เมื่อความตายมาถึง อวิ๋นฮวาก็ตกใจจนเกือบเป็นลมสลบไป
— เคร้ง! —
ทว่าในตอนนี้เอง กำแพงน้ำแข็งกำแพงหนึ่ง กันกระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีเอาไว้ จากนั้นเงาร่างสีขาวหิมะเงาหนึ่งพุ่งออกมา จักรพรรดิเซี่ยที่ตื่นขึ้นมา ถูกเจดีย์เทพปล่อยตัวออกมาแล้ว
มู่เฉียนซีตกตะลึง จักรพรรดิเซี่ยผู้นี้น่ะหรือ ห้ามไม่ให้นางฆ่าอวิ๋นฮวา
เขามองไปที่แววตาตั้งคำถามของมู่เฉียนซี จักรพรรดิเซี่ยกล่าวขึ้น “เขา… เจ้ายังฆ่าไม่ได้!”
มู่เฉียนซีถาม “เหตุผลล่ะ ?”
จักรพรรดิเซี่ยไม่ได้เปิดปากแต่อย่างใด แต่อวิ๋นฮวานั้นรีบกล่าวขึ้น “ใช่ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ หากเจ้าฆ่าข้า อาจารย์ของข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
มู่เฉียนซี “เจ้ามาถึงป่าหนานอู้ส่วนลึก ตายไปก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าคิดว่าเจ้าสำนักอวิ๋นจะรู้หรือว่าข้าเป็นคนฆ่าเจ้า ?”
อวิ๋นฮวา “สำนักอวิ๋นเยียนมีป้ายชีวิตของข้า ขอแค่เพียงป้ายชีวิตนั้นแตกหัก ท่านอาจารย์ก็สามารถดูออกได้แล้วว่าใครเป็นผู้ฆ่าข้า เช่นนั้นแล้วเจ้าข้าฆ่าไม่ได้”
มู่เฉียนซีนึกขึ้นมาได้ว่าเหมือนจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง เมื่อตอนที่อยู่ในแดนลึกลับแห่งภาคตะวันตกนางได้สังหารเจ้าหมอนั่นไป ไม่นานนักคนของสำนักอวิ๋นเยียนก็บุกล่าฆ่าฟันตามมา
ถึงแม้ต่อให้จะไม่สามารถฆ่าเขาได้โดยตรง นางก็ยังมีวิธีอีกมากมายที่จะทำให้เจ้าสวะนี่อยู่ไม่สู้ตาย
แต่ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังคิดว่าจะวางยาพิษอะไรกับอวิ๋นฮวาดีนั้น…
— ซึ่บ! —
เสียงหนึ่งลอยมา บนร่างของอวิ๋นฮวานั้นอย่างน้อยมีกระบี่น้ำแข็งนับพันเล่มแทงเข้าไปที่ร่างเขา
อวิ๋นฮวาเบิกตากว้าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วกล่าวขึ้นอย่างยากลำบากว่า “เจ้า… กลับ… กล้า… ฆ่า…”
จักรพรรดิเซี่ยตัดสินใจลงมืออย่างรวดเร็ว ส่วนเขานั้นแม้กระทั่งประโยคสุดท้ายยังไม่ทันได้กล่าวจบก็สิ้นลมหายใจเสียแล้ว
ใบหน้าของมู่เฉียนซีเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เจ้า… เจ้ารู้อยู่ว่าการฆ่าเขาจะถูกเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนรู้ เจ้ายัง…”
“เจ้าฆ่าแล้วมีปัญหา ข้าฆ่านั้นไม่เป็นไร เพราะข้ากับสำนักอวิ๋นเยียนเป็นศัตรูกันมาแต่แรกอยู่แล้ว” จักรพรรดิเซี่ยกล่าวขรึม ๆ
ร่างสีขาวหิมะพุ่งตรงไปยังผู้อาวุโสทั้งสองของสำนักอวิ๋นเยียน
เมื่อผู้อาวุโสเหล่านั้นเห็นจักรพรรดิเซี่ยมาถึง สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาไม่อยากต่อสู้อีกต่อไป แต่ต้องการที่จะหนีเอาชีวิตรอด
“คิดจะหนีรึ ? ฝันไปเถอะ!” เสี่ยวหงกล่าวอย่างเย็นชา เปลวเพลิงสีแดงเข้มก่อตัวเป็นกําแพงไฟรอบ ๆ ทันที
— ตูม! ตูม! —
และร่างของอู๋ตี้ก็พุ่งเข้าไป
พลังอันน่าสะพรึงกลัวของน้ำแข็งแผ่กระจายออกไป สีหน้าผู้อาวุโสของสำนักอวิ๋นเยียนที่ตกอยู่ในวงล้อมทั้งเพลิงและน้ำแข็งยิ่งซีดลงไปเรื่อย ๆ พวกเขารีบกล่าวขึ้น “โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“ท่านจักรพรรดิเซี่ย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“แม่นางเฉียน ปล่อยพวกข้าไปเถอะ…”
มาตอนนี้พวกเขาคงจะต้องคิดเป็นแน่ว่าที่ผ่านมาทุกวันไม่น่าไปทำเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย อยากที่จะมีชีวิตรอด ไม่มีทาง…!
— ตูม! ตูม! ตูม! —
สุดท้ายแล้วผู้อาวุโสทั้งหมดของสำนักอวิ๋นเยียนถูกจัดการเสียจนหมดสิ้น ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่ผู้เดียว
การมาที่ป่าหนานอู้ในครั้งนี้ นางได้สิ่งที่นางต้องการ พลังความแข็งแกร่งของนางก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย แล้วยังถือโอกาสจัดการกับศิษย์ใหญ่อันดับหนึ่งของสำนักอวิ๋นเยียนไปด้วย
หลังจากนี้ไปก็เหลือเพียงอวิ๋นเฟิ้งแห่งสำนักอวิ๋นเยียนแล้ว
ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกาย นางปลดปล่อยจิตสังหารที่อันตรายอย่างที่สุดออกมา
จักรพรรดิเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างหน้ามู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยข้า ? มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีก”
มู่เฉียนซีตกตะลึง เครื่องจักรกลไกช่างปากสว่างเสียจริง มันเอาเรื่องเช่นนี้ไปบอกกับจักรพรรดิเซี่ย
มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองดวงตาที่เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งคู่นั้นแล้วกล่าวว่า “แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้คอยช่วยข้าอยู่เรื่อยไปเล่า ?”
ดวงตาทั้งสี่ข้างจ้องมองกัน ดวงตาที่เย็นยะเยือกของจักรพรรดิเซี่ยดูเหมือนจะไม่สามารถซ่อนอารมณ์บางอย่างเอาไว้ได้ ในที่สุดเขาก็หันกลับไปและหายวับไปต่อหน้าต่อตามู่เฉียนซี
เสี่ยวหงกล่าวขึ้น “นายท่าน คนผู้นี้เป็นผู้แปลกประหลาดผู้หนึ่ง ยังสนทนากันอยู่แต่แล้วก็จากไปเช่นนี้ ไม่กล่าวขอบคุณสักคำ เหอะ!”
อู๋ตี้กล่าว “กล่าวขอบคุณแล้วมีประโยชน์อะไร ? ไม่เคยได้ยินคำกล่าวนี้ของพวกมนุษย์รึ ? ที่ว่าบุญคุณแห่งการช่วยชีวิต จะต้องตอบแทนด้วยกายใจทั้งชีพ”
เสี่ยวหงโกรธเป็นอย่างมาก “แล้วจะให้ผู้อื่นมาตอบแทนด้วยกายใจตลอดชีวิตกับนายท่านได้อย่างไรเล่า ? เจ้าคิดว่าคนผู้นี้เทียบกับนายท่านจิ่วเยี่ยได้รึ ?”
เสี่ยวหงที่ถูกจิ่วเยี่ยยัดเยียดให้ทำพันธสัญญากับมูเฉียนซี มันรักษาสิทธิ์ของจิ่วเจี่ยเป็นอย่างมาก
อู๋ตี้ “เจ้ามันเป็นพวกทรยศ ที่หน้าผาสูงเสียดฟ้านั้นไฉนเลยจะไม่มีหญ้าหอมขึ้น นายท่านของเรานางพิเศษเช่นนี้ เหตุใดจะต้องไปอยู่แต่กับโครงกระดูกด้วย ?”
เสี่ยวหง “ถ้าหากว่านายท่านจิ่วเยี่ยรู้เรื่องที่เจ้ากล้าให้นายท่านของเราเปลี่ยนใจเช่นนี้ละก็… เจ้าตายแน่”
เมื่อนึกถึงชายผู้ที่เป็นดั่งเทพมารชิวหลัว อู๋ตี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่าง
ผลสุดท้ายแล้วกลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มา เสียงที่คุ้นเคยกำลังเข้ามาใกล้ ชายผู้หนึ่งที่งดงามอย่างยากจะหาผู้ใดเทียบและกระหายเลือด กำลังก้าวออกมาจากในมิติ เขาดูราวกับเทพมารเสด็จลงมาก็มิปาน ทำให้บรรยากาศฟ้าดินรอบด้านนั้นดูอับเฉาลง
“อ๊าก!” เสียงอู๋ตี้ร้องอย่างอนาถดังขึ้นมาหนึ่งครา มันสลบไปในทันที เขามา… เขามาแล้วจริง ๆ!
เสี่ยวหงยืนเหยียบหางของอู๋ตี้แล้วกล่าวขึ้น “เหอะ ๆ ความกล้าของเจ้ามีเพียงแค่นี้ ยังกล้าที่จะมายุยงเรื่องของนายท่าน ช่างไม่รู้จักความเป็นความตายเสียจริงเจ้าแมวงั่ง”
เดิมทีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองกำลังทะเลาะกันอยู่ เมื่อกล่าวถึงจิ่วเยี่ย ไม่มีตัวใดคาดคิดว่าจิ่วเยี่ยจะมาปรากฏตัวขึ้น
มู่เฉียนซีเอง นางก็สงสัยจริง ๆ ว่าจิ่วเยี่ยนั้นมีความสามารถในเรื่องหูวิเศษอะไรหรือไม่ มิเช่นนั้นคงไม่ได้โผล่มาอย่างบังเอิญเช่นนี้ นางมองไปที่จิ่วเยี่ยแล้วกล่าวขึ้น “เจ้ามาได้อย่างไร ?”
“พบเจ้า” จื่อโยวพ่นคําสองคําออกมา
“มาพบเจ้า” จิ่วเยี่ยกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“ชิ!” เสียงที่แฝงความเหยียดหยามดังออกมา ชายหนุ่มที่เหมือนกับวิญญาณที่มีดวงตาสีเขียวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้ามู่เฉียนซี เขากล่าวอย่างเหยียดหยามอีกว่า “โกหกไม่ได้เขียนต้นฉบับเลย ข้าว่าเจ้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างถึงได้มาที่นี่”
ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นราวกับจะแช่แข็งชายหนุ่มผู้ที่คอยกล่าวโต้แย้งอยู่ แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชายผู้ที่เหมือนดั่งเทพมารชิวหลัว อาถิงนั้นไม่ได้กลัวตายแต่อย่างใด
“ทำไมเล่า ? หรือว่าข้าพูดไม่ถูก ?”
จิ่วเยี่ยไม่ได้กล่าวอะไรกับอาถิง เขายื่นแขนออกมาแล้วดึงมู่เฉียนซีเข้าไปไว้ในอ้อมกอด เมื่อกอดนางเอาไว้แน่นแล้วจึงกล่าวขึ้น “คิดถึงเจ้า”
กลิ่นอายที่คุ้นเคย น้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ทำให้นางรู้สึกว่านับวันยิ่งจะคุ้นชินเข้าไปทุกที มู่เฉียนซีตกตะลึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นกับการที่เขากระทำเช่นนี้กับนาง
อาถิงกล่าวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “เฮ้! เจ้าอย่าทำเป็นมองไม่เห็นข้าได้ไหมเล่า ?!”
“สตรีบ้า เจ้าไปเชื่อคำหวานของชายผู้หนึ่งนั้นไม่ถูกต้องเลยจริง ๆ”
— ตูม! —
ทันใดนั้นพลังสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่อาถิงที่กล้ามาทำลายบรรยากาศ
ดวงตาเย็นเยือกคู่นั้นของจิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้งเป็นที่สุด เขาเปิดปากกล่าวถามขึ้น “ซีคิดถึงข้าหรือไม่ ?”
คิดถึงเขาหรือไม่ ?
เข้าไปในเทือกเขาชีชง นางก็ได้เผชิญกับสัตว์วิญญาณที่เข้ามาโจมตีจำนวนไม่น้อย จากนั้นก็พบเจอกับพวกสวะอวิ๋นฮวา ต่อมาได้ไปเล่นละครงูพิษที่ไม่น่าไว้วางใจกับเขา วัดความกล้าวัดปัญญา ท้ายที่สุดแล้วก็ไปถึงที่เจดีย์เทพหนานอู้…
ได้รับการฝึกฝนจากเจดีย์เทพ…
อื้ม! เวลาที่ใช้พลังซวนตี้เป็นเพียงเวลาเดียวเท่านั้นที่นางคิดถึงเขา ทว่าหากนางกล่าวความจริงนี้ออกไป นางเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีเหม่อลอยอยู่ในอ้อมอกของเขาโดยไม่กล่าววาจาอันใด ราวกับว่ามีความรู้สึกผิดอยู่บ้างเล็กน้อย มุมปากของจิ่วเยี่ยก็โค้งขึ้น ในตอนที่นางยังไม่กล่าวอะไรออกมานั้น ริมฝีปากอันบางและงดงามนั้นก็กำลังเข้าไปใกล้
“ซี… ต้องคิดถึงแน่ ๆ” เสียงแหบแห้งดังราวกับสุราชั้นดี จากนั้นจูบอย่างบ้าคลั่งก็กวาดเข้ามา
คิดถึง แต่ไม่พูด
แสดงด้วยการกระทําในทางปฏิบัติ อีกทั้งจุมพิตเดียวคงไม่เพียงพอ!
“เจ้า… เจ้าสองคนไม่รู้จักอายบ้างเลยรึ ? เห็นข้าเป็นอากาศเรอะ ?!!!”
อู๋ตี้และเสี่ยวหงต้องเผชิญหน้ากับฉากรักของหนุ่มสาวเช่นนี้ พวกมันไม่กล้ามองและได้แต่กลับไปที่มิติ รีบหนีเช่นนี้ก็เพื่อที่บุรุษน่ากลัวอย่างจิ่วเยี่ยจะได้ไม่ปิดปากของพวกมันโดยการฆ่าสัตว์อสูร
เห็นได้ชัดว่าอาถิงไม่มีสติอย่างมาก เขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “น่าโมโหนัก!”
“เจ้าเดรัจฉาน รีบปล่อยผู้ทําพันธสัญญาของข้าเร็วเข้า!”