มู่เฉียนซีรีบลุกขึ้นเป็นการด่วน แต่ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือชายรูปงามราวกับภาพวาดจากเส้นสายลายน้ำหมึกอันพลิ้วไหวที่เกิดจากปลายพู่กันของปรมาจารย์ขั้นสุดยอด
บุรุษใต้ร่างของนางนั้นมีผมดำยาวที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ แต่แสงจันทร์ที่ส่องกระทบและเคลือบผมดำขลับดุจน้ำหมึกอันนุ่มลื่นเสียยิ่งกว่าแพรไหมนี้ก็ทำให้แลดูนุ่มนวลชวนสัมผัส
เขามีดวงตาสีฟ้าคล้ายน้ำแข็ง แต่ลึกล้ำดั่งก้นบึ้งของหุบเหว สงบไร้คลื่นอารมณ์ใด ๆ ประดุจจะสามารถดูดกลืนวิญญาณผู้คนได้ สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากแดงระเรื่อ สองส่วนบนใบหน้าของเขาดูเย็นชา อีกสองส่วนเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าเย้ายวนใจ แต่นางกลับรู้สึกได้ถึงความร้ายกาจที่ฝังลึกอยู่ในเลือดเนื้อและกระดูกเฉกเช่นเจ้าแห่งอสูรผู้เยือกเย็นหรือปีศาจชั่วร้ายที่ไร้ผู้เทียมทาน
ฉับพลันนั้นเอง บุรุษดวงตาสีฟ้าก็ยื่นมืออันเย็บเฉียบของเขาพุ่งเข้าบีบคอนางอย่างไร้ปรานี กลิ่นอายแห่งความตายแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
สายตาคู่นั้นเยือกเย็นเสียราวกับจะแช่แข็งนางได้ และยังแฝงไอสังหารของปีศาจที่บาดลึกเข้าไปถึงกระดูก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจล้มทับท่าน” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
เมื่อบุรุษผู้ทะนงองอาจถูกสตรีสภาพร่างไม่ชวนมองที่พุ่งมาจากทิศทางใดไม่ทราบใช้เป็นเบาะรองกายมีหรือจะไม่ขุ่นเคือง ไม่ว่าผู้ใดก็คงโมโหจนอยากฆ่าคนเป็นแน่
แต่ใครเลยจะรู้ว่าคำพูดของเขาจะกลับกลายเป็นเช่นนี้….
“ศาลานิรันดร์อยู่กับเจ้าหรือ ?”
เขามีน้ำเสียงนุ่มนวลดุจดั่งสุราชั้นเลิศที่หมักไว้นานนับหมื่นปี ทำให้ผู้ที่ได้ยินลุ่มหลงมัวเมาจนแทบโงหัวไม่ขึ้น
ศาลานิรันดร์งั้นหรือ เพียงพริบตาข้อมูลเกี่ยวกับศาลานิรันดร์ก็ไหลเข้าสู่หัวสมองของมู่เฉียนซี
ศาลานิรันดร์ หรือเรียกอีกอย่างว่าจิ่วฉงหุ้นตุ้นถิง (ศาลาเลือนรางเก้าชั้น) คือหนึ่งในมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งเก้า
ส่วนเด็กหนุ่มในทะเลสาบนั่น ก็คือ ‘ภูตสถิต’ ของศาลาเลือนรางเก้าชั้น บัดนี้ระหว่างนางและเขาถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญาแห่งจิตวิญญาณแล้ว
ของสำคัญเช่นนี้ มีอยู่จริงแค่ในตำนานเล่าขานเท่านั้น หากเผยตัวตนสู่ใต้หล้าจะกลายเป็นที่ดึงดูดให้เหล่าผู้แข็งแกร่งทั่วทุกสารทิศพากันช่วงชิง
และตัวนางเองก็ ‘โชคดีอย่างล้นเหลือ’ เสียจริง ที่เมื่อผูกมัดพันธสัญญากับมันแล้ว ก็ต้องถูกบุรุษผู้แข็งแกร่งและแสนจะน่ากลัวผู้นี้เค้นเอาความจริงในทันที มู่เฉียนซีมองบุรุษตรงหน้าอย่างระแวดระวัง เขารู้ได้อย่างไรว่าศาลาเลือนรางเก้าชั้นอยู่ในร่างของนาง
มู่เฉียนซีกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคลือบแคลงสงสัย
“คุณชาย ศาลานิรันดร์คืออะไรหรือ ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า
ก็เวลานี้นางมีพันธสัญญากับเจ้าหนุ่มงั่งนั่น ถ้าเรื่องทุกอย่างเปิดเผย นางก็ไม่พ้นต้อง ‘ตายไม่เหลือซาก’ เช่นกัน
“ในกายเจ้า มีกลิ่นอายของศาลาเลือนรางเก้าชั้น”
ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มเย็นชา …และนั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของการสังหาร ดูเหมือนดวงตาสีฟ้าดุจน้ำแข็งอันเย็นเยียบคู่นั้นจะมองทะลุคำโป้ปดของมู่เฉียนซีได้ทั้งหมด
มู่เฉียนซีตัวสั่นเทิ้ม ทว่านางก็ยังกัดฟันพูดพร้อมวางท่าไม่สะทกสะท้าน
“ศาลาเลือนรางเก้าชั้นถูกข้าผูกพันธสัญญาไว้แล้ว หากท่านฆ่าข้ามันก็จะหายไป หากท่านอยากได้มัน ก็จงปล่อยข้าเสีย แล้วเรามาคุยกันดี ๆ”
เมื่อได้ฟังข้อเสนอของอีกฝ่าย บุรุษตาสีฟ้าจึงยอมปล่อยนางแต่โดยดี
มู่เฉียนซีถือโอกาสนี้กระโดดลอยตัวขึ้นโดยพลัน
แต่บุรุษผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามว่องไวกว่า เพียงพริบตาเขาก็กระโจนเข้าประชิดร่างของนางราวกับผีสางที่หายตัวได้ อสูรกระหายเลือดผู้นี้ทับร่างนางเอาไว้จนมิอาจหายใจได้ทั่วท้อง
มู่เฉียนซีกัดฟันแน่น ‘หึ หมอปีศาจอย่างมู่เฉียนซีมิใช่ผู้ที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ถึงคู่ต่อสู้ในวันนี้จะแกร่งเกินกว่าจะเอาชนะได้ก็เถอะ’
ทันใดนั้นหญิงสาวอัปลักษณ์ก็ปลดปล่อยทั้งหมัด เข่า ศอก ใช้ร่างกายทุกส่วนของตนเป็นอาวุธเพื่อจู่โจมเขาทันที
ในเมื่อไม่มียาพิษในมือและไม่อาจใช้พลังหลิงชี่ได้* การต่อสู้ระยะประชิดกายจึงเป็นทางเลือกเดียวของนาง
*灵力(หลิงชี่) หมายถึงพลังงานจิตวิญญาณ ต่อไปในเรื่องนี้จะขอใช้คำว่า ‘พลังวิญญาณ’ ในการกล่าวถึงพลังชนิดนี้
กระนั้นบุรุษตรงหน้าก็ช่างรวดเร็วไร้ที่เปรียบนัก การจู่โจมของมู่เฉียนซีพลาดเป้าคล้ายต่อกรกับอากาศ ชั่วพริบตามือคู่หนึ่งก็พุ่งเร็วปานสายฟ้าแลบมาจับแขนของนางเอาไว้
และทันใดนั้น
— พลั่ก! —
มู่เฉียนซียกขาขวาขึ้นถีบเข้าที่เข่าของชายหนุ่ม ทำให้มือของนางเป็นอิสระ
บุรุษหนุ่มจู่โจมอีกครั้ง ทว่ามู่เฉียนซีเค้นพลังทั้งหมดของตนเองออกมาและทะยานเข้าจัดการเขาไม่คอยท่า
ความเร็วของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นใกล้เคียงกับนางแล้ว เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใช้พลังพิเศษของโลกนี้เลย มู่เฉียนซีเบิกตากว้างไม่คิดเลยว่าบุรุษตรงหน้าจะอวดดีได้ถึงเพียงนี้
ถึงขนาดข่มเก็บพละกำลังของตนเองไว้และหันมาสู้รบปรบมือกับนางด้วยการต่อสู้ระยะประชิดแทน
ถ้าอย่างนั้น นางก็จะทำให้เขาได้รู้เสียบ้างว่าอะไรคือท่วงท่าการต่อสู้ระยะประชิดตัวของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
ทั้งสองผลัดกันจู่โจมและตั้งรับจนผ่านไปกว่าหลายสิบกระบวนท่า
กระโปรงสีทองที่เดิมทีก็สกปรกเหมือนผ้าขี้ริ้วอยู่แล้วก็ยิ่งมีสภาพน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ …ยิ่งกว่านั้นช่วงอกของนางยังโผล่ออกนอกตัวชุดอีก
และในตอนนี้ ตอนที่ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนมาจนถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง นางก็จำต้องเอ่ยขึ้นอย่างอับจนหนทางว่า…
“ท่านจอมยุทธ์ ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ท่านบอกมาเถอะว่าต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมปล่อยข้าไป”
“ให้ศาลาเลือนรางเก้าชั้นออกมาพบข้า”
“ถ้าข้าบอกว่าไม่เล่า”
นางติดต่อเจ้าหน้าอ่อนนั่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แถมดูท่าแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ไยดีกับความเป็นความตายของนางสักนิด แล้วจะให้นางเรียกเขาออกมาได้อย่างไรเล่า
“ตาย”
เพียงคำพูดที่ส่อเจตนาสังหารชัดแจ้งเพียงคำเดียว ขนบนท่อนแขนของมู่เฉียนซีก็ลุกชันไม่อาจห้าม
ทันใดนั้นแขนทั้งสองข้างของมู่เฉียนซีก็โอบรัดรอบคอของเขาไว้ พลางยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของเขาแล้วพ่นลมหายใจร้อน ๆ เข้าใส่ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“รูปหล่อ เอะอะก็พูดเรื่องตาย นี่มิใช่นิสัยที่ดีเลย ใบหน้าของข้างดงามล่มบ้านล่มเมืองขนาดนี้ หากท่านไว้ชีวิตข้าจะคุ้มกว่านะ”
ฉับพลันร่างของคนตรงหน้าก็แข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ปล่อย” เขาเอ่ยคำอย่างเยือกเย็น
“ฮิ ๆ รูปหล่อ เจ้านี่น่ารักจริง ๆ เขินแล้วใช่ไหมเล่า ?”
รังสีอำมหิตจากกายของเขาเข้มข้นมากขึ้น แต่มู่เฉียนซีไม่ใส่ใจ นางเพียงคิดว่าจะอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี ดังนั้นก่อนตายก็น่าจะหยอกล้อบุรุษรูปงามผู้ทระนงตนผู้นี้ให้มากหน่อย ทำให้เขาสะอิดสะเอียนไปเลยก็ยิ่งดี
และในขณะที่รังสีความน่ากลัวแผ่กระจายเข้าปกคลุมมู่เฉียนซีจนแทบหายใจไม่ออกแล้วนั้น มือของหญิงสาวก็เคลื่อนไหวว่องไว มันกุมไว้ที่จุดเซิ่นซู (จุดลมปราณบริเวณไต) ของเขาอย่างรวดเร็ว หากจุดนี้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงละก็ ชาตินี้ทั้งชาติเขาก็ไม่ต้องเป็น ‘ผู้ชาย’ และสืบพันธุ์อีกแล้ว
มู่เฉียนซีเอ่ยเสียงเยือกเย็นว่า
“พ่อหนุ่มรูปหล่อ หากท่านไม่อยากเป็นเยี่ยงขันทีไปชั่วชีวิต ก็อย่าฆ่าข้าเลยจะดีกว่า”
เพียงพริบตาเดียว ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ร้ายกาจของเขาก็ชะงักงันไปเล็กน้อย
‘นาง… นางช่างกล้า…’
บุรุษรูปงามกัดฟันกรอด ในยามนี้ ‘จิ่วเยี่ย’ อยากจะถลกหนังกลืนหญิงสาวน่าตายนี่ลงท้องทั้งเป็นไปเสีย
“หากยังอยากจะปกป้องความสุขของชีวิตที่เหลืออยู่ละก็ ส่งข้าไปจวนสกุลมู่เดี๋ยวนี้”
มู่เฉียนซีนึกขึ้นได้ว่าท่านอาของนางเหมือนจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ย ในวันนี้เกรงว่าคงจะมีแต่ท่านอาแล้วที่สามารถช่วยนางให้รอดพ้นเงื้อมมือของคนน่ากลัวผู้นี้ได้
แต่ในขณะที่มู่เฉียนซีคิดว่าตนเองกำลังจะหลุดพ้นจากกรงเล็บปีศาจนั้น นางก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นฉับพลัน
‘บ้าชะมัด ร่างนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว’ ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด ทั้งยังต้องรับแรงกดดันจากบุรุษตรงหน้า ทำให้ร่างกายของนางเริ่มถึงขีดจำกัดแล้ว