จิ่วเยี่ยกล่าวว่า “จื่อโยว เจ้าไปเล่นเป็นเพื่อนศาลาเลือนรางเก้าชั้นหน่อยสิ” กล่าวจบ จิ่วเยี่ยก็กอดมู่เฉียนซีและจากไปทันที
หมอกหนาสีฟ้าอ่อน ภายใต้อำนาจความกดดันของจิ่วเยี่ยนั้นไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ที่นี่ บนทุ่งหญ้าที่เขียวขจี จิ่วเยี่ยใช้อำนาจบีบบังคับให้มู่เฉียนซีช่วยรักษาอาการป่วยของเขา!
รักษาอาการป่วย!
ทางด้านอาถิง ร่างสีเขียวเข้มร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าอาถิงเพื่อขัดขวางไม่ให้อาถิงตามไป เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์ชวนให้น่าหลงใหลและกล่าวว่า “เหอ ๆ ๆ เจ้าคือศาลาเลือนรางเก้าชั้นเหรอ! รูปร่างหน้าตาสวยงาม น่ารักจริงเชียว! ”
น่ารัก!
สวยงาม!
เจ้าหมอนี่สมควรตายยิ่งนัก กล้าดียังไงใช้คำเหล่านี้มาบรรยายรูปร่างหน้าตาของเขา อาถิงพรวดเข้าไปตรงหน้า
“เจ้า! ไอ้คนอัปลักษณ์ น่าขยะแขยง รนหาที่ตายงั้นเหรอ! ”
รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ชวนให้น่าหลงใหลของจื่อโยวหยุดนิ่งทันทีเมื่อได้คำคำพูดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่บุรุษที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้ แต่เขาก็เป็นผู้งดงามอันดับสองแน่ ๆ! นึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าเจ้าหมอนี่จะกล้าว่าเขาเป็น……
น่าขยะแขยงเหรอ!
ไอ้คนอัปลักษณ์งั้นเหรอ!
ใครจะทนก็ทนไป แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว และผลที่เกิดขึ้นหลังจากคำพูดเหล่านี้ก็คือ จื่อโยวกับอาถิงทั้งสองเหมือนสายฟ้าสวรรค์ชักนำอัคคีพสุธาให้ต่อสู้กันอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
ตูมมมมม!
ทางด้านจิ่วเยี่ยกับมู่เฉียนซีตอนนี้ หลังจากที่จิ่วเยี่ยได้รักษาอาการป่วยเสร็จ ก็ปล่อยมู่เฉียนซีที่เหนื่อยล้าจนแทบจะเป็นลมหมดสติไปให้อยู่ในอากัปกิริยาท่าทางที่ผ่อนคลาย มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เกิดอะไรขึ้น แล้วเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? ”
“สิ่งข้ากำลังตามหา มันมีความเชื่อมโยงกับหอเทพ”
มู่เฉียนซีตกใจเล็กน้อย “มีความเชื่อมโยงกัน เจ้ากำลังตามหาหอฉงโหลวบนเมฆา! ”
จะเป็นไปได้ยังไง! แม้กระทั่งแหวนมังกรเทพวารีที่เป็นถึงมหาวัตถุศักดิ์นิรันดร์ ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของจิ่วเยี่ย อีกทั้งยังมอบให้คนอื่นแบบส่ง ๆ ได้ แล้วเหตุใดเขาถึงได้ใจจดใจจ่อ ตั้งใจค้นหาหอฉงโหลวบนเมฆา ซึ่งไม่อาจเทียบกับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้เลย
“ไม่ใช่ ข้าสงสัยว่า นางจะอยู่ในนั้น” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงขรึม
คนที่จิ่วเยี่ยกำลังตามหาเป็นผู้หญิงที่อยู่ในหอฉงโหลวบนเมฆา มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าหอเทพจะใช้อุบายอะไรมาล่อให้หอฉงโหลวออกมา ภายในเวลาสามเดือน หอฉงโหลวจะปรากฏขึ้นที่ไหนสักแห่งในเซี่ยโจว หากเจ้าไม่รีบก็รออีกหน่อยเถอะ พอดีข้าก็รับภารกิจมาจากหอเทพให้ไปเอาบางอย่างมาจากหอฉงโหลว”
ในเมื่อรู้สถานที่และเวลาโดยประมาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปหาโดยไร้จุดหมายแล้วหล่ะ
และในเวลานี้เอง ร่างสีเขียวอ่อนก็พรวดพราดเข้ามาอย่างคุกคาม และกล่าวอย่างดุดันว่า “เจ้าหญิงบ้า เจ้าเยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมมาก! ข้าต้องจัดการกับเจ้าปีศาจบ้านั้นอย่างลำบากยากเย็น แต่เจ้ากลับมาพลอดรักอยู่กับเจ้าหมอนี่อยู่ตรงนี้เนี่ยนะ”
“เจ้ามันเป็นหญิงบ้า น่ารังเกียจที่สุด” อาถิงบ่นด้วยความโกรธเกรี้ยวจบก็กลับเข้าไปยังมิติและรักษาอาการบาดเจ็บทันที
ตอนนี้พลังของเขายังไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ มิเช่นนั้นแล้วเจ้าปีศาจนั่นคงต้องตายในเงื้อมมือของเขาอย่างน่าสังเวชแน่ ส่วนเจ้านายของเจ้าปีศาจนั่น จะต้องตายยิ่งกว่าน่าสังเวชอีก
“ด้วยกัน! ” หลังจากที่จิ่วเยี่ยฟังคำพูดของมู่เฉียนซีจบ เขาก็พ่นคำออกมาสองคำ
หากไปหอฉงโหลวกับจิ่วเยี่ย โอกาสที่จะทำภารกิจสำเร็จก็เป็นไปได้สูงหน่อย พลังวิญญาณของนางก็จะได้ไม่ลดถอยลง
มู่เฉียนซีกล่าว “ได้สิ! แต่ว่า หากเจ้ามีคนสำคัญที่ต้องรีบไปตามหา ก็ไปก่อนได้เลย”
แขนอันเรียวยาวที่กำลังโอบเอวมู่เฉียนซีอยู่นั้นเพิ่มแรงโอบแน่นขึ้น “ใครก็สำคัญเทียบเจ้าไม่ได้” น้ำเสียงของเขาเย็นชา ตอนที่เขากล่าวคำพูดนี้ออกมา ในบริเวณรอบ ๆ ราวกับมีน้ำแข็งอันเย็นยะเยือกเกาะอยู่ก็มิปาน ไร้ซึ่งความอ่อนโยน แต่กลับเต็มไปด้วยพลังความเด็ดเดี่ยว ไม่อาจให้สอดปากสอดคำได้
มู่เฉียนซีสะดุ้งเล็กน้อย นางรู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะจริงจังเป็นพิเศษ
“เข้าใจหรือไม่? ” ไม่ว่าคำตอบของนางคืออะไร แต่ขอเพียงแค่นางรู้เอาไว้ก็พอ
“เข้าใจแล้ว” มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว แต่ก็ไม่กล้าหันมองหน้าเขาแต่อย่างใด
“ดีมาก! ” จิ่วเยี่ยจ้องมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง เขายื่นใบหน้าไปใกล้ใบหูของนาง จากนั้นใช้ริมฝีปากกัดติ่งหูนางเบา ๆ และกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ห้ามลืมเด็ดขาด! ”
ในขณะที่กำลังเตรียมตัวออกจากอาณาเขตเผ่าเทพหนานอู้ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย ในเมื่อเรื่องที่เจ้ากำลังตามหาได้กำหนดเอาไว้แล้ว งั้นเจ้าพอจะมีเวลาว่างบ้างหรือไม่”
“มี”
“งั้น เจ้าแบ่งเวลาให้ข้าหน่อยจะได้หรือไม่ เจ้าช่วยสอนทักษะเทียนซวนให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าเป็นราชาแห่งภูตระดับเก้า ข้าพอจะฝึกฝนทักษะเทียนซวนได้แล้วใช่ไหม! ”
“เจ้าอยากให้ข้าอยู่กับเจ้า! ” จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซี
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายขอให้เขาอยู่กับนาง
มู่เฉียนซีกล่าวต่ออีกว่า “อยู่เป็นเพื่อนข้าตอนที่ข้าฝึกฝน”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ! ”
“แล้วสรุปเจ้าจะตอบตกลงหรือไม่? ” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ข้าตกลงทุก ๆ คำขอของเจ้า” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างไม่ลังเล
มู่เฉียนซีใจสั่นเล็กน้อย นี่เขา…..
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จื่อโยวจะเป็นคนสอนเขา ตอนนี้คำพูดคำจาของเขาแทบจะไม่เหมือนจิ่วเยี่ยคนเดิมแล้ว แม้ว่าน้ำเสียงจะดูเย็นชาไปหน่อย แต่ทุก ๆ คำพูดนั้นล้วนแต่กินใจ และทำให้คนหลงใหลได้เลย
“งั้น ก็ดี! ”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีพลางกล่าว “ไปที่อื่น”
ครั้นแล้วจิ่วเยี่ยก็พามู่เฉียนซีไปที่มุมมุมหนึ่งในเทือกเขาหนานอู้ แต่ในที่นี้ก็เต็มไปด้วยก้อนหินก้อนใหญ่อันหลากหลาย
จิ่วเยี่ยปล่อยมู่เฉียนซีลง จากนั้นเขาก็กระโดดลอยขึ้นไปยืนในอากาศ และกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ดูดี ๆ ล่ะ! ” เขายืนลอยอยู่ในอากาศ มืออันเรียวยาวนั้นค่อย ๆ ยกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แต่ฝ่ามือนั้นดูเหมือนว่าจะขับเคลื่อนพลังฟ้าดิน
ตูมมมม!
เมื่อฝ่ามือตกลงมาจากท้องฟ้าสู่ก้อนหินในชั่วขณะหนึ่ง……
ก้อนหินนั้นไม่ได้แตกเป็นชิ้น ๆ และไม่ได้แตกเป็นแผ่นเล็ก ๆ แต่กลับกลับเป็นผุยผง!
ทันทีที่สายลมพัดไปก็ได้นำพาผุยผงเหล่านั้นไปด้วย
มู่เฉียนซียืนตะลึงอยู่กับที่ นี่คือทักษะเทียนซวน พลังของมันมหาศาลและวิปริตเกินไปแล้ว!
หากนางสามารถฝึกฝนทักษะเทียนซวนได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ และเข้าใกล้ศัตรูผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิ จากนั้นก็โจมตีด้วยทักษะเทียนซีนี้ มีหวังกระดูกของคนผู้นั้นต้องแหลกกลายเป็นผุยผงเป็นแน่
“เป็นไง? ”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย นางกล่าวว่า “เอ่อ เมื่อกี้นี้ข้ามัวแต่ตะลึงกับพลังอันมหาศาลนั้นอยู่ ก็เลยไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้ารวบรวมพลังวิญญาณเคลื่อนไหวกระบวนท่านี้ยังไงหน่ะ เจ้าลองอีกครั้งสิ”
‘ฝ่าบาทจิ่วเยี่ยสอนทักษะวิญญาณให้กับราชาแห่งภูต มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย อีกทั้งยังสอนแล้วยังไม่จำ ต้องให้สอนซ้ำซากเป็นครั้งที่สองอีก หากเป็นคนอื่นคงจะกลายเป็นโครงกระดูกขาวไปแล้วแน่’
จื่อโยวแอบพึมพำในใจ และสุดท้ายเขาก็ได้เห็นฝ่ายบาทของตัวเองสอนให้นางอีกครั้งโดยไร้ซึ่งความรำคาญใจใดใด และสิ่งที่ทำให้ตะลึงไปยิ่งกว่านั้น เขายังจับมือถือแขนสอนทักษะวิญญาณอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
“ทักษะเทียนซวน! ”
ตูมมมม!
ฝ่ามือของมู่เฉียนซีตกลงสู่ก้อนหินก้อนนั้น และผลที่ได้ก็คือ……
ก้อนหินก้อนนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดเลยสักนิด นางพบว่าก้อนหินก้อนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก พลังวิญญาณขั้นราชา ยากนักที่จะทำลายมันลงได้
และในตอนนั้นเอง จิ่วเยี่ยได้เดินไปอยู่ด้านหลังมู่เฉียนซี และจับมือมู่เฉียนซีเอาไว้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ออกพลังผิดแล้ว” จากนั้นเขาก็จับมือมู่เฉียนซีให้เคลื่อนไหวกระบวนท่าอยู่พักหนึ่ง
ตูมมมมม! ตูมมมม!
ถึงแม้ว่าก้อนหินนั้นจะแตกออกเพียงเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็มีความก้าวหน้าขึ้น ทักษะเทียนซวนนั้นควบคุมได้ยากกว่าทักษะตี้ซวนมาก โชคดีที่จิ่วเยี่ยค่อย ๆ สอนนางทีละขั้นตอนทำให้มู่เฉียนซีไปถึงเป้าหมายพื้นฐานได้ในเวลาอันสั้น
หากฝึกฝนคนเดียวลำพัง มีหวังหนึ่งปีก็คงจะไม่สำเร็จแน่
วันเวลาค่อย ๆ ผ่านไปในแต่ละวัน จนในที่สุดทักษะเทียนซวนของมู่เฉียนซีจึงยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ
“ทักษะเทียนซวน! ”
ตูมมมม ตูมมมม ตูมมมม!
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็สามารถทำให้ก้อนหินนั้นแตกกระจายได้ นี่นับว่านางได้สำเร็จทักษะเทียนซวนในขั้นพื้นฐานแล้ว
ขอเพียงแต่ได้เลื่อนขั้นพลังวิญญาณให้สูงขึ้นกว่านี้ และพยายามฝึกฝนทักษะนี้ต่อไป นางจะต้องทำให้ก้อนหินนั้นแหลกสลายกลายเป็นผุยผงได้แน่ มู่เฉียนซีกอดแขนจิ่วเยี่ยพลางกล่าว “จิ่วเยี่ย อีกไม่นานข้าก็จะสำเร็จทักษะเทียนซวนขั้นพื้นฐานแล้ว เจ้าเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย”