“เหตุใดถึงประลองไม่ได้ ?” เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนถามขึ้น เขานั้นรู้ว่าสาวน้อยผู้นี้มีลูกเล่นอย่างมากมาย แต่ทว่าก็ได้ถูกเขาปิดตายไปหมดแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์จะต้องชนะอย่างแน่นอน
อวิ๋นปู้ป้ายกล่าว “อวิ๋นหวงนั้นพ่ายแพ้ให้กับนาง เฟิ้งเอ๋อร์จะประลองกับนางมิได้เป็นอันขาด!”
อวิ๋นเฟิ้งกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ท่านอารอง วันนี้ท่านคงกินยาผิดชนิดไปเสียแล้ว อวิ๋นหวงสามารถเทียบกับข้าอวิ๋นเฟิ้งได้ด้วยรึ ?”
แม้ว่าทั้งคู่จะถูกขนานนามว่าเป็นคู่สาวงามผู้เก่งกาจแห่งสำนักอวิ๋นเยียน แต่ทว่าในเรื่องของพลังความสามารถนั้น อวิ๋นหวงช่างห่างไกลกับอวิ๋นเฟิ้งนัก อวิ๋นปู้ป้าย “พลังความสามารถของหวงเอ๋อร์ที่เป็นขั้นจักรพรรดินั้น ได้มาโดยการใช้ยาเพื่อเพิ่มพลังให้ถึงขั้นจักรพรรดิ จึงล้วนแต่มิใช่คู่ต่อสู้ของสาวน้อยผู้นั้น เจ้าเด็กสาวนั่นมีความแปลกประหลาด เพื่อที่เราจะไม่ต้องเสียเปรียบ เฟิ้งเอ๋อร์ต้องยอมสละการประลอง”
“เจ้าสวะอวิ๋นหวงนั่น ฝืนบังคับเพิ่มพลังความสามารถของตนเองจะสามารถเอามาเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร ? ท่านอารอง วันนี้ข้าไม่ยอมสละสิทธิ์ในการประลองเป็นแน่” น้ำเสียงวาจาของอวิ๋นเฟิ้งนั้นหนักแน่นอย่างหาที่เปรียบมิได้
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “มิทราบว่าคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งตัดสินใจแล้วจริงหรือไม่ ตอนนี้ตอบตกลง แต่อีกสักครู่กลับคำ จะเป็นเช่นนี้มิได้”
อวิ๋นเฟิ้งกล่าว “ข้าจะไปคืนคำได้อย่างไร แต่เจ้า…”
นางนั้นมองที่มู่เฉียนซีอย่างพินิจพิจารณา “ทางที่ดีที่สุดคือเจ้าต้องมีความสามารถอยู่บ้าง มิเช่นนั้นข้าอาจไม่ทันได้ระวังพลั้งเผลอเอาชีวิตของเจ้าเสีย อวู่ซวงคงจะต้องกล่าวโทษข้าเป็นแน่” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางนั้นแทบอดไม่ได้ที่จะจัดการเก็บกวาดหญิงผู้นี้ในทันที
เมื่อได้ยินชื่อท่านอาจากปากของหญิงนางนี้ นางนั้นไม่ชอบใจเลยจริง ๆ
— ฟึ่บ! —
มู่เฉียนซีนั้นยังไม่ทันได้ขยับกาย ทว่าเข็มยากลับพุ่งไปทางอวิ๋นเฟิ้งจากรอบทิศอย่างไม่ปราณี
อว็นเฟิ้งแค่นเสียงเย็นชา “อาวุธลับล้าสมัยจริง ๆ”
ลมกรดก่อตัวขึ้นรอบตัวนาง และได้กวาดเอาเข็มยาของมู่เฉียนซีไปเหมือนดั่งลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดกวาดเอาใบไม้ไปก็มิปาน “ผู้มีพลังภูตธาตุวายุ! นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งนอกจากเก่งกาจแล้ว นางยังเป็นผู้มีพลังภูตธาตุวายุอีกด้วย ช่างเก่งกาจยิ่งนัก!”
“เดิมทีพลังความแข็งแกร่งของแม่สาวน้อยผู้นั้นก็ห่างชั้นกันอยู่บ้าง แล้วคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งเป็นผู้มีพลังภูตธาตุวายุอีกด้วย สาวน้อยผู้นั้นไม่สามารถที่จะสู้ได้แน่แล้ว”
“ใช่…”
เมื่ออวิ๋นเฟิ้งได้เผยพลังธาตุของนางออกมา ทุกคนต่างก็พากันกระซิบกระซาบถกเถียงกัน
“ผนึกมังกรวารี!” ลมกรดที่ก่อตัวหมุนเข้ามานั้น ได้ถูกมังกรวารีพุ่งชนเสียสิ้น “ผู้มีพลังภูตธาตุวารี สาวน้อยผู้นั้นเป็นราชาแห่งภูตธาตุวารี” คนผู้หนึ่งกล่าวออกมาด้วยความตกตะลึง
การประลองระหว่างอัจฉริยะผู้มีพลังธาตุทั้งสอง ดูเหมือนว่าการประลองในครั้งนี้จะดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าบรรดาผู้มาร่วมชมนั้นล้วนอดตื่นเต้นมิได้
— ปัง! —
นี่เป็นครั้งแรกที่นางทั้งสองได้ปะทะกัน ก็สามารถรู้ได้ถึงพลังความแข็งแร่งของฝ่ายตรงข้ามอย่างพอประมาณ
อวิ๋นเฟิ้งยิ้มเยาะกับตนเอง ราชาแห่งภูตระดับเก้า ข้านั้นรับมือง่ายได้ดายนัก
แส้เงินปรากฏขึ้น พุ่งเข้าหามู่เฉียนซีราวกับงูพิษ เมื่อมันพุ่งเข้าหามู่เฉียนซี ที่รอบด้านนั้นก็ได้มีลมที่คมดุจมีดก่อตัวขึ้นนับไม่ถ้วน และมันได้ฉีกแหวกอากาศพุ่งเข้ามา
การโจมตีที่ดุดันเช่นนี้ จะหลบหลีกอย่างไร ?
เดิมทีนั้นก็ไม่มีทางหลบหลีกได้อยู่แล้ว
“ผุบฝาหลั่งสายฝน!”
มู่เฉียนซีออกกระบวนท่า กระบี่ฝนจำนวนมากก็ได้กระจายร่วงหล่นลงมา ทว่าก็ไม่สามารถที่จะป้องกันคมมีดลมกรดนั้นเอาไว้ได้ ทุกคน ณ ที่นั้นล้วนแต่ถอนหายใจ พลังความสามารถของราชาแห่งภูตนั้น อย่างไรเสียก็ยังอ่อนแอกว่านัก
ในวินาทีแห่งการฆ่าฟันนั้น แสงสีแดงเข้มแสงหนึ่งปรากฏออกมา มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “มังกรเพลิงสังหาร!”
— ตูม! —
พลังอันน่าสะพรึงกลัวทั้งสองปะทะกันเข้าอย่างจัง ทำให้บรรดาผู้คนที่ชมดูอยู่นั้นล้วนเบิกตาโพลง
เงาร่างที่บอบบางทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างถอยหลังกันไปหลายก้าว เดิมทีพวกเขาคิดว่ามู่เฉียนซีจะต้องเป็นผู้ที่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน ทว่านางกลับสามารถปัดป้องการโจมตีเมื่อครู่ของอวิ๋นเฟิ้งได้ อีกทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าคำกล่าวของรองเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนนั้นจะไม่ได้กล่าวเกินจริงไป มู่เฉียนซีนางมีความสามารถในการสู้ข้ามระดับขั้นได้จริง ๆ
ดวงตาของอวิ๋นเฟิ้งฉายแววตกตะลึงออกมา “กระบี่!”
นางจ้องไปที่กระบี่ในมือของมู่เฉียนซีอย่างไม่ละสายตา ถึงแม้ว่าสภาพของมันจะดูย่ำแย่เสียกว่าเหล็กที่สนิมกร่อนจนพังหรือทองแดงที่แตกสลาย แต่แสงของปลายกระบี่ที่แทงตานั้น ช่างสะดุดตายิ่งนัก
เหตุที่มู่เฉียนซีผู้ซึ่งอยู่ระดับขั้นราชาแห่งภูตสามารถต่อสู้กับนางที่เป็นจักรพรรดิแห่งภูตได้อย่างสูสีนั้น ต้องเป็นเพราะกระบี่เล่มนั้นมีความสามารถในการเพิ่มขีดความสามรถในการต่อสู้เป็นแน่แท้ ดวงตาของอวิ๋นเฟิ้งส่องประกายชั่วร้าย หากว่านางไร้ซึ่งกระบี่เล่มนั้น มู่เฉียนซียังจะมีอะไรมาสู้กับนาง
อวิ๋นเฟิ้งเปิดฉากโจมตีอีกครั้ง เป้าหมายของนางในครั้งนี้คือกระบี่มังกรเพลิงในมือของมู่เฉียนซี
ร่างของนางพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วราวกับลมพายุโหมกระหน่ำ ในตอนที่นางกำลังเข้าไปใกล้ร่างของมู่เฉียนซีนี่เอง ร่างของมู่เฉียนซีก็พลันกลายเป็นร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน
นี่มิใช่ภาพมายาแต่อย่างใด หากแต่เป็นความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของมู่เฉียนซีที่เพียงพอจะก่อให้เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น
ราชาแห่งภูตผู้หนึ่ง เมื่อได้ฝึกเคล็ดวิชาขั้นสูง ก็กลับเลยล้ำหน้าอวิ๋นเฟิ้งผู้ที่เป็นถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตไป อีกทั้งนางยังเป็นจักรพรรดิแห่งภูตที่มีพลังธาตุวายุอีกด้วย ทุกคน ณ ที่นั้นตะลึงลาน การโจมตีของอวิ๋นเฟิ้งพลาดท่าไปอีกครั้ง
— ตูม! —
เมื่อกระบวนท่าของนางสลายไป มู่เฉียนซีจึงฉวยโอกาสนี้โจมตีสวนกลับทันควัน
“มังกรเพลิงสังหาร!”
— บึ้ม! —
มังกรเพลิงสีแดงพุ่งออกมา ฉับพลันนั้นมีเสียงดังกึกก้องกัมปนาท ทั้งเวทีประลองปรากฏรอยร้าวลึกลงไป ทอดตัวเป็นแนวยาวขึ้น
ต้องทราบก่อนว่าเวทีประลองของสำนักอวิ๋นเยียนทำมาจากหิน ต่อให้เป็นจักรพรรดิแห่งภูตระดับกลาง ๆ ก็ยังยากที่จะทำให้มันแตกออกได้ กระบี่เล่มนั้น ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?!
ฝุ่นละอองกระจายออกมา เงาร่างสีแดงก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากที่ฝุ่นผงค่อย ๆ จางและมลายหายไป
ชุดสีแดงยาวนั้นถูกตัดขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ในงานวันเกิดของนาง แต่บัดนี้มันถูกเผาไหม้ไปมุมหนึ่งแล้ว
ทุกคน ณ ที่นั้นล้วนตะลึง การประลองกันในครั้งนี้ ผู้ที่เสียเปรียบกลับเป็นคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้ง
แส้เงินพุ่งเข้าไปทางมู่เฉียนซีอีกครั้ง นางคิดว่าจะต้องเป็นกระบี่สนิมเขรอะเล่มนั้นเป็นแน่ มิเช่นนั้นแล้ว มู่เฉียนซีที่เป็นเพียงราชาแห่งภูตจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไร …นางจะต้องทำลายกระบี่สนิมเขรอะเล่มนั้นให้ได้
เมื่อร่างของมู่เฉียนซีเริ่มขยับ กระบี่มังกรเพลิงก็เคลื่อนไหวและปะทะพัวพันกับแส้เงินนั้น
ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายเย็นวาบขณะคิดในใจ ‘คิดที่จะแย่งชิงอาวุธกับข้ารึ ? หึ! รอน้ำตาตกได้เลย!’
มู่เฉียนซีปล่อยพลังวิญญาณทั้งหมดเข้าไปในกระบี่มังกรเพลิง ใช้วิธีที่แข็งกร้าวที่สุดตอบโต้
แน่นอนว่าอวิ๋นเฟิ้งไม่ยอม พลังวิญญาณของนางไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าแส้ที่อยู่ในมือร้อนเหมือนดั่งไฟเผาไหม้ก็มิปาน และความร้อนนั้นมันแผ่เข้าไปทั้งตัวแส้ กระบี่มังกรเพลิงสำแดงเดชออกมาแล้ว ถึงแม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของมันจะน้อยนิดนัก ทว่ามู่เฉียนซีก็สามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ทันทีที่นางขยับข้อมือพลิกกระบี่มังกรเพลิง แส้ที่พันธนาการกระบี่เอาไว้พลันมีเสียงหนึ่งดังออกมา
— เปรี๊ยะ! —
— ปัง! —
มู่เฉียนซีลงมืออีกครั้ง แส้ทั้งเส้นของอวิ๋นเฟิ้งขาดกระจุยเป็นเส้นน้อยใหญ่มากมาย
ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้เข้าล้วนแต่อ้าปากค้าง ในฐานะที่เป็นถึงอัจฉริยะแห่งสำนักอวิ๋นเยียน ถึงแม้ว่าอาวุธของอวิ๋นเฟิ้งจะไม่นับว่าเป็นอาวุธระดับปฐพี แต่ก็ถือว่าเป็นอาวุธวิญญาณชั้นสูง แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะมาถูกกระบี่สนิมเขรอะเล่มหนึ่งตัดขาดเป็นท่อน ๆ ราวกับหั่นก้อนเต้าหู้นุ่ม ๆ ถือเอาช่วงเวลาที่เจ้าเจ็บป่วยคร่าชีวิตเจ้า! นี่คือสิ่งที่มู่เฉียนซีกำลังจะทำ ในตอนที่อวิ๋นเฟิ้งยังไม่ทันได้ตอบสนอง มู่เฉียนซีโจมตีต่อไม่หยุดยั้งอย่างไร้ความปราณี
“มังกรวารีพิฆาต!”
หลังจากความรู้สึกแสบร้อนจางหายไป อวิ๋นเฟิ้งก็รู้สึกได้ถึงความหนาวที่เย็นยะเยือกม้วนตัวเข้ามา นางรู้สึกว่าขาของตนแข็งทื่อเมื่อเห็นว่ามังกรวารีพุ่งเข้ามา และแน่นอน นางไม่สามารถหลบได้
— ปัง! —
ร่างของอวิ๋นเฟิ้งถูกชนกระแทกลอยลิ่วขึ้นไปบนอากาศก่อนจะตกลงมาราวกับดอกโบตั๋นที่ทรุดโทรมถึงคราวร่วงโรย
ทุกผู้คนล้วนแต่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าทั้งหมด คุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียนผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งทวีปเซี่ยโจว กลับมาพ่ายแพ้เอาเช่นนี้
ยังไม่ทันจบสิบกระบวนท่า มิเพียงแต่ต้องสูญเสียอาวุธของตนเองไปเท่านั้น ก็ยังมาพ่ายแพ้ให้แก่ราชาแห่งภูตซึ่งเป็นระดับขั้นที่ต่ำกว่าตนเอง
“ไม่! ข้ายังไม่แพ้”
ถึงแม้ว่ากระดูกบนร่างของนางนั้นไม่รู้ว่าแตกหักไปกี่ท่อนแล้ว แต่อวิ๋นเฟิ้งยังคงกัดฟันยืนขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้ นางแสนจะโกรธกริ้วสตรีอายุน้อยตรงหน้าที่เวลานี้กลับสงบนิ่ง
.