ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะให้อาถิงหยุดเวลานั้น มีใครบางคนคนกระโจนออกมาทำตนเป็นวรีบุรษช่วยหญิงงาม
คนผู้นั้นมาในอาภรณ์สีขาว ผมสีดำของเขาปลิวสะบัดกลางความมืด ใบหน้าที่งดงามปราณีตนั้นราวกับเทพผู้สูงส่งก็มิปาน
จวินโม่ซี ราชาโอสถจวินโม่ซีมาแล้ว
มุมปากของจวินโม่ซียกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “พวกเจ้าหุบเขาหมอเทวดา นับวันยิ่งไร้ยางอายเข้าไปทุกที แม้แต่เด็กสาวผู้หนึ่งก็ยังไปรังแก หน้าไม่อาย”
“เจ้าคือไอ้หนูตระกูลจวิน!” ใบหน้าของจวินโม่ซีนั้นโดดเด่นเกินไป แค่เพียงเคยพบเจอเขาก็ยากที่จะลืมลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยอยู่ที่หุบเขาหมอเทวดาในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นแล้วผู้อาวุโสที่สี่จึงจดจำเขาได้
ผู้อาวุโสที่สี่กล่าวขึ้น “เจ้าหนุ่มตระกูลจวิน เจ้าให้พวกเราหาตัวอย่างยากลำบาก ไม่นึกเลยว่าวันนี้ เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม เจ้ากลับเข้ามาหาถึงที่ ข้าขอเตือนให้เจ้ารีบส่งม้วนไม้ไผ่แผนที่หม้อเทพนิรันดร์ออกมา ข้านั้นยังสามารถเห็นแก่หน้าของตระกูลจวินได้ ให้เจ้าได้ตายอย่างศพสวย”
“ศพสวยงั้นหรือ ? ข้าคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมอบสิ่งนั้นให้แก่พวกไร้ยางอาย ดังนั้น…”
— ตูม! —
จวินโม่ซีลงมือในทันที
มู่เฉียนซีเองก็ประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ได้เจอกับเขามาสักพักหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าพลังความสามารถของเขาจะพุ่งขึ้นไปสูงถึงเพียงนี้ ในตอนที่จวินโม่ซีกำลังลงมือ เขาก็กล่าวขึ้น “สาวน้อย เจ้ารีบไปเร็วเข้า!”
มู่เฉียนซี “ปล่อยให้เจ้ารับมือกับคนมากมายเพียงผู้เดียว เจ้าคิดว่าเป็นไปได้รึ ?”
“หนึ่งในพวกเขานั้นมีระดับมหาจักรพรรดิอยู่หนึ่งคน เจ้ารีบไปเถอะ ข้ามีวิธีรักษาชีวิตข้าเอาไว้”
ผู้อาวุโสที่สี่กล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “หึ ๆ มิน่าละแม่สาวน้อยผู้นี้อายุยังน้อยอยู่แต่กลับมีวิชาการปรุงยาที่ร้ายกาจเช่นนั้น ที่แท้นางก็รู้จักกับคนตระกูลจวินนี่เอง มิแปลก”
“วันนี้ให้ข้าจัดการพวกเจ้าเสียให้หมด!” “สาวน้อย รีบไปเร็ว หากยังไม่ไปอีกจะไม่ทันแล้ว”
ทว่ามู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ ข้ามีวิธี!”
“อาถิง!”
มีเสียงเบา ๆ ลอยออกมา “เวลาหยุดเดิน!”
ในตอนนี้มู่เฉียนซีได้ลงมือกับผู้อาวุโสที่สี่ เมื่อจัดการเจ้าเฒ่านั่นแล้ว ที่เหลือก็สบายขึ้นมาก — ปัง! —
ที่น่าเสียดายก็คือ มู่เฉียนซีเพิ่งใช้กระบวนท่ากับเขาไปหนึ่งกระบวน เวลาก็กลับมาเดินเป็นปกติแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ไวเกินไปแล้ว อาถิง!”
“พลังของข้าไม่เพียงพอ ฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นระดับมหาจักรพรรดิ จึงส่งผลได้เพียงเท่านี้ เรื่องนี้เจ้าจะมาโทษข้าไม่ได้ เป็นเจ้าเองที่อ่อนแอเกินไป ถึงทำให้ข้าผู้เป็นผู้ทำพันธสัญญากับเจ้ามีพลังที่อ่อน เข้าใจหรือไม่ ?”
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกับอาถิง ผู้อาวุโสที่สี่ยังไม่ตาย อันตรายยังไม่ได้ถูกกำจัดไป ผู้อาวุโสที่สี่พลันได้รับบาดเจ็บทันใด เขารู้สึกประหลาดยิ่งนักขณะเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนจะกล่าวขึ้น “สาวน้อย เจ้าใช้วิธีมารปีศาจอันใดกันแน่ที่ทำให้ข้าบาดเจ็บหนักเช่นนี้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเจ้าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
— ตูม! —
สถานการณ์ในตอนนี้ จำเป็นที่จะต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิต
“เสี่ยวหง อู๋ตี้ ออกมา!” มู่เฉียนซีตะโกน
ใบหน้าของผู้อาวุโสที่สี่และพรรคพวกเปลี่ยนไปอย่างมาก “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม!” ในตอนที่มู่เฉียนซีเรียกอู๋ตี้และเสี่ยวหงออกมานั้น ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อสู้ไม่ได้ก็คงต้องรุม ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมียอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิก็ตาม
จวินโม่ซีในเวลานี้ยิ้มออกแล้ว “มู่เฉียนซีสาวน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะคละเคล้าอยู่ในทวีปเซี่ยโจวได้ไม่เลวเลย ทันทีที่เริ่มสู้ก็มียอดฝีมือระดับจักพรรดิตั้งหลายคนช่วยเหลือ”
แววตาของผู้อาวุโสที่สี่พลันหม่นหมอง หากว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาเลย แต่ทว่าตอนนี้…
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถสังหารคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่เกรงว่าบรรดาศิษย์ของเขาเองก็คงล้มตายไปไม่น้อย คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ที่เขาทุ่มทั้งแรงกายแรงใจฝึกฝน หากมาตายเอาเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
มุมปากของมู่เฉียนซีโค้งขึ้นเล็กน้อย “ผู้อาวุโสที่สี่ ถึงแม้ท่านจะดูถูกทวีปเซี่ยโจว ท่านก็จำต้องยอมรับในเรื่องนี้ นั่นก็คือมังกรที่แข็งแกร่งสู้กับงูดินเจ้าถิ่นมิได้ ท่านอยากจะให้พวกเราตาย หรือว่าอยากจะให้บรรดาศิษย์ของท่านตายทั้งหมด จงเลือกเอาเอง”
ผู้อาวุโสที่สี่แค่นเสียงเย็นชา “สาวน้อย เจ้าอย่าได้ใจไวไปนัก วันนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน” เขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะได้ลงมือฆ่าสังหารสาวน้อยผู้นี้สองหน แต้สุดท้ายกลับล้มเหลวทั้งสองหน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกบีบจนถึงขั้นนี้!
หลังจากที่วิกฤตได้คลี่คลาย ชายชุดดำเหล่านั้นก็ได้ล่าถอยไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไม่เหลือผู้ใด
สีหน้าของจวินโม่ซีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาจับตัวมู่เฉียนซีไว้ ปากก็กล่าวขึ้นพลางทำท่าทางน่าสงสาร “มู่เฉียนซีสาวน้อย ข้าหิวแล้ว โอย หิวจะตายอยู่แล้ว!”
น้ำเสียงของจวินโม่ซีในตอนนี้ราวกับไม่ได้กินข้าวมาเป็นสิบวันก็มิปาน มู่เฉียนซีจนปัญญา “ได้ เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าในวันนี้ ข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้า”
“โอ้! ดีมาก นั่นนับว่าเจ้ายังมีจิตสํานึกอยู่” จวินโม่ซีแกล้งกล่าวหยอกล้อ
พวกเขานั้นไม่ได้เจอกันมาช่วงหนึ่งแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “หม้อเทพนิรันดร์ข้าหาพบแล้ว อีกทั้งยังได้ทำพันธสัญญาแล้วด้วย หุบเขาหมอเทวดาไม่มีโอกาสอีกตลอดไป”
จวินโม่ซียิ้มกริ่ม “ดี! เจ้าทำได้ดีทีเดียว”
“จวินโม่ซี หากว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ตลอด คนของหุบเขาหมอเทวดาก็หาเจ้าไม่เจอ แต่วันนี้เจ้ากลับออกมา เช่นนี้มิใช่ว่าหาความเดือดร้อนใส่ตนหรือ ?” มู่เฉียนซีถาม จวินโม่ซี “ในเมื่อหม้อเทพนิรันดร์ถูกเจ้าหาพบแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป”
มู่เฉียนซี “แต่หุบเขาหมอเทวดายังอยู่นะ”
“เช่นนั้นเราก็ทำลายล้างเสีย” จวินโม่ซีที่รู้จักแต่กินและไม่เคยทำอะไรโหดเหี้ยมมาก่อน ในตอนนี้ดวงตาของเขาฉายแววเหี้ยมโหด
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว ดังนั้นจึงอยากที่จะทำลายหุบเขาหมอเทวดา หลังจากนั้นข้าก็จะสามารถกินดื่มได้อย่างสบายใจ เจ้าคิดว่าความคิดนี้เป็นเช่นไร ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม… เหมือนว่าจะไม่เลว” “รอจนเมื่อเจ้าเลี้ยงข้าอิ่ม ข้าจะล่อคนพวกนั้นออกไปจากทวีปเซี่ยโจว เมื่อถึงตอนนั้น พวกนั้นก็จะไม่มากวนใจเจ้าแล้ว”
“ล่อไปรึ ? หนึ่งในนั้นยังมีระดับมหาจักรพรรดิ เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าจะปลอดภัย”
จวินโม่ซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “มู่เฉียนซีสาวน้อย เจ้านั้นดูเบาข้าเกินไปแล้ว ข้าจวินโม่ซีหนีเอาชีวิตรอดได้ตั้งหลายปี ถึงต่อให้มีระดับมหาจักรพรรดิผู้หนึ่ง แล้วอย่างไรเล่า ?”
“แต่ทว่า…” เขานั้นได้หักเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วโดยการกล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องเลี้ยงข้าให้อิ่มแปล้ ข้ากินอิ่มแล้วถึงจะมีแรงหนี”
“เจ้าวางใจได้!” มู่เฉียนซีรับคำ นางนั้นรู้ว่าการเดินหมากในครั้งนี้ของจวินโม่ซีอันตรายมาก แต่ถ้าหากหุบเขาหมอเทวดาไม่ถูกทำลาย ทั้งชีวิตนี้เขาคงไม่มีทางปล่อยตัวอย่างสบาย ๆได้
น่าหลานอวี้และเชียนอ้าวเซี่ยกังวลอยู่ทั้งคืน จึงรีบรุดมาหามู่เฉียนซีดั่งเพลิงลุก แต่กลับเห็นมู่เฉียนซีกำลังจะพาจวินโม่ซีเดินออกประตูไปกินอาหารครั้งใหญ่ด้วยกัน
เมื่อพวกเขาได้เห็นมู่เฉียนซีพาชายผู้ที่เหมือนเทวดานางฟ้าออกมาก็ตะลึงตาค้างและถามขึ้นว่า “ซีเอ๋อร์… ซีเอ๋อร์น้อย ชายผู้นี้เป็นใครกัน ?”
ก่อนที่มู่เฉียนซีจะตอบกลับไป จวินโม่ซีก็กล่าวขึ้น “พวกเจ้าทั้งสองไสหัวไป ช่วงหลายวันนี้มู่เฉียนซีนางจะต้องรับผิดชอบเลี้ยงข้าให้อิ่มหนำ ใครก็ห้ามขัดจังหวะข้า”
ดวงตาของเชียนอ้าวเซี่ยฉายแววอันตรายออกมาแวบหนึ่ง เขามองไปที่จวินโม่ซีแล้วกล่าวขึ้น “ข้าว่าไม่ต้องรบกวนซีเอ๋อร์น้อยหรอก เจ้าไปกับข้า ข้าจะเลี้ยงให้เจ้าอิ่มหนำสำราญอย่างแน่นอน”
คำพูดที่ปกติยิ่งนักนี้ กลับถูกเสียงที่ทรงเสน่ห์ของเชียนอ้าวเซี่ยแฝงความอันตรายไว้ด้านใน จึงให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
จวินโม่ดึงตัวมู่เฉียนซีไว้ “ข้าไม่ได้ต้องการเจ้า! มีแค่เพียงสาวน้อยเท่านั้นที่เข้าใจในรสนิยมของข้า มู่เฉียนซีสาวน้อย รีบพาข้าไปเร็วเถอะ”
มู่เฉียนซีกล่าว “นี่คือจวินโม่ซี เขาเป็นสหายข้า ตอนนี้เขาหิว ข้าต้องพาเขาไปหาอะไรลงท้องก่อน”
เส้นทางการหลบหนีของจวินโม่ซีนั้นดูเหมือนว่าจะทำให้เขาหิวจนทนไม่ไหว เมื่อวานนี้เพิ่งจะกินอิ่มไป วันนี้ยังร้องโหวกเหวกจะกินต่ออีก
.