มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “แล้วฝ่าบาทคิดจะทำยังไงเพคะ? ”
“ข้าจะแสร้งทำเป็นป่วย ปล่อยให้พวกนั้นทำตามใจไปก่อน แต่อ้าวเซี่ยในฐานะที่เป็นสายเลือดบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเชียน ก็ต้องเข้าไปในดินแดนลึกลับของเซี่ยโจวด้วย” ฮ่องเต้เหวินเต๋อกล่าว
“ในดินแดนลึกลับเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย! พระองค์กำลังจะให้คนที่ไม่มีพลังวิญญาณใดใดอย่างเขาเข้าไปเสี่ยงอันตราย” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าว
“แต่ก็ยังมีเจ้าไปด้วยไม่ใช่เหรอ? ” ฮ่องเต้เหวินเต๋อหรี่ตายิ้มมองมู่เฉียนซี
ถึงแม้ว่าหน้าตาของฮ่องเต้เหวินเต๋อกับเชียนอ้าวเซี่ยนั้นไม่เหมือนกันเลยสักนิด ทว่าความกะล่อนปลิ้นปล้อนของเขาสองคนนั้นเหมือนกันไม่มีผิด
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “การเข้าไปในดินแดนลึกลับของราชวงศ์แคว้นเฉียนเซี่ย ข้าไม่ได้ไปเที่ยวชมภูเขาและท้องน้ำนะ ไม่อยากแบกภาระ”
“แต่ว่า อ้าวเซี่ยบุตรชายของข้ามีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของตระกูลเชียน ซึ่งเขาอาจจะมีประโยชน์มาก! ” ฮ่องเต้เหวินเต๋อโดนเหยื่อออกมา
“ไม่ได้ ให้เขาอยู่ในวังเถอะ! หากตายในดินแดนลึกลับขึ้นมาเดี๋ยวจะไม่มีคนเก็บศพ” มู่เฉียนซียังคงปฏิเสธ แต่ฮ่องเต้เหวินเต๋อก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด เขากล่าวว่า “เส้นปราณของอ้าวเซี่ยขาดตั้งแต่กำเนิด ตัวข้าเองก็พยายามหาวิธีรักษามานับไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ยังไร้ซึ่งหนทางรักษา แคว้นเฉียนเซี่ยเป็นหลักในการปกครองเซี่ยโจว สำนักอวิ๋นเยียนก็คอยแต่จับจ้องตาเป็นมัน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้นับว่าโชคดีมากที่เจ้าช่วยเอาไว้ แต่คนเป็นพ่ออย่างข้าก็ไม่อาจดูแลเขาได้ไปตลอดชีวิต ข้าต้องการให้เขาเปลี่ยนแปลง”
“ในดินแดนลึกลับของราชวงศ์มีโอกาสเจอของดีมากมาย ข้าก็แค่หวังว่าอ้าวเซี่ยจะโชคดีเจอของล้ำค่าที่สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายเขาได้”
เชียนอ้าวเซี่ยเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเฉียนเซี่ยแต่เส้นปราณกลับถูกตัดขาดตั้งแต่กำเนิด ไม่สามารถฝึกฝนพลังวิญญาณได้ หากเขาเกิดมาในตระกูลธรรมดาทั่วไป ก็คงต้องโดนทอดทิ้งไปแล้ว
ทว่า ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉียนเซี่ยผู้นี้ ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยทอดทิ้งเลย แต่การที่เขาไม่สนใจก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากให้เชียนอ้าวเซี่ยฝึกฝนได้
บนโลกใบนี้ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นใหญ่ คิดจะปกป้องตัวเอง ปกป้องคนที่ตัวเองรัก หากไร้พลังความแข็งแกร่งจะทำได้อย่างไร?
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งแสงเย็นยะเยือกออกมา “พระองค์กำลังเอาชีวิตลูกชายตัวเองมาเป็นเดิมพัน! ”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าจำใจต้องเดิมพัน” ฮ่องเต้เหวินเต๋อกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“เรื่องนี้ ควรจะให้เขาเป็นคนเลือกเอง” ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังพูดอยู่กับฮ่องเต้เหวินเต๋อ เชียนอ้าวเซี่ยก็ยืนอยู่ข้าง ๆ ตลอด
เชียนอ้าวเซี่ยยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าเสี่ยวซีจะไปที่ไหนข้าก็จะตามไปด้วยทุกที่ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะกลัวตายงั้นเหรอ? ”
เดิมทีเขามีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่นาน ถึงแม้ว่าวันนี้จะสามารถยืดชีวิตต่อได้อีกสามปี แต่มันก็ใช่ว่าจะยาวนาน แต่เรื่องนี้ดูท่าว่าฮ่องเต้เหวินเต๋อคงจะยังไม่รู้เรื่อง
“หากเจ้าจะไป ต่อให้เจ้าตายข้าก็จะไม่สนใจเจ้า” มู่เฉียนซีกล่าว
“ชีวิตของข้าเป็นของเสี่ยวซีซี หากข้าจะตายขึ้นมาจริง ๆ ข้าก็จะตายเพื่อเจ้า” เชียนอ้าวเซี่ยยิ้มราวกับบุปผาเบ่งบานสะพรั่ง คนคนนึงที่ใกล้จะตาย สำหรับเขาแล้วความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว!
เพียงแต่วันนี้เขาแค่รู้สึกเสียดาย! ดวงตาของเชียนอ้าวเซี่ยสดใสดั่งหยดน้ำ มองมู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน
สำหรับคำพูดกะล่อนปลิ้นปล้อนของเขานั้น มู่เฉียนซีไม่คิดเอามาใส่ใจอยู่แล้ว
“ตามใจเจ้า! ”
แต่พวกเขาคงจะคิดไม่ถึงว่าเชียนอ้าวเซี่ยนั้นพูดจริง
ข่าวอาการประชวรของฮ่องเต้เหวินเต๋อแพร่สะพัดออกไป องค์รัชทายาทเซี่ยเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แคว้นเฉียนเซี่ยขาดเสาหลักและความยุ่งเหยิงต่าง ๆ นานาก็บังเกิดขึ้น
และในเวลานี้เอง ผู้อาวุโสของราชสำนักแคว้นเฉียนเซี่ยก็ได้ประกาศข่าวออกมาว่า การไปดินแดนลึกลับของราชวงศ์กำลังจะเริ่มขึ้น
แล้วเรื่องใหญ่และสำคัญเช่นนี้ ผู้ใดจะเป็นผู้นำในครั้งนี้ล่ะ?
เมื่อไม่มีผู้นำในเรื่องสำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าสำนักอวิ๋นเยียนได้ส่งคนมา รองเจ้าสำนักอวิ๋นเยียน และน้องชายของเจ้าสำนักอวิ๋นเยียน อวิ๋นปู้ป้าย
อวิ๋นปู้ป้ายก็เคยเป็นคนมีชื่อเสียงร่ำลือไกลคนหนึ่ง ก่อนที่อวิ๋นเฟิ้งหลานสาวของเขาจะมีชื่อเสียง เขาก็เคยได้รับฉายาว่าเป็นอัจฉริยะที่ยากจะเห็นหน้าในเซี่ยโจวคนหนึ่ง
“ในเมื่อฮ่องเต้เหวินเต๋อทรงพระประชวรหนัก ไม่สามารถมาเป็นผู้นำในครั้งนี้ได้ พวกเราสำนักอวิ๋นเยียน ในฐานะที่เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งในเซี่ยโจว จะเป็นตัวแทนคัดเลือกอัจฉริยะที่จะเข้าไปในดินแดนลึกลับในครั้งนี้ หวังว่าท่านผู้อาวุโสตระกูลเชียนทุกท่านคงจะไม่มีปัญหาอะไร! ”
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเชียนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนพวกท่านแล้ว”
“ถึงอย่างไรสำนักอวิ๋นเยียนก็เป็นสำนักนิกายอันดับหนึ่งในเซี่ยโจว การจัดการเรื่องต่าง ๆ ในเซี่ยโจวเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว” อวิ๋นปู้ป้ายยิ้มพลางกล่าว
ครั้นแล้ว สำนักอวิ๋นเยียนจึงได้วางอำนาจบาตรใหญ่ในแคว้นเฉียนเซี่ย และจัดการประลองอย่างโอ่อ่า
ในอดีต ดินแดนลึกลับของราชวงศ์แคว้นเฉียนเซี่ยเปิด มีเพียงคนในราชวงศ์แคว้นเฉียนเซี่ยเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ และต้องเป็นผู้ที่มีสายเลือดตระกูลเชียนเท่านั้น
มาในวันนี้ทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะเข้าไป ทว่า มีคนของสำนักอวิ๋นเยียนยืนเป็นยักษ์ขวางทางอยู่เช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงน้อยคนที่จะมีโอกาสเข้าไปได้จริง ๆ
ผู้ที่มาเข้าร่วมนั้นการแข่งขันนั้น อายุต้องไม่เกินสามสิบปี ต้องมีพลังวิญญาณขั้นราชาขึ้นไป ซึ่งกฎเกณฑ์เช่นนี้ทำให้คนส่วนใหญ่ต่างก็ท้อใจถอยไป
มู่เฉียนซี ในฐานะที่ได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากงานนักปรุงยาร้อยปีของเซี่ยโจว ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ นางก็มีสิทธิ์เข้าไปอยู่แล้ว
ส่วนคนที่มีสายเลือดตระกูลเชียน ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นสวะไร้ประโยชน์เพียงใด ล้วนแต่ถูกกำหนดจากภายในราชสำนักให้เข้าไปอยู่แล้ว
ทว่า น่าหลานอวี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับหัวหน้าบ้านประมูลอันดับหนึ่ง ได้ควบคุมการดำเนินงานที่มีทรัพย์สินมากกว่าครึ่งของเซี่ยโจว แต่เขาก็จำต้องปฏิบัติตามกฎ เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้
หัวหน้าบ้านประมูลคนเก่ากล่าวถามขึ้นว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปดินแดนลึกลับของราชวงศ์จริง ๆ ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามีตอนนี้ เจ้าไม่เหมาะที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงนะ”
น่าหลานอวี้กล่าว “ท่านพ่อ ไม่ว่าจะมีสมบัติมากมายแค่ไหน แต่โลกใบนี้ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นใหญ่ ข้าอยากจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ข้าต้องตามเขาให้ทันให้ได้”
‘เขา’ ที่น่าหลานอวี้กล่าวถึง ท่านพ่อของเขารู้ดีว่าหมายถึงใคร
บุตรชายของตัวเองชอบไม้ป่าเดียวกันเขาก็ยอมรับแล้ว ทว่า ไปชอบชายหนุ่มผู้วิปริตดั่งเทพมารผู้นั้น นับว่าเป็นหายนะก็มิปาน
ในวันนั้น วิธีที่เขาลงมือฆ่าทำลายคนของหออสูรทมิฬ ทำให้เขารู้ได้อย่างชัดแจ้งว่าเจ้าหนุ่มผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา บุตรชายของตนเองจะต้องไล่ตามอยากลำบาก
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้ว พ่อก็ไม่อาจห้ามเจ้าได้”
ยามรุ่งอรุณ……
เชียนอ้าวเซี่ยก็มาหามู่เฉียนซี เขากล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวซีซี การประลองจะเริ่มแล้ว นี่อวี้ก็ใกล้จะขึ้นเวทีประลองแล้วด้วย เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ! ”
ในเซี่ยตูนี้ คนที่นางรู้จักมีไม่เยอะ น่าหลานอวี้เป็นคนคุ้นเคยของนาง วันนี้เป็นการประลองครั้งสำคัญของเขา แน่นอนว่านางต้องวางมือจากงานทุกอย่างเพื่อไปดูการประลองของเขาในครั้งนี้
ในฐานะที่เคยเป็นนายน้อยแห่งบ้านประมูลอันดับหนึ่งมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการค้า และความสามารถในการฝึกฝนพลังวิญญาณ น่าหลานอวี้ล้วนแต่แข็งแกร่งมาก
คู่ต่อสู้สิบสองคนแรกที่ออกมา ล้วนแต่มีพลังวิญญาณขั้นราชาแห่งภูตระดับห้า ดังนั้นแน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อีกอย่างเขาก็เป็นจอมภูตพลังธาตุแสงที่หาได้ยากอีกด้วย
อวิ๋นปู้ป้ายหรี่ตาฉายแววอันตรายออกมา มองดูชายหนุ่มผู้อ่อนโยนราวหยก ด้วยใบหน้าของเขาที่ปรากฏรอยยิ้มอันอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา ทำให้คู่ต่อสู้ประมาทต่อเขา
อวิ๋นปู้ป้ายกล่าวว่า “นี่คือหัวหน้าคนใหม่ของบ้านประมูลอันดับหนึ่ง ฝีมือเก่งกาจยิ่งนัก”
เสียงที่ไร้ความเลื่อมใสเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “จะเก่งกาจสักแค่ไหนกันเชียว? หากเจอคู่ต่อสู้อย่างข้า ก็ต้องพ่ายแพ้ไปแน่ ๆ”
อวิ๋นปู้ป้ายยิ้มพลางกล่าว “อวิ๋นหวงมีความมั่นใจมาก เช่นนั้นพ่อก็จะมอบโอกาสนี้ให้กับเจ้า” มู่เฉียนซีเหลือบไปมองอวิ๋นปู้ป้ายที่กำลังยิ้มอย่างไร้ความปรานี ดูท่าตาแก่นี่คงจะคิดเรื่องไม่ดีแน่
.