จิ่วเยี่ยก้มหน้ามองสตรีที่สลบไสลและล้มลงบนตัวของเขา ใบหน้าเล็กของนางซีดขาวเสียจนแทบโปร่งแสง
เขาลดการแผ่รังสีที่ดุดันของตนลง มือข้างหนึ่งตวัดรวบเอวบางของนาง พลันเงาสีดำก็หายไปในความมืดมิดของราตรีกาล
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว นี่คือ…”
พ่อบ้านไป๋กวาดตามอง เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายอุ้มสตรีที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งนางหนึ่งกลับเข้าจวนมาก็เอ่ยถาม ดูจากท่าทางเช่นนี้ เกรงว่าเจ้านายของเขาคงจะเผด็จศึกแม่นางผู้นี้ตั้งแต่อยู่ภายนอกแล้ว
…ผ่านมาหลายปีในที่สุดนายท่านก็ได้เปิดหูเปิดตาเสียที
“เตรียมอ่างสมุนไพร ส่งมนุษย์กระดูกเพศหญิงมาดูแลสตรีผู้นี้ให้ข้าที”
“ขอรับ”
น้ำอุ่นชโลมผิวกายของนาง ส่งผลให้เลือดลมทั่วทั้งร่างสูบฉีดจนรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายเบาสบาย
ตั้งแต่ย้อนเวลามาที่นี่ เริ่มแรกนางฆ่าสุนัขตัวโตไปตัวหนึ่ง จากนั้นก็กำจัดคนอีกสามคน ต่อมาก็ต้องฟอกกระดูกชะล้างชีพจรที่ทำให้ทรมานแทบตาย และยังต้องมาต่อสู้กับบุรุษน่าหวาดกลัวผู้นั้นอีก
เส้นประสาทของนางตึงเครียดมานาน ยังไม่เคยได้ผ่อนคลายดังเช่นในยามนี้มาก่อนเลย
แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่อยากให้มู่เฉียนซีได้อยู่อย่างสุขสบาย ทันทีที่ลืมตาขึ้น นางก็รู้สึกไม่เป็นสุขเสียแล้ว
เพราะเบื้องหน้าของนางในยามนี้มีโครงกระดูกมนุษย์สีแดงดุจเลือดกำลังเดินไปมา เบ้าตาทั้งสองข้างกลวงโบ๋ มีเพียงเปลวเพลิงสีม่วงไหวระริกอยู่ภายใน หากเป็นสตรีทั่วไปมาเห็นภาพนี้ก็คงกรีดร้องไปแล้ว
ทว่ามู่เฉียนซีใช้ความนิ่งสยบหัวใจที่ตื่นตระหนกให้สงบลง จากนั้นก็เริ่มสังเกตรอบด้าน ผู้ซึ่งเคยยื้อแย่งชีวิตมนุษย์กับเหล่ามัจจุราชเช่นนางไม่ควรต้องกลัวเพียงโครงกระดูกร่างหนึ่ง
ห้องที่นางอยู่ในตอนนี้ตกแต่งด้วยสีแดงเข้มเป็นหลัก ‘อืม… ก็ดูจะเหมาะสมกับนิสัยของชายผู้นั้นดี’ ดูเหมือนว่าหลังจากนางสลบไปเขาก็ไม่ได้ฆ่านาง และก็ไม่ได้ส่งนางกลับสกุลมู่ แต่กลับพามายังบ้านของตัวเอง
หลังจากมู่เฉียนซีอาบน้ำชำระร่างกายจนเรียบร้อย โครงกระดูกสีแดงก็ถือเสื้อผ้าสตรีชุดหนึ่งเข้ามาใกล้นางแล้วทำท่าคล้ายต้องการจะสวมใส่ให้
‘เอาโครงกระดูกมาเป็นหญิงรับใช้ ต้องเป็นคนประเภทไหนกัน ? ชายผู้นั้นวิปริตเกินไปแล้ว’ มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าวว่า
“ข้าใส่เอง เจ้าออกไปเถอะ”
แม้ว่าโครงกระดูกนี้ไม่อาจพูดจาได้ แต่กลับเข้าใจสิ่งที่มู่เฉียนซีพูด เมื่อส่งชุดให้นางแล้วก็ถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง
ชุดนั้นมีสีม่วงอ่อนและเนื้อผ้านุ่ม ปักลายดอกพลับพลึงแดงดอกใหญ่ ฝีมือการปักประณีตไร้ที่ติ
เหมือนว่าในความทรงจำของนาง เจ้าของร่างเดิมผู้แสนจะร่ำรวยหาผู้ใดเทียบได้ก็ยังไม่เคยได้สวมใส่ชุดที่งดงามประณีตเช่นนี้มาก่อนเลย
มู่เฉียนซีคลี่ชุดมาสวมใส่ …จากนั้นก็เตรียมตัวหนี
แต่ทว่า…
ทั่วทุกที่ในจวนแห่งนี้เต็มไปด้วยโครงกระดูกมนุษย์เดินลาดตระเวนอยู่ เปลวไฟสีม่วงในเบ้าตาของพวกมันทำให้มันดูเหมือนกับโคมไฟวิญญาณไม่มีผิด
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของนางจึงไม่ต่างจากภาพของผีเป็นร้อยตัวที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมายามราตรีเลยสักนิด
มู่เฉียนซีรู้ดีว่าในยามนี้ต่อให้มีปีกก็ยากจะหนีพ้น
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ในตอนนี้นางคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน
ต้องฝึกวิชา เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
มู่เฉียนซีเดินกลับไปยังกลางห้อง พลันนึกถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มผู้นั้นมอบให้หลังจากที่เตะนางจนกระเด็น
…มันคือวิชายุทธ์แขนงหนึ่ง…
หญิงสาวผู้ตกอยู่ในสภาวะคล้ายถูกขังเริ่มท่อง…
“เคล็ดเทพต้านสวรรค์ จุดเริ่มต้นแห่งความโกลาหล จุดเริ่มต้นของจักรวาลทุกสรรพสิ่ง…”
ทันใดนั้น ราวกับว่าพลังวิญญาณและพลังหยวนชี่ทั่วทั้งแคว้นจื่อเยี่ยพรั่งพรูเข้ามายังห้องที่นางอยู่
*元气(พลังหยวนชี่) หมายถึงพลังชีวิต
จิ่วเยี่ยที่อยู่ภายในห้องของตนเอง เมื่อเห็นพลังวิญญาณที่แปลกประหลาดนี้ ดวงตาที่นิ่งสงบไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด ๆ ก็ปิดลงอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง
…
วันรุ่งขึ้น แสงอรุณยามเช้าเริ่มสาดส่อง
มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาสีดำขลับเต้นระยิบ ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มบาง
เพียงคืนเดียว นางก็ฝึกจนบรรลุเป็น ‘ผู้บำเพ็ญภูตระดับสาม’ แล้ว
ทว่าไม่เพียงแต่เป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับสาม แต่นางยังสำเร็จเป็น ‘ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสาม’ ไปพร้อมกันอีกด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเคล็ดเทพต้านสวรรค์นี้ คือวรยุทธ์ที่ฝึกบรรลุได้ทั้ง ‘วิถีเซียน’ และ ‘วิถียุทธ์’
ในโลกนี้ ระดับของผู้บำเพ็ญตบะซึ่งถือเป็นวิถีแห่งเซียนแบ่งเป็น ผู้บำเพ็ญภูต จอมภูต ปรมาจารย์ภูต และราชาแห่งภูต…
ส่วนฝ่ายผู้ฝึกวรยุทธ์นั้นแบ่งเป็น ผู้ฝึกยุทธ์ จอมยุทธ์ ปรมาจารย์ยุทธ์ และราชายอดยุทธ์…
ในความทรงจำของมู่เฉียนซีนั้น อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลมู่ก็คือ มู่หรูอวิ๋นผู้เป็นหลานสาวของท่านผู้เฒ่าตระกูลมู่ เมื่อนางอายุสิบเจ็ดก็บรรลุเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเจ็ดแล้ว และกลายเป็นสตรีอัจฉริยะอันดับหนึ่งในแคว้นจื่อเยี่ย และเป็นอันดับที่สองของอัจฉริยะแห่งแว่นแคว้น
แต่เพียงคืนเดียว นางในตอนนี้ก็สามารถบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับสามได้แล้ว …‘เช่นนั้นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลมู่ ก็ไม่ได้อัจฉริยะสักเท่าไรสินะ’
‘หญิงอัปลักษณ์ เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจเกินไปนัก เมื่อถูกน้ำในทะเลสาบภูตวารีฟอกกระดูกชะล้างชีพจรแล้ว หากพรสวรรค์ของเจ้าไม่เพิ่มสูงขึ้นละก็ เจ้าก็วิ่งชนกำแพงตายได้เลย ตอนนี้รีบคิดหาวิธีหนีรอดออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ แล้วก็ห้ามทำให้ข้าตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นเชียวนะ!’
ทันใดนั้น เสียงของเด็กหนุ่มผู้เตะนางจนกระเด็นกระดอนคนเดิมก็ดังขึ้นในหัวของมู่เฉียนซี หญิงสาวทำเสียงฮึดฮัดพร้อมเอ่ยขึ้น…
“เหอะ! ตอนนี้ทำมาเป็นกลัว ทีเมื่อวานตอนที่ข้าต่อสู้กับชายน่ากลัวอย่างกับมัจจุราชผู้นั้นอยู่ เจ้าหายหัวไปที่ไหนมา”
เด็กหนุ่มรีบอธิบายทันที
“ตอนนั้นข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา พลังจึงไม่มากพอ เพียงครู่เดียวก็หลับไปอีก ครั้งนี้เพราะเจ้าฝึกฝนเคล็ดเทพต้านสวรรค์ พอจะมีพลังวิญญาณบ้าง ข้าก็เลยตื่นขึ้นมาได้”
“สถานการณ์อย่างนี้จะให้หนีออกไปอย่างไรเล่า” มู่เฉียนซีบ่นพึมพำ
แม้ว่านางจะบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับสามแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถหนีพ้นไปจากเงื้อมมือของบุรุษน่ากลัวผู้นั้นได้
“ก็ต้องคิดหาวิธีเองแล้วล่ะ เป็นเพราะกำลังของเจ้าอ่อนแอเกินไป ข้าจึงฟื้นฟูตัวข้าเองได้น้อยมาก ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก”
จริงอย่างที่เขาพูด กำลังของนางอ่อนแอเกินไป หากคิดจะอาศัยพลังวิญญาณอันน้อยนิดนี้เพื่อหลบหนี โอกาสที่จะสำเร็จได้ก็เป็นได้แค่สิ่งเพ้อฝันเท่านั้น ทว่าก็ยังมีอยู่หนทางหนึ่ง…
แววตาของนางเปล่งประกายแวววับ ก่อนจะเดินออกไปตะโกนเรียกโครงกระดูกที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตลอดเวลา
“เจ้าน่ะ มานี่”
โครงกระดูกสีโลหิตเดินเข้ามาหาอย่างเชื่อฟัง มู่เฉียนซีเอ่ยถาม…
“ที่นี่มีคลังเก็บสมุนไพรหรือไม่ ?”
โครงกระดูกพยักหน้าก่อนจะหันหลังเดินจากไป
สีหน้าของมู่เฉียนซีบึ้งตึงลงฉับพลัน นางหลงนึกว่าเจ้าโครงกระดูกจะรีบนำทางนางไปยังคลังเก็บสมุนไพรเสียอีก แต่ที่ไหนได้ ดูเหมือนว่ามันจะรีบไปรายงานเรื่องนี้กับเจ้านายตัวเองเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม มนุษย์โครงกระดูกผู้ถูกถามก็ไม่ได้ไปหานายของตนโดยตรง มันไปรายงานเรื่องกับพ่อบ้านไป๋ ซึ่งผู้ทำหน้าที่พ่อบ้านก็เป็นคนไปขออนุญาตผู้เป็นนาย
“นายท่าน หญิงที่ท่านพากลับมาเมื่อคืนนี้ต้องการตัวยาสมุนไพรขอรับ”
“ตามใจนาง” เสียงเย็นชาตอบกลับแทบจะในทันที
“ขอรับ”
.