“ข้ามู่ซี มู่หรง หยางซี” ถึงแม้นางจะใช้ใบหน้าของอาถิง นางก็ควรใช้ชื่อที่เรียบง่ายของตัวเอง
มู่เฉียนซีกล่าวออกไปอย่างเกียจคร้าน “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าต้องกลับไปพักผ่อน เจอกันพรุ่งนี้”
กล่าวจบ นางจากไปอย่างรวดเร็วราวลมกรด น่าหลานอวี้อยากจะยื้อเขาไว้ต่อแต่ไม่รู้จะหาอะไรมาเป็นข้อกล่าวอ้าง
“นายน้อย… ท่าน… ท่านยังสบายดีอยู่ไหม ?” หมอไป๋ถาม
ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าคุณชายตัวน้อยรูปงามผู้นั้นลอบใส่ยาพิษอะไรกับนายน้อยของเขาหรือไม่ เหตุใดถึงทำให้นายน้อยเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่นายน้อย ทว่านายน้อยเขาก็ยังดูเหมือนนายน้อยคนเดิม เพิ่มเติมคือแววตาเคลิ้มลอย
“ข้าไม่เป็นไร ยังสบายดี”
“นายน้อย ท่านต้องการให้คนไปสืบเรื่องคุณชายมู่ไหมขอรับ ?” หมอไป๋ถาม
เขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมู่ซี มู่หรง หยางซีมาก่อน มิทราบเลยว่าในแคว้นจื่อเยี่ยมีชายหนุ่มประหลาดผู้นี้อยู่ ทั้งยังเป็นหมอปรุงยา เชี่ยวชาญยาพิษที่แปลกประหลาดอีกด้วย
“ไม่จำเป็น มู่ซีไม่ชอบให้ใครตรวจสอบเขาหรอก เชื่อข้าสิ”
“นายน้อย วันนี้ท่านทำเกินไปหรือไม่ ฮั่วต้าซือจะสามารถจัดการได้ไหม ?”
“บุคคลที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็ได้เป็นหมอปรุงยา สมควรได้รับการไว้วางใจ อีกสามวันหลังจากมู่ซีมา ให้เจ้ารีบรายงานข้าเป็นอันดับแรก” น่าหลานอวี้เอ่ยสั่งเสียงเรียบ
หมอไป๋ถึงกับมุมปากกระตุก ยังไม่ถึงยี่สิบก็เป็นถึงหมอปรุงยาขั้นพื้นฐาน ในจื่อเยี่ยแทบไม่เคยปรากฏ ทว่าที่เซี่ยโจวใช่ว่าจะไม่มี แต่ไม่เคยเห็นนายน้อยกระตือรือร้นมากมายถึงเพียงนี้เลย
ทันใดนั้น เขารู้สึกไม่ดี
“ในที่สุดก็ออกมา เจ้าเด็กน้อย เจ้าทำให้พวกข้ารอนาน” มู่เฉียนซีใส่หมวกที่คลุมด้วยผ้าแพรออกจากบ้านประมูล คนสามสี่คนบ่นพึมพำตามออกไป
มู่เฉียนซีแฝงแววตาเย็นชา หันหลังเดินไป ไม่ได้เดินตรงไปจวนตระกูลมู่ แต่เลี้ยวเข้าซอยลึกอีกซอย
นางหันตัวกลับมาและพูดว่า “ถ้าจะปล้นก็มาปล้นตรง ๆ อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”
วันนี้นางประมูลของดีได้มากมาย แน่นอนว่าต้องมีหลายคนอิจฉาตาร้อนและทำตัวไม่มีสมอง ไร้หัวคิด
คนฉลาดจะไม่กล้าแตะต้องคนที่อยู่ชั้นห้า เช่น องค์รัชทายาท โอวหยางเหว่ย คนที่มาไม่ใช่คนของพวกเขาทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกผิดหวัง
กลุ่มคนที่กระโดดออกมาอยู่ในระดับจอมยุทธ์ มีผู้หนึ่งแค่นเสียงแข็งกร้าว “เจ้าเด็กนี่มิใช่ผู้มีวรยุทธ์สูง ซ้ำร้ายยังวางท่าทางโอหัง”
“เหอะ! เด็กนี่อายุก็ยังไม่มาก จะร้ายกาจไปได้สักแค่ไหน”
“พูดมาก!” มู่เฉียนซีแค่นเสียงใส่ มือไม้ขยับเตรียมลงมือ ระดับผู้บำเพ็ญภูตขั้นสี่ทำให้คนพวกนี้ลำพองคิดว่าตนแน่กว่าผู้ใด
“ข้าคิดว่าเจ้านี่จะเก่งกาจมาจากไหน แค่ระดับสี่เท่านั้นเอง จะเอาสิ่งใดมาสู้ ? พวกเราจับมันเอาไว้ ให้มันเอาของออกมา!”
พวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไร ที่พื้นด้านล่างเงากระดูกพลันปรากฏขึ้นมา พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยโครงกระดูกสีแดงคล้ายกับย้อมไปด้วยโลหิต
— แคร็ก! —
เวลานี้ โครงกระดูกเลือดสีแดงเข้าใกล้พวกเขาและเริ่มโจมตี
“อ๊า! ผี นั่นผี!”
ใครสักคนกรีดร้อง ‘กรี๊ด’ ราวกับกะเทย อยากจะวิ่งหนี ทว่าโครงกระดูกพวกนี้ว่องไวมาก พวกเขายังไม่ได้วิ่งหนีก็ถูกสังหารจนสิ้น
หากแต่โครงกระดูกตนนี้ ดูแล้วคุ้น ๆ
บนหลังคาไม่ไกลนักมีร่างของชายในเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ ดวงตาเผยความมืดมิดประดุจห้วงรัตติกาล
สายลมยามราตรีพัดผ่านเบา ๆ จนทำให้เส้นผมพลิ้วไสวไปตามสายลม นัยน์ตาเยือกเย็นสีฟ้าคู่นั้นจ้องตรงมายังร่างของมู่เฉียนซี พริบตาเดียวโครงกระดูกที่อยู่ต่อหน้าก็หายวับไป ไม่แม้แต่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ ร่างของชายที่เปรียบดั่งมัจจุราชก็อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีมุมปากกระตุก “อย่าบอกนะ… ว่าเขาแค่เดินผ่านมาเท่านั้น”
เขาแค่มองก็รู้ว่านางปลอมเป็นอาถิงได้ในพริบตา อาถิงจะรู้ไหมว่าเขาสามารถจำได้
ชายผู้นั้นลึกลับเหมือนหลุมดำก็ไม่ปาน มู่เฉียนซีรู้สึกว่านางไม่ควรประมาทจนกว่าตนเองจะแข็งแกร่งขึ้น นางไม่ต้องการสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น
มู่เฉียนซีกลับมาที่ตระกูลมู่เพื่อพัก กระทั่งรุ่งสางก็ยังไม่ออกจากประตู
“มู่เฉียนซี เจ้าเด็กนั่นต้องแพ้อย่างแน่นอน” หนึ่งในผู้เฒ่ากล่าว ใบหน้าฉาบทาความปีติ
“ใช่! นางไม่ได้ทำอะไรเลยในช่วงสามวันมานี้ ข้าไม่เชื่อว่าสามล้านเหรียญทองคำจะหล่นลงมาจากฟากฟ้า”
“…”
สามวันได้มาถึงกำหนดแล้ว เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายต่างพากันมาแต่เช้า พวกเขาแทบทนรอไม่ไหวที่จะเห็นมู่เฉียนซีพ่ายแพ้เดิมพัน หลังจากนั้นพวกเขาจะสั่งสอนนางเสียหน่อยเป็นไร
พวกเขารอมาเป็นเวลานานแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่ามู่เฉียนซีจะโผล่มา
“สตรีน่าตายนั่นมาสายอีกแล้ว”
“นางคงไม่คิดจะเบี้ยวหรอกนะ”
“กระดาษขาวตัวอักษรดำ นางจะเบี้ยวไม่ได้ ก่อนเที่ยงถ้านางยังไม่มา พวกเราจะไปตามนางเอง”
ผู้เฒ่าหลายคนรอไม่ไหวเตรียมพากันไปเรือนที่พักของมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีก็มาพอดี
นางยืนที่หน้าประตูอย่างสบาย ๆ ก่อนจะเอ่ยคำ “โอ๊ะโอ… ท่านผู้เฒ่าทั้งหลายขยันกันดีแท้ มาตั้งแต่เช้าแบบนี้ ทำให้ข้าไม่กล้าที่จะลดเงินของพวกท่านเลยเชียว”
ผู้เฒ่าใหญ่พูดว่า… “ท่านผู้นำตระกูล ครบกำหนดสามวันแล้ว ตามที่พวกเราเดิมพันกันไว้”
มู่เฉียนซียิ้ม “สามล้านเหรียญทองคำอยู่ในมือข้าแล้ว พวกเจ้าดูกันเอาเอง”
“โยนทั้งหมดลงไปเลย” ร่างของมู่เฉียนซีกะพริบ องครักษ์เงาหลายคนก็ขนเหรียญทองคำโยนไปที่ร่างของผู้อาวุโส
“อ๊าาาา!”
“มู่เฉียนซี เจ้ามันเสียสติไปแล้ว!”
— พลั่ก! —
องครักษ์เงาต่างเป็นยอดฝีมือ หากต้องการโยนเหรียญทองคำใส่คนย่อมแม่นยำ
ห้องรับรองมีพื้นที่จำกัด ผู้เฒ่าทั้งหลายไม่มีที่ให้หลบซ่อน
— ตูม! —
สามล้านเหรียญทองคำคือจำนวนไม่น้อยเลย แต่ละเหรียญที่หล่นใส่ศีรษะ ทำให้พวกเขามึนงงตาลายประหนึ่งเห็นดวงดาวพร่างพรายลอยเหนือศีรษะพวกเขา
ศีรษะที่บ้างก็ขาวโพลน บ้างก็มีผมหรอมแหร็ม ถูกเหรียญตกกระทบใส่รัว ๆ
“อ๊าาาา!” เสียงร้องโหยหวนดังมา
เพียงท่านผู้เฒ่าเก้าที่ไม่เป็นไร แต่ทว่าพื้นที่เต็มไปด้วยทองคำจนไม่มีที่เดิน
ท่านผู้เฒ่าทั้งเก้าโดนเหรียญทองคำทับ แต่ละคนหายใจไม่ทัน เกือบจะเป็นลมล้มไป
ผู้เฒ่าใหญ่กล่าว “ท่านผู้นำตระกูล ท่านต้องการให้ข้าตายก็เพียงแค่เอ่ยมา เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย ?”
มู่เฉียนซีตีหน้าซื่อ พูดออกมาอย่างไร้เดียงสา ทว่าในใจยิ้มกริ่ม
“ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร ? ท่านมีความดีความชอบทำงานหนักเพื่อตระกูล ข้าจะฆ่าท่านได้อย่างไรกัน ? เพียงแต่ว่าข้าได้เหรียญทองคำมากมายจนดีใจ เลยส่งให้พวกท่านผู้เฒ่าทั้งหลายได้นับดู พวกท่านรีบนับดูเถิด ดูว่าถึงสามล้านเหรียญหรือเปล่า”
พวกเขาทั้งหมดโดนฝังกลบใต้เหรียญทองคำจนแทบจะเหลือเพียงครึ่งชีวิต จะมีเรี่ยวแรงที่ไหนไปนับ!
ผู้เฒ่าใหญ่มองเหรียญทองคำกองโต อย่างน้อย ๆ นี่คงถึงสามล้าน แต่… มู่เฉียนซีเอามาได้อย่างไร ?
เขาเรียกคนมานับ คนรับใช้ตอบรับด้วยน้ำเสียงอันเบา “ท่านผู้นำตระกูล ท่านผู้เฒ่าใหญ่ ที่นี่มีสามล้านเหรียญทองคำ”
“ท่านผู้เฒ่าทั้งหลาย พวกท่านแพ้แล้ว ฮ่า ๆ”
ผู้เฒ่าทั้งหลายต่างตะลึงลาน มู่เฉียนซีทำได้จริง ๆ สามวันทำได้สามล้านเหรียญทองคำ
แต่ด้วยวิธีใดกัน ? พวกเขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่ามู่เฉียนซีมิได้ใช้ทรัพย์สินตระกูลมู่ อีกทั้งนางก็มิได้ออกไปไหน
ผู้เฒ่าใหญ่กล้ำกลืนอารมณ์โกรธควันออกหู
“ท่านผู้นำตระกูล สามล้านเหรียญทองคำมีที่มาไม่ชัดเจน หากท่านไม่ชี้แจง ต่อให้พวกเราแพ้ก็แพ้อย่างไม่เต็มใจ”
.