มู่เฉียนซี สตรีที่เคยไม่เอาไหน ยามนี้นางไม่เพียงมิใช่คนไร้ค่าเท่านั้น แต่ยังเป็นถึง ผู้บำเพ็ญภูตที่มีพลังธาตุน้ำ ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญภูตทั่วไป อีกทั้งทั่วแคว้นจื่อเยี่ยแห่งนี้ มีหลักฐานว่าเคยปรากฏผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุเพียงแค่สองคนเท่านั้น
…‘ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้ จะปรากฏคนที่สามขึ้น และคนผู้นั้นไม่ใช่คนอื่นไกล ทว่าคือคู่หมั้นของเขาเอง’ …ซวนหยวนหลี่เทียนนิ่งนึกอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
…‘มู่เฉียนซีไม่ใช่คนไร้ค่าอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งเมื่อใบหน้าของนางไร้เครื่องสำอางมาบดบังก็เผยให้เห็นความงดงามมากมายเพียงนี้ นี่ยังไม่นับรวมกับสถานะของนางที่เป็นถึงผู้นำตระกูลมู่ที่ร่ำรวยมหาศาล หาตระกูลใดเทียบได้ในแคว้นจื่อเยี่ย หากได้ตบแต่งกับนางก็ย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ส่วนอวิ๋นเอ๋อร์นั้นให้เป็นพระชายารองไปเสียก็ได้’
…‘เพราะถึงอย่างไร อวิ๋นเอ๋อร์เองก็เป็นเพียงหลานสาวของท่านผู้เฒ่ารองแห่งสกุลมู่ เป็นเพียงบ่าวรับใช้ในบ้านเท่านั้น สถานะเช่นนี้มิอาจจะขึ้นเป็นพระชายาเอกของผู้สูงศักดิ์เช่นข้าผู้นี้ได้อยู่แล้ว’
ซวนหยวนหลี่เทียนคิดฟุ้งซ่านหาเหตุผลเพื่อให้การแต่งงานกับมู่เฉียนซีกลายเป็นเรื่องชอบธรรม ท่านอ๋องผู้เคยมีรักมั่น หลงลืมคำรักที่เคยกล่าวไว้ต่อหน้ามู่หรูอวิ๋นไปสิ้น
ทว่ายังไม่ทันออกจากภวังค์ มู่เฉียนซีก็สะบัดมือด้วยความรวดเร็ว ฝ่ามือนั้นเรียกสติของซวนหยวนหลี่เทียนที่ดูเหมือนจะหลุดลอยไปแล้วให้กลับมา
เสียงสตรีโฉมงามกล่าวขึ้นว่า “หลี่อ๋อง เราควรมาจบการต่อสู้ครั้งนี้ได้แล้ว”
“ผนึกมังกรวารี!…”
ทันใดนั้นเอง เสาต้นหนึ่งในสนามประลองก็พลันสั่นสะเทือน ด้วยพลังแข็งแกร่งแห่งธาตุน้ำ ทำให้เสาต้นใหญ่กลายร่างเป็นมังกรวารีตัวยาว พุ่งเข้าโจมตีซวนหยวนหลี่เทียนอย่างดุดันราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่รอเวลาฟื้นคืน รวดเร็วเสียจนซวนหยวนหลี่เทียนไม่อาจตั้งรับได้ทัน
— ตูม! —
ร่างของซวนหยวนหลี่เทียนกระเด็นลอยออกไปไกลราวกับถูกระเบิดชุดใหญ่ และตกกระแทกพื้นอย่างแรง
— ซ่า! —
เสียงน้ำแตกกระเซ็น พร้อมกับร่างซวนหยวนหลี่เทียนที่ถูกพลังแห่งวารีซัดเข้าอย่างจัง ทั่วทั้งร่างเปียกชุ่มราวกับเพิ่งพลัดตกลงไปในบ่อน้ำ
หลี่อ๋องผู้สง่าผ่าเผยและทะนงตน บัดนี้กลับเละเทะไม่เป็นท่า ภาพลักษณ์สูงส่งเสียหายหมดสิ้นไม่มีเหลือ ทว่านั่นกลับไม่เป็นที่สนใจแม้แต่น้อยเพราะตอนนี้ผู้คนทั้งหลายได้ค้นพบเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า
‘มู่เฉียนซีที่เคยเป็นคนไร้ค่า เวลานี้กลับสามารถเอาชนะหลี่อ๋อง ผู้ครองอันดับที่เก้าจากสิบอัจฉริยะแห่งแคว้นจื่อเยี่ยไปได้…’
ฝ่ายมู่หรูอวิ๋นที่เริ่มมีอาการดีขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากถูกมู่เฉียนซีหักข้อมือสองข้าง เมื่อได้เห็นบุรุษที่ตนรักได้รับบาดเจ็บ หัวใจก็ปวดร้าวราวถูกมีดกรีดแทง
“ท่านพี่หลี่เทียน ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่…?”
“อวิ๋นเอ๋อร์ อย่าได้กังวลไปเลย ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่…”
สองหนุ่มสาวส่งสายตาให้กันหวานซึ้ง ประหนึ่งความรักนี้ถูกฟ้าถล่มลงมาขว้างกั้น
มู่เฉียนซีมองดูภาพนั้นด้วยสายตาเอือมระอา เห็นคู่รักหวานล้ำทำตัวน่าคลื่นไส้ในบ้านของนางไม่หยุดเช่นนี้มีหรือนางจะไม่ส่งเสริม ผู้นำตระกูลมู่คนงามจึงออกคำสั่ง
“ในเมื่อหลี่อ๋องแพ้แล้ว เช่นนั้นก็เชิญทำตามที่เดิมพันไว้ได้แล้ว”
หลี่อ๋องลุกขึ้นยืน “ข้าแพ้แล้ว ข้ายอมรับ… ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
“ดี!”
มู่เฉียนซีแสยะยิ้มชั่วร้ายตอบกลับ
“เด็ก ๆ นำตัวหลี่อ๋องใส่ไว้ในโลงศพ แล้วส่งกลับไปยังตำหนักหลี่อ๋อง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซวนหยวนหลี่เทียนถึงกับชะงัก บุรุษผู้สูงศักดิ์เอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียวทันควัน
“มู่เฉียนซี! นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร จะกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว”
“เป็นถึงอ๋องมีบรรดาศักดิ์ยิ่งใหญ่ คิดจะกลืนน้ำลายตัวเองหรือ ? เดิมพันของเรามีอยู่ว่า หากท่านแพ้แล้ว ก็ให้นำ ‘โลงศพของท่าน’ ออกจากสกุลมู่ไป ถ้าตัวท่านไม่นอนอยู่ข้างใน แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรเล่า ว่านั่นเป็น ‘โลงศพของท่าน’ จริง ๆ”
“น่าตายนัก! มู่เฉียนซี เจ้ามันตลบตะแลงพูดจาเล่นลิ้น สตรีต่ำช้าอย่างเจ้าน่ารังเกียจที่สุด ข้าอุตส่าห์ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี แต่เจ้ากลับเล่นเล่ห์พลิกลิ้น ใช้อุบายเลวทรามกับข้า”
“เป็นอุบายแล้วจะอย่างไร ? หลี่อ๋องจะผิดสัญญาอย่างนั้นหรือ หากท่านคิดจะผิดสัญญากับข้าแล้วละก็ ข้านี่แหละจะช่วยส่งท่านเข้าไปนอนในโลงมรกตนั่นด้วยมือข้าเอง”
มู่เฉียนซีสาวเท้าเข้าหาซวนหยวนหลี่เทียนด้วยท่าทีคุกคาม สีหน้าท่าทางไร้ความเมตตาจนน่าหวาดหวั่น ทว่าทันใดนั้นแววตาของซวนหยวนหลี่เทียนก็พลันมีประกายเย็นยะเยือกแฝงความร้ายกาจวาบผ่าน
‘มู่เฉียนซี ! ในเมื่อเจ้าจิตใจต่ำช้า ไร้ซึ่งความปรานีเช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจเช่นกัน หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าไม่รู้ชั่วดี วางอุบายหลอกลวงข้า’
“ทหาร! มู่เฉียนซีคิดลอบสังหารข้า จับตัวนางไว้”
สิ้นเสียงสั่งการ ทหารคุ้มกันและองครักษ์เงาข้างกายหลี่อ๋อง ก็พลันปรากฏตัวขึ้นและพุ่งเข้าล้อมมู่เฉียนซีไว้ทันที
…‘มู่เฉียนซีช่างร้ายกาจนัก อยู่ ๆ ก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับสาม เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีพรสวรรค์ถึงขั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุน้ำอีก หากคิดจะกำจัดนาง คงต้องทุ่มสุดกำลังเสียแล้ว เหล่าทหารคุ้มกันของหลี่อ๋องต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามหรือระดับสี่ทั้งนั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงองครักษ์เงา พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหกขึ้นไปทั้งสิ้น’…
เมื่อกวาดตามองเหล่าทหารคุ้มกันและองครักษ์เงาของหลี่อ๋อง มู่เฉียนซีก็เห็นแววส่อเค้าอันตราย
…‘ที่นี่คือบ้านของนาง แต่ทันทีที่หลี่อ๋องมีคำสั่ง คนสกุลมู่ทั้งหมดต่างก็หันหน้าหนี แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้หลี่อ๋องออกคำสั่งจัดการนางได้ตามอำเภอใจหรือ ?’…
มู่เฉียนซีระบายยิ้มอย่างเย็นชา ในใจอยากจะหัวเราะให้กับความภักดีอันเหลือล้นของคนสกุลมู่ของตนเอง
“หลี่อ๋อง เดิมทีข้าคิดจะปล่อยท่านไป แต่ในเมื่อท่านรนหาที่ตายเอง เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
มู่หรูอวิ๋นได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยแทรกขึ้น น้ำเสียงที่ใช้อ่อนหวานแสร้งห่วงใย
“เสี่ยวซี เจ้าอย่าดื้อรั้นอีกเลย ขอโทษท่านอ๋องเถิด เรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไป”
ซวนหยวนหลี่เทียนเมื่อได้ยินเสียงสตรีที่รัก ในใจก็เกิดความฮึกเหิม พลันเอ่ยเสียงกร้าว
“มู่เฉียนซี เจ้าใกล้จะตายอยู่แล้วยังปากดีอีก คอยดูวันนี้ข้าจะให้บทเรียนอันแสนเจ็บปวดแก่เจ้า”
ถึงก่อนหน้ามู่เฉียนซีจะลอบจู่โจมด้วยพลังมังกรวารีจนเอาชนะเขาได้อย่างราบคาบ แต่ยามนี้ฝ่ายของเขามีคนมากมายที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง หนทางที่นางจะเอาชนะคงเป็นไปได้ยาก
“โธ่เอ๊ย! หญิงอัปลักษณ์ รีบวางยาพิษฆ่าคนพวกนี้ให้ตายไปซะให้สิ้นซากสิ!”
อาถิงตะโกนขึ้น ด้วยเพราะได้ผูกพันธสัญญากับมู่เฉียนซีอย่างจำยอมไปแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดีว่าก่อนออกจากคฤหาสน์โครงกระดูก นางได้ตระเตรียมยาพิษไว้มากมาย แม้จะไม่รู้ว่ายาพิษเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ทำอะไร แต่ดูจากท่าที สตรีอัปลักษณ์คงต้องมีแผนการบางอย่าง และนางก็คงรับมือกับกากเดนเหล่านี้ได้ไม่ยาก
ขณะที่ซวนหยวนหลี่เทียนยังระเบิดโทสะไม่มีทีท่าจะหยุด มู่หรูอวิ๋นเองก็ยังคงทำทีอ้อนวอนเล่นบทคนดีมีเมตตา ทว่าน้ำเสียงที่ใช้กลับหาความจริงใจแทบไม่ได้
“ท่านพี่หลี่เทียน ท่านอย่าได้โมโหไปเลย เสี่ยวซีไม่รู้ประสา ท่านก็ปล่อยนางไปเถิด”
ซวนหยวนหลี่เทียนหลงในน้ำคำออดอ้อนน้ำเสียงอ้อนวอนนั้น ด้วยว่าเวทนาอวิ๋นเอ๋อร์ผู้มีเมตตาจึงได้แต่ทอดถอนใจ “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นคนดีเหลือเกิน แต่สำหรับหญิงร้ายกาจอย่างมู่เฉียนซีผู้นี้ ความใจดีมีเมตตาของเจ้าไม่มีประโยชน์ มันรังแต่จะเป็นจุดอ่อนให้นางใช้มาข่มเหงรังแกเจ้าเท่านั้น”
ขณะเอ่ย ซวนหยวนหลี่เทียนก็จับจ้องใบหน้าขาวซีดของมู่หรูอวิ๋นที่โดนมู่เฉียนซีทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสไปด้วย ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งนึกสงสารนางสุดหัวใจ
อาถิงเห็นภาพชวนคลื่นไส้นั้นก็ทนไม่ไหวอีก เด็กหนุ่มร้องโวยวายออกมาดังลั่น
“โอ๊ย! ข้าทนดูงิ้วน้ำเน่านี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ข้าจะไปนอนแล้ว ขอตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเพียงเท่านี้ล่ะ หญิงอัปลักษณ์ อยากจะทำอะไรก็รีบทำเข้าล่ะ เล่นงานพวกมันให้อ่วมไปเลย”
แม้เมื่อคราวพบเจอหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ครั้งแรก เขาจะไม่ถูกชะตานัก แต่วิธีจัดการปัญหาของนางในวันนี้ ก็นับว่าไม่เลว ดังนั้นอาถิงจึงยอมบอกวิธีใช้แหวนมังกรเทพวารีแก่นาง เช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีเรื่องไม่คาดคิดอีกมากมายเกิดขึ้นก็เป็นได้
มู่เฉียนซีกวาดตามองทหารมากมายที่ยืนรายล้อมอยู่พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยวาจาเกรี้ยวกราด
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามลมหายใจ ไปให้พ้นหน้าข้าซะ!… ไม่เช่นนั้นก็เตรียมตัวเป็นศพให้นายของพวกเจ้าเก็บได้เลย”
เหล่าทหารคุ้มกันและองครักษ์เงาต่างก็ตกตะลึงกับวาจาห้าวหาญไม่สมกับรูปลักษณ์ภายนอกของมู่เฉียนซีเลยสักนิด ทว่าภาพสตรีร่างเล็กข่มขู่ยอดฝีมือบุรุษมากมายก็ชวนขบขันจนพวกเขาอดหัวเราะไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ …ท่านผู้นำตระกูลมู่ แม้ท่านจะไม่ตาย แต่ท่านอ๋องของพวกข้าได้จัดเตรียมโลงศพมรกตไว้พร้อมแล้ว พวกข้ายินดีช่วยส่งท่านลงโลงเอง”
สีหน้าของมู่เฉียนซีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา รังสีสังหารระเบิดออกจากร่างของนางในฉับพลัน
‘นายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้น ตอนนี้ในมือของมู่เฉียนซีมียาพิษนานาชนิดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่นางสะบัดมือเบา ๆ คนพวกนี้ก็ไม่เหลือซากให้มายืนหัวเราะได้อีก!’
ทว่าในขณะที่นางกำลังจะลงมือนั้น เสียงอันไพเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เป็นผู้ใดกันที่กล้ามาหัวเราะเสียงดังในโถงตั้งศพของซีเอ๋อร์แห่งตระกูลมู่!”
เสียงที่ดังมานั้นอ่อนโยนเพียงครึ่ง ประโยคแรกอบอุ่นอ่อนโยนราวกับสายลมวสันตฤดู ทว่าเมื่อเอ่ยจนถึงคำว่า ‘หัวเราะ’ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นในทันที พริบตาเดียวก็ทำให้คนฟังรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง… ราวกับกำลังจมดิ่งสู่ห้วงมหาสมุทรที่เยือกแข็ง
.