอกลับกล้าที่จะต่อต้านข้า’ มันคิด
“โฮกกกก!” เสียงของมันดังขึ้น ลมพายุพัดไปทางมู่เฉียนซี ทำให้มู่เฉียนซีร่วงตกลงไปที่พื้น
— ตูม! —
มู่เฉียนซีโดนพลังแรงนั้นซัดเข้าที่ไหล่ด้านขวาเต็ม ๆ
— กร๊อบ! —
นางได้ยินเสียงกระดูกของนางหักกร่อน โลหิตไหลออกมามากจากมุมปาก
โลหิตสีแดงสดไปกระตุ้นให้งูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนี้เกิดอาการอยากอาหารขึ้นมา อาหารนี้… พร้อมจะให้กินได้แล้ว
งูเหลือมตามวิญญาณโลหิตอ้าปากที่มีเลือดออกจนกว้าง เลื้อยเข้าหามู่เฉียนซีอย่างแน่วแน่ หวังจะเขมือบมู่เฉียนซีเป็น ๆ ให้กลายเป็นอาหารอันโอชะมื้อใหญ่ครั้งที่สาม
ในขณะที่มู่เฉียนซีมีชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เวลาเปลี่ยนไปในทันใด อยู่ ๆ ก็มีพลังอันรุนแรงปะทะเข้ามา สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเสมือนถูกหยุดนิ่งไว้ก็ไม่ปาน
งูเหลือมตามวิญญาณโลหิตสั่นสะท้านไปตั้งแต่หัวจรดหาง “เป็นไปได้อย่างไร ? สถานที่เล็ก ๆ อย่างนี้จะมีคนที่มีความแข็งแกร่งมากเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร ?”
ร่างกายของมันค่อย ๆ เหี่ยวแห้งลง เหมือนถูกสูบดูดเลือดออกไป
หลังจากนั้น เกล็ดของมัน เนื้อของมัน อีกทั้งร่างกายก็สลายกลายเป็นผุยผงทันที เหลือเพียงกระดูกอันขาวโพลน
ในช่องว่างมิติ อาถิงคิดขึ้นมา ‘ในเมื่อชายผู้นี้อยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง’ หลังจากนั้นอาถิงก็หลับตาพักผ่อนไป
บุรุษผู้โหดร้ายราวเทพเจ้าแห่งรัตติกาลลงมาจากท้องฟ้า ลงมาอยู่ต่อหน้ามู่เฉียนซี
ด้วยการสะบัดมือเพียงหนึ่งครั้ง เจ้างูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนั้นก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตามู่เฉียนซี
ใบหน้าอันงดงามมีเสน่ห์ ดวงตาคู่สีฟ้าราวน้ำแข็งดูเยือกเย็นไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ปรากฏให้เห็นแก่สายตานาง
ยามเมื่อเขาปรากฏตัวนั้น ทุกสรรพสิ่งพลันหม่นหมองลงเพียงเพราะเขา
“จิ่วเยี่ย…” มู่เฉียนซีเรียกด้วยความประหลาดใจ
“ใช่” เขาตอบรับคำของนางเสียงเย็น ๆ ทว่ายื่นแขนมาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นของเขา
“เจ้าบาดเจ็บ”
ยามเมื่อเอ่ยประโยคหลังนี้ น้ำเสียงบุรุษตรงหน้าราบเรียบ ฟังไม่ออกถึงอารมณ์ ทว่ามือของเขายื่นมากำลังจะปลดเปลื้องเสื้อผ้านางออก
“ชะ… ช้าก่อน ข้าเป็นนักปรุงยา บาดแผลของข้า ข้าจัดการเองได้” มู่เฉียนซีรีบพูดเพื่อหยุดการกระทำบุรุษตรงหน้า
เขากอดเอวบางของนางแน่น ให้นางซบเข้ากับหน้าอกเขา ไม่สนว่าเสื้อผ้าสีดำอันวิจิตรของเขาจะแปดเปื้อนไปด้วยโลหิตของนางหรือไม่
เขาพูดออกมาคำหนึ่งอย่างชัดเจนในถ้อยคำ “เร็วเข้า”
ริมฝีปากมู่เฉียนซีกระตุก เขาคิดว่านางจะรักษาแผลในท่านี้ได้หรือ ?
แต่ถ้าจะให้คนผู้นี้ปล่อยมือก็คงเป็นไปไม่ได้ อยู่ยุคปัจจุบันในหน้าร้อน นางยังสวมชุดที่เปิดไหล่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ครานี้พานพบกับอาการบาดเจ็บหนักมาก นางจึงไม่ใคร่จะสนใจแล้วว่าจิ่วเยี่ยยังอยู่ที่นี่
นางรีบลงมือถอดเสื้อผ้าตนเองออก เนื้อผ้าส่วนที่แต่เดิมคลุมไหล่ ตกลงมาที่ไหล่ด้านข้าง
มู่เฉียนซีรีบนำยาเหย้าจี้ห้ามโลหิตออกมาทา ก่อนจะพันผ้าอย่างดี
เคยเป็นหมอปีศาจมาก่อน นางทำทุกขั้นตอนแทบไม่ต้องมีเวลาหายใจ แน่นอนมันเหมาะกับคำว่า ‘เร็ว’ ของซวนหยวนจิ่วเยี่ยคำนั้น
มองไหล่ที่ขาวดั่งหยก แววตาสีฟ้าของจิ่วเยี่ยก็ดูลึกลับขึ้น ยาลูกกลอนถูกส่งมาให้นาง “กินสิ”
“ตัวข้าเป็นนักปรุงยา ตัวข้าย่อมมียาลูกกลอนอยู่”
มู่เฉียนซีกำลังควานหายาของนางเอง พลันรู้สึกว่าริมฝีปากของนางรู้สึกเย็น ๆ มือยาวของซวนหยวนจิ่วเยี่ยนำยามาสัมผัสริมฝีปากนาง เขาพูดออกมาคำหนึ่งด้วยเสียงอันเยียบเย็นระคนแข็งทื่อ
“กิน”
มองแววตาที่ดูอันตรายคู่นั้น มู่เฉียนซีคิดว่าหากนางปฏิเสธไป สภาพนางอาจเป็นดั่งเช่นงูเหลือมตัวนั้น ที่เหลือแค่กระดูก
มู่เฉียนซีหยิบยาจากมือเขามากินอย่างไร้ทางเลือก นางจำต้องว่าง่าย เมื่อตัวยาได้ถูกกลืนเข้าไป นางก็ต้องตกใจ
“นี่มัน… ยาวิญญาณระดับเก้า!”
ถึงแม้ว่านางจะมีพรสวรรค์ทางการปรุงยามาก ฝีมือปรุงยาระดับสามของนางดี นางปรุงออกมาได้มีผลการรักษาดีกว่าของคนอื่น แต่ผลนี้เทียบไม่ได้เลยกับยาที่มีระดับสูงกว่าดังเช่นยาระดับเก้าที่นางเพิ่งกลืนลงคอไปนี้
ทั้งแคว้นจื่อเยี่ย มียาระดับสองเม็ดหนึ่งก็ถือว่าสุดยอดแล้ว …ทว่านี่ระดับเก้า น่าอัศจรรย์ใจดีแท้!
เขานำยาระดับเก้ามาให้นาง อ๋องของแคว้นจื่อเยี่ยที่ไม่มีอำนาจใด ๆ อย่างเขาสามารถนำยาระดับเก้าออกมาได้หรือ ?
มู่เฉียนซีมองชายที่นางลอบเรียกว่า ‘เจ้าก้อนน้ำแข็ง’ ที่อยู่ด้านหลัง เจ้าก้อนน้ำแข็งในเวลานี้ ใบหน้าของเขางดงามหมดจด ความเยือกเย็นของเขาทำให้ผู้คนได้แต่มอง ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะชอบปล่อยคลื่นลมที่แฝงอันตรายออกมา
“จิ่วเยี่ย ตอนนี้ข้าทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้า… เอ่อ… สามารถปล่อยข้าได้แล้ว…”
มู่เฉียนซียังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคำพูดสองคำของจิ่วเยี่ยตัดบท
“ฟื้นพลัง…”
ปากของมู่เฉียนซีกระตุกอีกหน เขาต้องการจะกอดนางจนกว่านางจะฟื้นฟูพลังจนหายสนิท
ถูกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลอันร้ายกาจของแคว้นจื่อเยี่ยโอบกอด อยู่ในอ้อมกอดของชายที่แม้แต่มือที่ยังไม่ได้กระดิกก็ทำให้สัตว์วิญญาณระดับสี่สูญหายไป หัวใจของนางอดเต้นเป็นจังหวะโครามครามขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ได้ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะสังเกตถึงแรงหัวใจเต้นนี้
ไม่ได้การ! ต้องรีบหาหัวข้อสนทนามาเบนความสนใจอย่างเร่งด่วน
“จิ่วเยี่ย เหตุใดเจ้าถึงมาที่ป่าเทียนหวงนี้ได้ ?”
“แบบเดียวกับเจ้า”
“อ้อ”
เขาเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาของแคว้นจื่อเยี่ย ถึงแม้การสอบสนามแรกเขาจะส่งกระดาษเปล่า และยังริอ่านสละสิทธิ์ในสนามสอบครั้งที่สอง แต่ทางสำนักศึกษาก็ไม่กล้ายกเลิกการมีสิทธิ์เข้าสอบสนามที่สามของเขา
พูดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียนซีไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี สองคนที่อยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ มันชักจะแปลก ๆ ไป บรรยากาศเริ่มเงียบกริบ
แต่ก็นับว่าโชคดี ฤทธิ์ของยาระดับเก้าแรงมาก ทำให้มู่เฉียนซีไม่ต้องรอนานจนเกินไป
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าฟื้นฟูพลังแล้ว …ฟื้นฟูหมดเรียบร้อย”
“ยัง”
เสียงเรียบ ๆ ทว่าแผ่วเบาสวนมา
มู่เฉียนซีแทบอยากจะเดินจากไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ทำไม่ได้ เหลืออีกเพียงนิดเดียวจะฟื้นฟู แค่อีกนิดเดียวเอง
ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่อีกนิดเดียว แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาสักพัก
มู่เฉียนซีรอแล้วรออีก สุดท้ายรอไม่ไหวจนเผลอผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของซวนหยวนจิ่วเยี่ย
จิ่วเยี่ยเห็นนางนอนหลับไม่ค่อยจะสนิท มุมปากก็มีรอยยิ้มขึ้น สายตาที่ดูเหมือนไม่มีอุณหภูมิก็เหมือนดั่งปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ที่หาได้ยาก
มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาอีกทีบาดแผลก็ดีขึ้นมากแล้ว นางกล่าวขึ้นว่า… “ตอนนี้เจ้าน่าจะสามารถปล่อยมือได้แล้วนะ”
แต่จิ่วเยี่ยยังคงนิ่งเฉย ที่สำคัญ เขามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง
ตอนนี้นี่เอง ทั้นใดนั้นปรากฏเงาสีขาวพุ่งตรงมาทางมู่เฉียนซี
.