ตั้งแต่เล็กจนโต อวิ๋นเฟิ้งไม่เคยพ่ายแพ้ คำว่า ‘ยอมแพ้’ ต่อให้นางต้องตาย นางก็มิอาจพูดออกมาได้!
ในขณะที่นางกำลังยืนหยัดในความคิดของตัวเองนั้น พลังอันตรายก็ปรากฏมาตรงหน้า!
“ทักษะเทียนซวน!” น้ำเสียงอันเย็นเฉียบดังก้องขึ้น ราวกับกำลังประกาศว่าวันสุดท้ายของอวิ๋นเฟิ้งได้มาถึงแล้วก็มิปาน!
ตูม! เสียงดังสนั่น ทำให้ทั้งสำนักอวิ๋นเยียนสั่นสะเทือนขึ้น
เพียงแค่นางเป็นราชาแห่งภูตระดับเก้าและใช้ทักษะเทียนซวนนี้ ก็สามารถทำลายศัตรูคู่ต่อสู้ขั้นจักรพรรดิได้ ตอนนี้พลังของนางเพิ่มขึ้นสูงสู่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า และเพียงพอที่จัดการกับมหาจักรพรรดิระดับต่ำได้ และสิ่งที่อวิ๋นเฟิ้งจะต้องเผชิญนั้นก็คือ เนื้อหนังมังสาของนางจะแหลกเป็นชิ้น ๆ!
แน่นอนว่านางยั้งมือเอาไว้บ้างแล้ว นางไม่ยอมให้อวิ๋นเฟิ้งตายไปง่าย ๆ เช่นนี้แน่
บนลานประลองยุทธ์ของสำนักอวิ๋นเยียนตอนนี้ก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าไม่น่าเชื่อ จู่ ๆ พลังของมู่เฉียนซีกับอวิ๋นเฟิ้งก็แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาล้วนรู้ดีว่ามีเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่ และคิดไม่ถึงว่าเดิมทีมู่เฉียนซีที่มีพลังไม่ถึงขั้นจักรพรรดิ แต่สามารถใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังเช่นนี้ได้!
พรวด!
ทั่วทั้งตัวของอวิ๋นเฟิ้งนองไปด้วยเลือด นางค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากกองซากปรักหักพัง
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ข้าไม่ยอมแพ้ ข้าไม่ยอมแพ้ ข้า อวิ๋นเฟิ้งจะยอมแพ้ได้ยังไง!”
ตั้งแต่ได้ชื่อว่านางเป็นอัจฉริยะ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางก็เก็บตัวอยู่ในหมอกเมฆามาโดยตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าในวันที่จะได้แสดงความยิ่งใหญ่ของนาง กลับถูกโดนเหยียบจนจมดินเช่นนี้
มู่เฉียนซีค่อย ๆ ย่างเท้าก้าวเดินไปตรงหน้าอวิ๋นเฟิ้ง “ต่อให้เจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เจ้าก็แพ้อยู่ดี”
“การเอาชนะเจ้า มันเป็นเพียงแค่การเก็บดอกเบี้ยเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่บัญชีแค้นจริง ๆ ข้าก็จะชำระให้สิ้นเช่นกัน!”
มู่เฉียนซียกมือขึ้น และหนีบเข็มยาเอาไว้สามเข็มที่นิ้วมืออันเรียวยาวนั้น!
หัวใจของอวิ๋นเฟิ้งสั่นหวิว นางรู้ดีว่ามันไม่ใช่ของดีเป็นแน่
“เจ้า เจ้าจะทำอะไร ? ”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีคลับคล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “คุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้ง น่าจะพอเดาออกนะ ? ”
เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา นางทำให้ดวงตาที่อ่อนโยนของท่านอาต้องสูญเสียการมองเห็นไป ถึงแม้ว่าตอนนี้ใบหน้าของมู่เฉียนจะมีรอยยิ้มเล็กน้อย ทว่า กลิ่นอายของจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมานั้นทำให้ทุกคนสามารถรับรู้ได้
ตอนนี้นางรู้สึกว่าตนเองควรจะเพิ่มพิษอีกสักหน่อยถึงจะถูก
“เจ้า……เจ้า……”
“เจ้ากล้ารึ! ที่นี่คือสำนักอวิ๋นเยียน หากเจ้ากล้าทำอะไรดวงตาข้าแล้วล่ะก็ ท่านพ่อข้าไม่ปล่อยเจ้าตายดีแน่”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเป็นคนที่มีแค้นก็ต้องชำระ สำนักอวิ๋นเยียนนะเหรอ ในเมื่อข้ากล้ามาเหยียบถึงที่นี่ ข้าย่อมไม่กลัวการตอบโต้ของสำนักอวิ๋นเยียนอยู่แล้ว!”
เข็มยาเข็มหนึ่งกำลังเข้าใกล้ดวงตาของอวิ๋นเฟิ้ง อวิ๋นเฟิ้งคิดจะวิ่งหนี ทว่า กระดูกในร่างกายนางตอนนี้ไม่มีชิ้นดีเลย ทั่วทั้งร่างอ่อนปวกเปียก แล้วจะวิ่งหนีได้อย่างไรกันล่ะ ?
“ไม่นะ ไม่ ข้าไม่อยากกลายเป็นคนตาบอด!” การต่อสู้ก่อนหน้านี้ไม่อาจทำให้อวิ๋นเฟิ้งยอมจำนนได้ ทว่า ตอนนี้นางกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว!
หากดวงตาของนางมองไม่เห็นอะไรเลย นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น!
“เจ้ากล้ารึ!” เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนร้อนรนขึ้น
สำนักอวิ๋นเยียนของพวกเขาทุ่มเททรัพยากรไปมากมายเพื่อฝึกฝนจนได้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเซี่ยโจวออกมา หากต้องกลายเป็นคนตาบอดไป ทุกอย่างที่ทุ่มเทไปทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
ในตอนนี้เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนก็ไม่สนว่าพลังนั้นของมู่เฉียนซีจะต่อสู้กับมหาจักรพรรดิได้ เขารีบพรวดเข้าไปในทันที!
ทว่า ทันใดนั้นเองร่างสีขาวก็ได้ขวางหน้าเขาเอาไว้ “เจ้าสำนักอวิ๋น คิดว่าข้า มู่อวู่ซวงตายไปแล้วงั้นเหรอ ? นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะกล้าขัดขวางหลานสาวของข้า!”
ถึงแม้ว่าตอนนี้มู่อวู่ซวงจะนั่งอยู่บนรถเข็น ทว่า เขาเป็นถึงจักรพรรดิระดับสูงสุด ดังนั้นความเร็วของเขาจึงรวดเร็วมาก!
ใบหน้าของเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนเขียวคล้ำด้วยความโกรธเกรี้ยว “มู่อวู่ซวง พวกเจ้าสองหลานอย่าได้รังแกกันเกินไปกว่านี้เลย!”
“สำนักอวิ๋นเยียนของเจ้าต่างหากที่เป็นคนเริ่มรังแกกันก่อน มาตอนนี้จะโทษผู้อื่นได้อย่างไรกัน กล้าแตะต้องตระกูลมู่ การลงโทษในวันนี้ยังนับว่าน้อยไปด้วยซ้ำ”
ดวงตาคู่นั้นของมู่อวู่ซวงเย็นชาดุจดั่งน้ำแข็ง ไร้ซึ่งร่องรอยความอ่อนโยน จ้องมองเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนราวกับเทพมรณะในแดนปรโลกก็มิปาน
เมื่อโดนคนหนุ่มกว่าจ้องเขม็งเช่นนี้ เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว!
อ๊าย!
เสียงกรีดร้องเสียดแทงหัวใจดังขึ้น ดึงคนของสำนักอวิ๋นเยียนทั้งสำนักออกมาจากความหวาดกลัวนั้น
“อย่า! หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่า!” อวิ๋นเฟิ้งตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“อย่าเพิ่งรีบร้อนใจไป! นี่แค่เข็มเดียวเท่านั้น ยังมีอีกตั้งหลายเข็ม!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
โดยปกติแล้ว นางจะใช้เข็มยาอย่างรวดเร็วที่สุด ทว่า ตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูคู่แค้นหมายเลขหนึ่ง แน่นอนว่านางต้องลงมืออย่างเชื่องช้า!
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ฉีดเข็มยาเข้าไปเข็มหนึ่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้อวิ๋นเฟิ้งยังคงมองเห็น ทว่า นางกลับรู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่ของนางเหมือนจะระเบิดก็มิปาน!
สองมือของอวิ๋นเฟิ้งยกขึ้นมาปิดดวงตาทั้งสองข้าง พร้อมทั้งตะโกนขึ้นด้วยความเจ็บปวด “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
ความรู้สึกนี้ได้ทำลายอวิ๋นเฟิ้งอย่างสมบูรณ์แล้ว นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างเป็นอย่างมาก ในหัวนึกถึงภาพความโหดร้ายป่าเถื่อนนับไม่ถ้วน นางไม่อยากเป็นเช่นนั้น! ไม่อยาก!
“ผู้นำตระกูลมู่ ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย! ขอเพียงเจ้าไม่ทำลายดวงตาของข้า ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”
อะไรคือคุณหนูใหญ่ผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจของสำนักอวิ๋นเยียน อะไรคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในเซี่ยโจว ในตอนนี้สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในหัวของอวิ๋นเฟิ้งแล้ว
คุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งผู้ที่เคยหยิ่งยโส สภาพตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับขอทานคนหนึ่ง เลื้อยคลานอยู่ใต้เท้ามู่เฉียนซีและขอร้องอ้อนวอนขอชีวิตจากนาง
เมื่อทุกคนได้เห็นภาพนี้ ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดไป นึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้งจะตกอยู่ในจุดนี้ด้วย การมางานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้มาเสียเปล่าเลย
ตัวแทนของสำนักนิกายครึ่งระดับเหล่านี้ ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของสำนักอวิ๋นเยียนกับตระกูลมู่เลย ถึงอย่างไรเสียการลงมือของมู่เฉียนซีเมื่อครู่ ไม่ใช่เรื่องที่สำนักนิกายระดับหนึ่งจะล่วงเกินได้ ส่วนพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะปลีกตัวออกไปแต่อย่างใด ทำได้เพียงแค่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น!
“บัดซบ! รีบเอายาแก้พิษให้เฟิ้งเอ๋อร์เดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นบุตรสาวที่เขาได้เลี้ยงดูมาด้วยความภาคภูมิใจตอนนี้กลับดูต่ำต้อยในกลุ่มผงธุลี เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนก็ทนไม่ได้จะพรวดเข้าไป!
“เจ้าสำนักอวิ๋น ลืมข้าไปแล้วงั้นเหรอ!” และแน่นอนว่ามู่อวู่ซวงไม่ยอมปล่อยให้เจ้าสำนักอวิ๋นไปรบกวนมู่เฉียนซี เขาจึงลงมืออย่างรวดเร็วและดุดัน!
ตูม!
เจ้าสำนักอวิ๋นคิดว่าตนเองนั้นได้ทะลวงพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตมาได้นานหลายปีแล้ว อีกทั้งเห็นว่ามู่อวู่ซวงเป็นแค่คนพิกลพิการคนหนึ่ง ไม่ยากที่จะต่อกรและไม่มีทางขัดขวางเขาได้แน่ ทว่า ทันทีที่ลงมือ เขาก็พบว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันผิด!
มู่อวู่ซวงเหมือนกับหลานสาวของเขาไม่มีผิด เป็นคนวิปริต สามารถต่อสู้กับผู้ที่มีพลังขั้นเดียวกันได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถต่อสู้ข้ามขั้นข้ามระดับได้อีกด้วย!
แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของเจ้าสำนักอวิ๋น มู่อวู่ซวงสามารถขัดขวางเขาคนเดียวได้ แต่เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามู่อวู่ซวงจะขัดขวางคนของสำนักอวิ๋นเยียนทุกคนไว้ได้!
“ลงมือ! ไปขัดขวางมู่เฉียนซีเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!”
คำสั่งนี้ของเขา สำนักอวิ๋นเยียนที่ใหญ่โตนี้มีคนเพียงน้อยนิดที่ตอบสนอง คนไม่กี่ร้อยคนก็เดินโอ้เอ้มา!
ยอดฝีมือมีแทบจะนับจำนวนด้วยตาเปล่าได้ ซึ่งดูไม่สอดคล้องสมกับสำนักนิกายระดับหนึ่งในเซี่ยโจวเลย!
สีหน้าของเจ้าสำนักอวิ๋นพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?
ร่างหลายร่างโผล่ออกมาและคุกเข่าลงข้าง ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเราได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว”
เจ้าสำนักอวิ๋นตกตะลึงจนตาค้าง คนเหล่านี้เป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นเยียนที่รอดมาได้จากดินแดนลึกลับไม่ใช่เหรอ นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าพวกเขาคิดทรยศหักหลังต่อสำนักได้
เจ้าสำนักอวิ๋นโกรธจนตัวสั่น “เจ้า นี่เจ้ากล้าวางยาพิษคนของสำนักข้า เจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี!”
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “สิ่งที่ข้าถนัดที่สุดก็คือพิษ แล้วเหตุใดข้าจะไม่วางยาพิษล่ะ!”
“ต่อให้สำนักอวิ๋นเยียนมีคนเพียงไม่กี่ร้อยคน เจ้าคิดว่าเจ้าสองคนจะต้านทานได้งั้นรึ ? ” เจ้าสำนักอวิ๋นตะคอกด้วยความโหดเหี้ยม วันนี้ต่อให้ต้องต่อสู้นองเลือดกัน สำนักอวิ๋นเยียนกับสองอาหลานแห่งตระกูลมู่ก็ไม่อาจจะอยู่ร่วมโลกกันได้!
.