มู่เฉียนซีกล่าว “ตกลง งั้นพาข้าไปชั้นที่สี่เถอะ”
“ช้าก่อน ชั้นที่สี่มันอันตรายมาก เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการทดสอบต่อ? หากเจ้าพ่ายแพ้ขึ้นมา เจ้าอาจจะถึงแก่ความตายได้”
มู่เฉียนซีกะพริบตาและกล่าวว่า “แต่หากข้าทำสำเร็จ ก็จะมีรางวัลใช่หรือไม่”
กลไกวิญญาณกล่าว “หากเจ้าทำสำเร็จในขั้นที่สี่ พลังวิญญาณของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ”
“โดยการเปรียบเทียบแล้ว หากไปถึงชั้นที่หกก็จะเพิ่มพลังวิญญาณได้สามระดับ”
มู่เฉียนซีบ่น “กว่าจะผ่านไปได้แต่ละชั้นช่างลำบากยากเย็นเหลือเกิน แต่เจ้ากลับบอกข้าว่าเพิ่มได้ชั้นละระดับเนี่ยนะ ตระหนี่ถี่เหนียวยิ่งนัก”
“การฝึกฝนนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ผู้ที่มาถึงชั้นที่สี่ได้นั้น ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะแนวหน้าของเซี่ยโจว ดังนั้นอย่าใจร้อนที่จะประสบความสำเร็จเร็ว ๆ ประเดี๋ยวจะทำให้เกิดผลเสียเปล่า ๆ ถึงแม้ว่าจะเลื่อนได้เพียงสามระดับ แต่รากฐานนั้นของพลังวิญญาณนั้นแข็งแกร่งอย่างแน่นอน และไม่มีอันตรายที่แฝงเร้นใดทั้งสิ้น”
“เช่นนั้น สิ่งที่ข้าได้ยินมาว่าการทดสอบของเจดีย์เทพจะทำให้พลังวิญญาณก้าวขึ้นขั้นสูงสุดภายในชั่วพริบตาเดียวก็ล้วนเป็นเรื่องโกหกนะสิ! ”
“ไม่ใช่เรื่องโกหก ชั้นที่เจ็ดมีสิ่งอัศจรรย์อย่างแน่นอน” กลไกวิญญาณกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าที่เผ่าเทพหนานอู้แห่งนี้มีผลกำเนิดเก้าวิญญาณ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอยู่ไหน? ”
“อยู่ในมิติชั้นที่เจ็ด หากเจ้ามีคุณสมบัติไปถึงชั้นที่เจ็ด เจ้าก็สามารถได้มันไป เพียงแต่ว่า การที่เจ้าได้มันไปก็นับว่าเป็นรางวัลอย่างหนึ่งแล้ว เจ้าจะไม่สามารถก้าวขึ้นขั้นสูงสุดของพลังวิญญาณได้”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่าจะอยู่ชั้นที่เจ็ด แต่ไม่ว่ายังไงข้าจะต้องไปให้ถึงให้ได้”
“ประโยคสุดท้ายที่ข้าพูด เจ้าไม่ได้ยินงั้นเหรอ? พรสวรรค์ระดับเจ้า แต่ได้มีโอกาสก้าวขึ้นตำแหน่งสูงสุด คนทั้งแผ่นดินล้วนแต่ต้องอิจฉาเจ้า เจ้าแน่ใจแล้วเหรอว่าจะทิ้งโอกาสนั้นไป”
“แล้วที่บอกว่าพลังวิญญาณก้าวขึ้นขั้นสูงสุดนี่คือพลังวิญญาณขั้นไหน? ”
“ยอดฝีมือในเซี่ยโจว จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า”
“ชิ๊! แค่ระดับนี้ ก็ไม่ได้เจ๋งสักเท่าไหร่ ถึงยังไงร่างกายของท่านอาก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้วก็เป็นไปตามนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า” กลไกวิญญาณกล่าว
“เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปชั้นที่สี่! ”
“กฎของชั้นที่สี่ ง่ายนิดเดียว เป็นการต่อสู้แบบเพิ่มคู่ต่อสู้ รอบแรกคู่ต่อสู้ของเจ้ามีเพียงหนึ่งคน จากนั้นคู่ต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เจ้าต้องเตรียมใจเอาไว้ให้พร้อม ความแข็งแกร่งของแต่ละคนนั้นจะมีพลังการต่อสู้เท่ากับเจ้า”
มันคือการทดสอบพลังการต่อสู้ ไม่ใช่ระดับขั้นพลังวิญญาณ!
พลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของนางคือทักษะตี้ซวน ศัตรูที่มีพลังวิญญาณต่ำกว่าขั้นจักรพรรดินั้น นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของนาง
ตูม!
ร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นและลงมือโจมตีมู่เฉียนซีอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก การโจมตีทั้งรุนแรงและรวดเร็ว ทุก ๆ การโจมตีล้วนแต่ต้องการฆ่ามู่เฉียนซีทั้งนั้น พลังการต่อสู้ และประสบการณ์การต่อสู้ต่อนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่านางเลย แต่นางต้องเอาชนะให้ได้
นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!
“มังกรวารีพิฆาต! ” มังกรวารีเย็นยะเยือกพุ่งออกไปทำให้ศัตรูตรงหน้าหยุดชะงักไปในชั่วขณะ การโจมตีของมังกรวารีนั้นได้มาถึงตัว
ขวั่บ!
ในระยะนี้ นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะหลบหลีกการโจมตีนี้ไปได้
มู่เฉียนซีกล่าว “เข้ามาอีกสิ! ”
ตูมมมมม!
ทั้งสองต่อสู้กันไปมา ไม่รู้กี่ยกต่อกี่ยกแล้ว และมู่เฉียนซีก็ได้รับคุณความรู้มาไม่น้อยเลย
“มังกรเพลิงพิฆาต! ”
ไม่รู้ว่าข้างหลังยังมีศัตรูต่อสู้อีกกี่คน! เพราะฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงต้องจัดการให้เร็วที่สุด!
พลังของกระบี่มังกรเพลิงไม่อาจยับยั้งได้ ถึงแม้ว่าประสบการณ์ในการต่อสู้ของคู่ต่อสู้จะไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่านาง แต่ในที่สุดก็ถูกกระบวนท่ามังกรเพลิงพิฆาตจัดการ และร่างของศัตรูผู้นั้นก็อันตรธานหายไป
ขวั่บ! ขวั่บ!
ร่างสองร่างปรากฏขึ้น และการต่อสู้รอบที่สองก็เป็นไปอย่างต่อเนื่อง!
สองคน สี่คน แปดคน สิบหกคน……
จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ และมู่เฉียนซีก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากขึ้นเรื่อย ๆ!
“ทักษะตี้ซวน! ”
ทักษะตี้ซวนสามารถหยุดยั้งศัตรูได้เพียงแค่คนสองคน แต่มันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี ก่อนหน้านี้นางได้ฝึกฝนทักษะตี้ซวนได้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้พลังวิญญาณของนางถึงขั้นราชาแห่งภูต คงต้องเริ่มฝึกฝนทักษะที่สองได้แล้ว นั่นก็คือทักษะเทียนซวน
เพียงแต่ ตอนนี้คนสอนไม่อยู่ นางจำต้องหยุดเอาไว้ก่อน คราหน้าหากเจอจิ่วเยี่ยก็คงต้องให้เขาสอนทักษะเทียนซวนซะแล้ว ต่อไปหากเผชิญหน้ากับพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิ จะได้ไม่ต้องให้เสี่ยวหงกับอู๋ตี้ออกแรงสู้ แต่ตอนนี้ต้องรับมือกับศัตรูเหล่านี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
ตราบใดที่คนเหล่านี้ไม่ได้มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิ พลังในการต่อสู้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนางมากนัก และไม่ว่าศัตรูเหล่านี้จะรุมต่อสู้นางยังไง นางก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บบบบ!
เข็มยานับไม่ถ้วนพุ่งว่อนออกไปราวกับห่าฝน
เผชิญหน้ากับศัตรูมากมายนับไม่ถ้วนเช่นนี้ นางจำต้องเอาไพ่เด็ดที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาใช้ ต้องทำทุกอย่างเพื่อทำลายศัตรูให้พ่ายไปทีละคน ๆ
ยาวิญญาณกินได้โดยไม่ต้องเสียสักสตางค์แดงเดียว ใช้ฟื้นฟูพลังให้กลับมาแข็งแกร่งดังเดิม เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่มากมายอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ มู่เฉียนซีราวกับเป็นหุ่นยนต์ในการต่อสู้ก็มิปาน
สู้ให้ถึงที่สุด ต้องยืนหยัดและอดทนต่อไปให้ได้!
ทว่า สิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีแทบจะกระอักเลือดนั้นก็คือ เมื่อจัดการไปได้กลุ่มหนึ่ง จำนวนศัตรูก็ทวีคูณเพิ่มมาอีกกลุ่มหนึ่ง และได้ล้อมรอบนางอย่างเมามัน
จำนวนของศัตรูพุ่งสูงขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนต่อสู้สู้จนแทบหมดกำลังสุดท้ายแล้ว มู่เฉียนซีรู้สึกว่าการทดสอบในชั้นที่สี่นี้เป็นการทดสอบที่เสียสติจริง ๆ
ตูมมมม!
การต่อสู้แบบรุมตีเช่นนี้ ต่อให้มู่เฉียนซีมียาวิญญาณฟื้นฟูพลังมากแค่ไหนก็ยังทำให้มู่เฉียนซีล้มลงได้ นางไม่ใช่เหล็กกล้า แน่นอนว่านางต้องมีขีดจำกัดของตัวเอง
ปังงง!
มู่เฉียนซีล้มลงด้วยความไม่พอใจ
ผลกำเนิดเก้าวิญญาณอยู่ในชั้นที่เจ็ด! แต่นางจะมาพ่ายแพ้ในชั้นที่สี่เนี่ยนะ! ให้ตายเถอะ!
และในขณะที่ศัตรูเหล่านั้นกำลังจะพุ่งเข้าไปลงมือฆ่ามู่เฉียนซี ทันใดนั้นร่างของพวกเขาพลันอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะช่วยข้า”
“ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า แต่เจ้าผ่านด่านแล้วต่างหาก”
“ผ่านด่าน? ข้าแพ้แล้วไม่ใช่เหรอ? ”
“เจ้าแค่ล้มไป แต่การต่อสู้แบบเพิ่มจำนวนคู่ต่อสู้นี้ เจ้าต่อสู้มาไปร้อยกว่าคนแล้ว เจ้าผ่านด่านตั้งนานแล้ว อีกอย่างข้าก็ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าหากล้มลงไปจะไม่ผ่านด่าน อันที่จริงมีคนทำผลงานเอาไว้ดีที่สุดก็แค่หกสิบสี่คนเท่านั้น”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีดำคล้ำด้วยความโกรธ “ข้าผ่านด่านตั้งนานแล้ว แล้วทำไมเจ้าไม่บอกให้หยุด เจ้า……เจ้าอยากให้ข้าเหนื่อยตายหรือไง? ”
“ก็ข้าดูเจ้าต่อสู้แล้วมันสนุก แล้วมันก็มันเพลินดี จนข้าไม่อาจหยุดได้เลย นี่ก็เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะได้พัฒนาฝีมือไม่ใช่เหรอ”
ตอนนี้มู่เฉียนซีเหนื่อยล้าจนไม่อาจขยับนิ้วมือได้ มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าไม่ต้องโอกาสพัฒนาฝีมืออะไรทั้งนั้น ข้าต้องการไปให้ถึงชั้นที่เจ็ด และต้องเอาผลกำเนิดเก้าวิญญาณมาให้ได้”
“เดิมทีเจ้าเป็นเด็กที่มีจิตใจที่สงบ แต่กลับมีนิสัยที่ใจร้อนมาก”
“อยากจะให้รางวัลเจ้าสักหน่อย มาฟื้นฟูพลังกันเถอะ! ”
แสงสีฟ้าอ่อนสาดส่องลงมาห่อหุ้มร่างของมู่เฉียนซีเอาไว้ มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าความเหนื่อยล้า อ่อนเพลียและความเจ็บปวดทั่วร่างกายของนางนั้นได้จางหายไปภายในชั่วพริบตาเดียว
จากนั้นพลังวิญญาณที่อบอุ่นก็ไหลเข้ามาในเส้นลมปราณของนาง นางเพิ่งจะทะลวงพลังวิญญาณเป็นราชาแห่งภูตระดับสองได้ตอนที่อยู่ที่หุบเขามรณะ ในตอนนี้เนื่องจากพละกำลังที่อบอุ่นนี้ ทำให้นางทะลวงพลังวิญญาณขั้นราชาแห่งภูตระดับสามได้
พลังวิญญาณนี้อ่อนโยนยิ่งนัก การเลื่อนขั้นพลังวิญญาณนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานของพลังแต่อย่างใด
หลังจากที่ทะลวงพลังวิญญาณได้สำเร็จ มู่เฉียนซีที่เหนื่อยล้า อ่อนแรงและเจ็บปวด ตอนนี้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
มู่เฉียนซียืนขึ้นและกล่าวว่า “ข้าผ่านด่านนี้แล้ว รางวัลก็ได้รับแล้ว ส่งข้าไปทดสอบชั้นที่ห้าเลยเถอะ! ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอดใจรอไม่ไหว ข้าจะส่งเจ้าไปเดี๋ยวนี้! ”
กว่าที่มู่เฉียนซีจะผ่านด่านนี้ไปได้นั้น นางเหนื่อยล้าจนล้มลงไป ส่วนจักรพรรดิเซี่ยก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนัก เมื่อเห็นศัตรูคู่ต่อสู้ขั้นจักรพรรดิระดับสูงพุ่งเข้าโจมตีใส่เขาเช่นนี้ เขาก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยากมาก ในขณะเดียวกันนี้ มู่เฉียนซีได้ก้าวเข้าสู่ชั้นที่ห้าของเจดีย์เทพแล้ว