เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนมองเห็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยอันตรายเสมือนดั่งแม่มดของมู่เฉียนซี แขนเสื้อของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อในทันใด
หากเขารู้แต่แรกว่าพวกเขานั้นจะไปล่วงเกินเด็กสาวที่น่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจมาเองเช่นนี้ละก็ เขาจะต้องออกคำสั่งมิให้เหล่าบรรดาศิษย์ของสำนักอวิ๋นเยียนทุกคนไปเข้าใกล้ภาคตะวันตกของทวีปเซี่ยโจวแม้แต่ครึ่งก้าว
เรื่องราวเป็นพันหมื่นนั้นยากที่จะหาซื้อคำว่า ‘รู้’ ตั้งแต่แรกได้ ความแค้นฝังลึกของพวกเขานั้นถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนหน้านี้แล้ว มาวันนี้ สถานการณ์ถูกกำหนดออกมาในรูปแบบที่ว่า ‘เจ้าต้องตายข้าต้องรอด’ ซึ่งไม่มีที่เหลือให้หวนกลับไป
เมื่อเงาร่างสีม่วงเริ่มขยับ มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ท่านอา พวกเราร่วมมือกันจัดการกับผู้เฒ่าผู้นี้เถิด”
มู่อวู่ซวงที่เดิมทีทั้งร่างของเขานั้นแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน แต่เมื่อมองกลับมายังมู่เฉียนซี กลิ่นอายพลันเปลี่ยนกลายเป็นความอ่อนโยน เขาพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ได้” มู่อวู่ซวงนั้นออกไปนอกจวนตระกูลมู่น้อยมาก และก็ได้ออกฝีไม้ลายมือน้อยเช่นกัน มู่เฉียนซีกับเขานั้นไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมมือกันมาก่อนเลย
แม้จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองก็ร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่มีสิ่งบกพร่องแต่อย่างใด
การโจมตีอย่างซึ่งหน้า มอบหน้าที่ให้มู่อวู่ซวง ส่วนมู่เฉียนซีนั้นนางลอบวางยาพิษ มาตอนนี้พลังความสามารถฟื้นฟูกลับมาแล้ว แน่นอนว่านางจะไม่เข้าปะทะอย่างแข็งกร้าวกับเจ้าสำนักอวิ๋นที่ระดับสูงกว่านางถึงหนึ่งระดับใหญ่ ๆ
“พรวด!” มู่เฉียนซีและมู่อวู่ซวงเพิ่งร่วมมือกันได้ไม่นานนัก เจ้าสำนักอวิ๋นก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและกระอักเลือดออกมา มิเพียงบาดเจ็บหนัก บนร่างเขายังถูกพิษประหลาดจำพวกหนึ่งเล่นงาน แม้แต่ฝันก็ยังมิอาจยับยั้งมันได้
นี่คือของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มู่เฉียนซีได้กล่าวถึง เขาสมควรโดนแล้ว
การต่อสู้ของเจ้าสำนักอวิ๋นยังมิได้หยุดลง เหล่าผู้ที่มาชมเหตุการณ์ที่น่าดูนี้ ก็ได้เฝ้าดูอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่ได้โง่เขลาถึงขนาดที่ตกปลากระทบปลาทั้งบ่อ และไปล่วงเกินผู้อื่นเพิ่ม
น่าหลานอวี้กับเชียนอ้าวเซี่ยก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มาร่วมชมเรื่องสนุกตื่นเต้นนี้ เชียนอ้าวเซี่ยกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “วิธีการของเสี่ยวซีซีเมื่อครู่นี้ช่างสะใจนัก สำหรับสตรีนามว่าอวิ๋นเฟิ้งนั่น นางต้องโดนเช่นนี้แล” “นึกถึงตอนนั้น ตอนที่หญิงผู้นี้ชอบข้าเมื่อตอนอายุสามขวบแล้วจะบังคับเอาตัวข้าไป หากมิใช่เพราะเสด็จพ่อปกป้องข้า เกรงว่าวันนี้ข้าคงมิได้พบซีเอ๋อร์น้อยเสียแล้ว”
น่าหลานอวี้เองก็นึกไม่ถึงเลย เรื่องเช่นนี้กลับเคยเกิดขึ้นกับเชียนอ้าวเซี่ยมาก่อนอย่างนั้นรึ ?
“หลังจากนั้น เจ้าจึงได้จีบหญิงสาวไปทั่วทุกหนแห่ง ทำให้ตนเองกลายเป็นภัยมืดของสังคม ชื่อเสียงฉาวโฉ่ส่งกลิ่นไกล” น่าหลานอวี้กล่าวเสียงขรึม
เชียนอ้าวเซี่ยรีบโต้ “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า! มิเช่นนั้นแล้วข้าจะไปคบหากับหญิงน่ารำคาญเหล่านั้นทำไม แต่ซีเอ๋อร์น้อย นางไม่ใช่สตรีน่ารำคาญ”
“แต่ว่าเจ้าน่ารำคาญเป็นอย่างมาก” น่าหลานอวี้กล่าวขึ้นอย่างรู้สึกรังเกียจ เชียนอ้าวเซี่ยส่ายหน้าและหันเหความสนใจไปที่อย่างอื่นแทน เขาเหลือบมองสนามรบ เวลานี้เจ้าสำนักอวิ๋นกำลังถูกมู่เฉียนซีและมู่อวู่ซวงทำร้าย คนอื่น ๆ ของสำนักอวิ๋นเยียนก็ตกอยู่ในสถานะที่ต่ำลง
เชียนอ้าวเซี่ยถอนหายใจ “เฮ้อ… หรือว่าที่ข้ามาในวันนี้ แค่เพียงเพื่อดูคนเขาสู้กัน แต่ไม่อาจได้สร้างประโยชน์อันใดเลย”
“พรวด! พรวด! พรวด!” เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนกระอักเลือดออกมาติดกันสามครั้ง
— ปัง! —
เขานั้นถูกพิษเล่นงานเข้าไปลึกในร่างกาย อวัยวะภายในทั้งหมดล้วนถูกมู่อวู่ซวงทำให้บาดเจ็บอย่างหนัก ในตอนนี้ เขานั้นไม่เหลือพลังในการต่อสู้ใด ๆ อีกแล้ว เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนที่กระอักเลือดออกมาก่อนหน้านี้แล้วรอบหนึ่ง ก็ได้กระอักเลือดออกมาอีก จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นยกใหญ่ก่อนจะกล่าว “อย่าได้คิดว่าพวกเจ้าชนะแล้ว เจ้าคิดว่าเบื้องหลังของสำนักอวิ๋นเยียนมีเพียงเท่านี้รึ ?”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ช่วยสำนักอวิ๋นเยียนด้วย ช่วยข้าด้วย!”
สำนักอวิ๋นเยียนที่เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่ง มีผู้อาวุโสสูงสุดผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง แล้วจะต้องกลัวอะไร ?
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดผู้นั้น จะเป็นคนระดับขั้นใด
มู่เฉียนซีโบกมือ “พล่ามมากจริง ๆ รีบสู้รีบจบเถอะ” ทว่าศัตรูร้ายกำลังจะมาถึง!
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เงาร่างสีขาวสามร่างพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ชายชราทั้งสามคนที่มีใบหน้าไร้อารมณ์ เมื่อเห็นสำนักอวิ๋นเยียนที่เต็มไปด้วยเลือดและกลิ่นคาว ทั้งยังมีอัจฉริยะอันดับหนึ่งของพวกเขาที่ถูกทรมานเสียจนแทบไม่มีรูปร่างของความเป็นคนหลงเหลือ ส่วนเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนนั้นก็บาดเจ็บจนเหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้าย พวกเขาจึงโกรธเป็นที่สุด
“สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?!”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด!” เจ้าสำนักอวิ๋นคลานปีนป่ายไปบนพื้นจนกระทั่งถึงเท้าของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม และเริ่มกล่าวถึงความขมขื่นออกมา
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ พวกท่านจะต้องสับพวกมันเป็นหมื่นชิ้น หรือแม้ใครก็ตามที่มีการติดต่อกับพวกมัน สำนักอวิ๋นเยียนของเราจะไม่ไว้ชีวิตมันสักคน ข้า…” ทันใดนั้น เหล่ากำลังคนจากสำนักนิกายครึ่งระดับนั้นก็รีบหนีออกไป เพราะเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนบ้าคลั่งไปเสียแล้ว หากหลงคิดว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับตระกูลมู่ละก็ เกรงว่าแม้แต่พวกเขาก็จะต้องถูกฆ่าไปด้วย
ในตอนนี้สถานการณ์นั้นเกิดการพลิกผัน ทำให้ไม่อาจคาดการณ์ได้ทัน
เป็นผู้ใดกันที่บอกว่าทวีปเซี่ยโจวของพวกเขานั้นไม่มียอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิ อีกทั้งเมื่อปรากฏตัวออกมา ยังออกมาถึงสามคนด้วยกัน
ถึงแม้ว่าผู้นำตระกูลมู่และนายท่านสามแห่งตระกูลจะแข็งแกร่ง แต่ในบรรดาพวกเขานั้นไม่มียอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะได้เปรียบเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมหาจักรพรรดิทั้งสามปรากฏตัวขึ้น ก็เหมือนกับว่าได้คาดโทษตายให้กับพวกเขาแล้ว “พวกเจ้ารนหาที่ตายแล้ว!” พลังความกดดันระดับมหาจักรพรรดิเข้าปกคลุมไปทั้งสำนักอวิ๋นเยียน และได้คืบแผ่เข้าไปใกล้ร่างมู่เฉียนซี
มู่อวู่ซวงกำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น รีบไสรถเข็นของตนไปกันขวางไว้ที่ด้านหน้าหลานสาว
ขณะนั้นเอง พลังแห่งความเย็นยะเยือกของใครคนหนึ่งก็ได้เข้าปกคลุมไปทั้งสำนักอวิ๋นเยียน และได้ปัดป้องพลังกดดันของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักอวิ๋นเยียนไป
“โอ้!”
“พลังแรงกดดันระดับมหาจักรพรรดิ!” “ในที่แห่งนี้ยังมียอดฝีมือระดับมหาจักพรรดิอีกผู้หนึ่งอย่างนั้นรึ ?”
“พลังแห่งความเย็นเยือกนี้… เป็น… เป็นจักรพรรดิเซี่ย! ที่แท้แล้วจักรพรรดิเซี่ยก็เป็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิเช่นกัน”
ทุกคนต่างพากันกระซิบกระซาบ ทว่าจักพรรดิเซี่ยนั้นอยู่ที่ไหนกัน ?
เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งวาดเป็นเส้นโค้งที่สวยงามลงมากลางอากาศ ใบหน้าที่ดูราวกับปีศาจหิมะ ร่างของเขานั้นก็โอนอ่อนและสามารถดัดขึ้นมาตรงได้ในเวลาเพียงพริบตา ทั้งตัวของเขากอปรไปด้วยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกที่รุนแรง พวกเขามองเงาร่างสีขาวนั้น เมื่อมองเข้าไปอีกทีแล้วมองซ้ำอีกครา ท้ายที่สุดจึงได้แต่ยอมรับความจริง แต่พวกเขากลับตะลึงงัน อ้าปากค้างคางตกอยู่เช่นนั้น
“นั่น… นั่นเป็นองค์รัชทายาทเซี่ย!”
“สวรรค์! องค์รัชทายาทเส้นลมปราณ… เอ่อ… มิใช่ว่าเสียเส้น พิการมาแต่กำเนิดมิสามารถที่จะฝึกยุทธ์ได้หรอกรึ ? เขาเป็นผู้ไร้ความสามารถผู้หนึ่งมิใช่รึ ? จะเป็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิได้อย่างไร เบื้องบน… การเล่นตลกครั้งนี้คงเล่นใหญ่ไปแล้วกระมัง”
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น! ข้ายอมที่จะเชื่อว่าผู้นำตระกูลมู่ฝึกฝนจนกลายเป็นจักพรรดิแห่งภูตระดับเก้า แต่มิอาจจะเชื่อได้ว่าองค์รัชทายาทเซี่ยเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูต”
“แต่พลังความเยือกเย็นนี้…”
“องค์รัชทายาทเซี่ย ไม่สิองค์จักรพรรดิเซี่ย!”
“จักรพรรดิเซี่ยแห่งราชวงศ์ใต้ดินนั้น… เขา!”
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณหนูใหญ่อวิ๋นเฟิ้ง พวกเขานั้นไม่ได้มาเสียเที่ยวจริง ๆ
ความน่าตระหนกตกตื่นที่เผชิญนี้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน แต่ละเรื่องช่างท้าทายควาสามารถในการยอมรับของหัวใจของพวกเขาเสียจริง
การที่เชียนอ้าวเซี่ยเผยพลังความสามารถที่แท้จริงของเขาออกมา อีกทั้งยังมีเรื่องสถานะตัวตนของเขา ทำให้สีหน้าที่ซีดเผือดอยู่แต่เดิมของเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนเริ่มกลายเป็นสีเขียวแกมม่วงไปแล้ว “องค์รัชทายาทเซี่ย จักรพรรดิเซี่ย ที่แท้เจ้านั้นคอยเป็นปฏิปักษ์กับพวกเราสำนักอวิ๋นเยียนเรื่อยมา”
“ฮ่า ๆ ๆ องค์รัชทายาทเซี่ยช่างมีความสามารถเสียจริง! สามารถตบตาคนได้ทั้งทวีปเซี่ยโจว”
“ราชวงศ์แห่งแคว้นเฉียนเซี่ย ช่างทะเยอทะยานไม่เบาเลยจริง ๆ เมื่อมีอัจฉริยะเช่นนี้ถือกำเนิดมา กลับปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้เป็นเวลานาน”
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามคนจ้องมองเชียนอ้าวเซี่ยด้วยแววตาเย็นชา บุตรชายคนที่สองของพวกเขานั้นเก็บซ่อนพลังเอาไว้ลึกนัก อย่างไรก็จะต้องจัดการเพื่อมิให้เป็นภัยในภายหลัง
เชียนอ้าวเซี่ยกล่าว “เสี่ยวซีซี เจ้ากับท่านอาของเจ้ารีบถอยออกไป ข้าจะคุ้มกันด้านหลังและถ่วงเวลาเอาไว้เอง”
พลังน้ำแข็งอันเย็นยะเยือกระเบิดออกมาอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ทั้งสำนักอวิ๋นเยียนปกคลุมไปด้วยหมอกของไอเย็น
หนึ่งในชายชราทั้งสามกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าหนู เจ้าช่างอ่อนต่อโลกนัก! อาศัยเพียงตัวเจ้าคนเดียว คิดที่จะรั้งพวกเราทั้งสามคนเอาไว้ ฝันไปเถอะ!”
.