ในตอนนี้กำลังหลักทั้งหมดของหุบเขาหมอเทวดา ล้วนแต่ตามล่าหมายจะฆ่าสังหารมู่เฉียนซี พวกเขาตามล่าด้วยกำลังแรงทั้งหมดที่มี และเหลือคนจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ไปรับมือกับมู่อวู่ซวงกับสัตว์พันธสัญญาของมู่เฉียนซี
“เสี่ยวซีซี” เวลานี้หัวใจของเชียนอ้าวเซี่ยประหนึ่งกำลังเลือดไหล นาง เหตุใดนางคนเดียวถึงได้ดึงดูดคนจำนวนมากมายขนาดนั้นเข้ามา
นางคงจงใจทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
มู่อวู่ซวงเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นของเขาที่แฝงความอ่อนโยนไว้ตลอดเวลาที่สนทนากับหลานสาว บัดนี้ได้กลับกลายเป็นล้ำลึกเหมือนดั่งหุบเหว เขามองคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าของตนและกล่าวสั่งขึ้น “หลีกไป!”
“ไม่หลีก! ภารกิจของพวกเราคือขัดขวางพวกเจ้า เพื่อมิให้พวกเจ้าเข้าไปก่อความวุ่นวาย” “ถ้าหากว่าซีเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยละก็ หุบเขาหมอปีศาจจะได้กลายเป็นเมืองผีแน่” เสียงของมู่อวู่ซวงนั้นราวกับภูตผีที่อยู่ในส่วนลึกจากเมืองผีที่ถูกส่งออกมา
เรื่องเช่นนี้มีหรือเขาจะยินยอม ถ้าหากว่าเขานั้นสามารถเดินเหินได้เป็นปกติละก็ ถึงแม้ว่าจะมีเพียงพลังความสามารถของระดับจักรพรรดิ เขาก็สามารถตามมู่เฉียนซีไปได้ คงจะไม่ถูกคนผู้นี้กันท่าเอาไว้
แต่ในตอนนี้ เขานั้นทำได้เพียงปล่อยให้ซีเอ๋อร์ตกอยู่ในวงล้อมอย่างจนปัญญาเช่นนี้
“ผู้พิการผู้หนึ่ง ผู้ที่เป็นระดับจักรพรรดิผู้หนึ่ง กลับกล้ากล่าวเช่นนั้นออกมา ช่างน่าหัวเราะให้ฟันร่วงเสียจริง! พวกเจ้าคนทวีปเซี่ยโจวเป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เป็นดั่งกบในกะลา” คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้ามู่อวู่ซวงกล่าวเย้ยหยัน
“ตาย!” มู่อวู่ซวงกล่าวออกมาคำเดียว พลันลงมือในทันใด จิตใจของน่าหลานอวี้ก็ร้อนรนเหมือนดั่งไฟเผา เขากล่าวขึ้นด้วยความโกรธขึ้ง “ซีเอ๋อร์ เจ้านี่นับวันยิ่งจะบัดซบขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วนะ”
พวกเขานั้นอยากที่จะถ่วงเวลาศัตรูเอาไว้แล้วให้นางหนีไปแต่ผู้เดียว ทว่านางกลับไม่ตอบตกลง
มาตอนนี้ นางเพียงคนเดียว ล่อศัตรูไปทั้งหมด ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
มู่เฉียนซีมีเคล็ดวิชาที่ดี แต่ต่อให้ไวกว่านี้ก็ไม่ไวไปกว่ายอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งที่ล้อมโจมตีนาง
“จับแม่สาวน้อยนั่นไว้” มู่เฉียนซีวิ่งขึ้นไปได้เพียงครึ่งของโคนเขา ก็ได้ถูกกลุ่มคนของหุบเขาหมอปีศาจล้อมเอาไว้
— ตูม! —
ด้วยกระบวนทัพที่เหนียวแน่นของคนกลุ่มนี้ มู่เฉียนซีไม่อาจจะหนีไปไหนได้อีก
ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบกล่าว “แม่สาวน้อย เลิกดิ้นรนอย่างมั่วซั่วเช่นนี้ได้แล้ว ขอแค่เพียงข้ามั่นใจเรื่องราวสองสามเรื่อง ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า หุบเขาหมอปีศาจของเรามิใช่สำนักใจคอคับแคบ ดีไม่ดีอาจจะชุบเลี้ยงฝึกฝนเจ้าเป็นอย่างดีก็ได้”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “อย่าได้พูดพร่ำมากความ พวกเจ้าหุบเขาหมอเทวดาเป็นพวกจอมปลอม ถึงต่อให้พูดเรื่องดีออกมามากกว่านี้ ข้าก็ไม่เชื่อพวกเจ้า”
เมื่อถูกมู่เฉียนซีฉีกเอาความจริงบางอย่างออกมา ใบหน้าคนของหุบเขาหมอเทวดาแต่ละคนนั้นเปลี่ยนไปเป็นแข็งทื่อราวกับเหล็ก มุมปากมู่เฉียนซียกโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย นางกล่าวขึ้น “ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ข้ากับหม้อเทพนิรันดร์ทำพันธสัญญากันด้วยวิญญาณ ทันทีที่ข้าตาย มันก็จะกลายเป็นหม้อที่ไม่ต่างอะไรกับเหล็กผุพัง หมอเทพนิรันดร์ในตำนานก็จะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเจ้าแล้วเช่นนั้น ฉะนั้นแล้วในตอนที่พวกเจ้าลงมือก็ระวังสักหน่อย อย่าได้ลืมตัวเผลอฆ่าข้าไปเสียล่ะ”
เจ้าเด็กบ้านี่! พวกเขานั้นก่นด่าสาปแช่งมู่เฉียนซีอยู่ในใจไปเป็นร้อยรอบพันรอบแล้ว
เห็น ๆ กันอยู่ว่าผู้ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนั้นคือนาง แต่นางกลับมีอำนาจในเชิงรุก จริงอย่างที่นางกล่าว พวกเขาไม่กล้าฆ่านาง
เมื่อฆ่านางแล้ว หม้อเทพนิรันดร์ก็จะสิ้นความสามารถไป นั่นเป็นหม้อเทพนิรันดร์เชียวนะ!
— ฟึ่บ! —
ทันใดนั้นตาข่ายขนาดใหญ่ผืนหนึ่งพุ่งตรงไปทางมู่เฉียนซี “หึ! ถึงแม้ว่าพวกเราจะฆ่าเจ้าไม่ได้ พวกเราก็มีวิธีการเป็นร้อยที่จะจับเจ้าได้”
เมื่อต้องเผชิญกับตาข่ายขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ว่ามู่เฉียนซีจะรวดเร็วมากเท่าไร ก็ยากที่จะหลบได้พ้น
“มังกรเพลิงสังหาร!”
มังกรเพลิงร่างแดงพุ่งออกมา และชนเข้ากับตาข่ายนั่นอย่างแรง
“นั่นเปลวเพลิง!” “อะไรกัน ? นางเป็นผู้มีพลังภูตธาตุอัคคีด้วยรึ ?!”
“ทว่าดูไม่เหมือนเลย เอาเถอะ รีบเพิ่มตาข่ายวิญญาณแบบพิเศษเร็วเข้า!”
เปลวไฟของกระบี่มังกรเพลิงนั้นรุนแรงมาก แต่ตาข่ายอีกผืนนี้มิใช่ตาข่ายวิญญาณธรรมดาทั่วไป เพราะมันถูกใส่พลังของบุคคลระดับมหาจักรพรรดิเข้าไป ยากที่มู่เฉียนซีจะระเบิดทะลวงมันออกได้
นางจะถูกจับอยู่แล้ว!
อาถิง!
คราก่อนเมื่อตอนที่รับมือกับต้นไม้ปีศาจนั่น อาถิงสูญเสียพลังไปไม่น้อย จนกระทั่งวันนี้ เขาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ส่วนเจ้าหม้อเทพนิรันดร์ที่ได้ก่อให้เกิดการต่อสู้ครั้งนี้ขึ้นนั้น ยิ่งไม่ต้องไปกล่าวถึงเลย ในตอนนี้มันยังคงหลับใหลราวกับหมูที่ไร้วิญญาณตัวหนึ่ง
“พลังตี้ซวน!” มู่เฉียนซีพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้ายเมื่อเห็นว่าตาข่ายใหญ่ ๆ นั้นกําลังจะตกลงมา
— ตูม! —
เสียงระเบิดดังสนั่น แต่ก็ยังไม่อาจผลักมันให้พ้นออกไปได้
ดูหมือนว่าจะถูกจับเข้าจริง ๆ เสียแล้ว ทว่าพวกเขานั้นยังไม่กล้าฆ่านางเป็นการชั่วคราว แต่ถึงอย่างไร ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ นางจะต้องสามารถหาทางหลบหนีออกไปได้อย่างแน่นอน
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมแพ้ที่จะดิ้นรนแล้ว” ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบกล่าวขึ้น ในขณะที่พวกเขาคิดว่ากำลังจะได้ตัวนางมานั่นเอง พลันมีเงาร่างสีดำดุจดั่งปีศาจพุ่งเข้าไปในที่ที่ตาข่ายนั้นคลุมอยู่ และได้เอื้อมมือออกไปคว้าเอาสตรีชุดสีม่วงนั้นมาไว้ในอ้อมอก เขาเพียงยกมือสะบัดขึ้นเบา ๆ พลังที่น่ากลัวพลังหนึ่งพลันระเบิดออกมา
— ตูม! —
ตาข่ายผืนนั้นที่มู่เฉียนซีทำทุกหนทางก็ไม่อาจที่จะฝ่าออกมาได้ บัดนี้มันกลับสลายโรยร่วงลงมาราวกับดอกหิมะ
สีหน้าเหล่าคนของหุบเขาหมอเทวดากลุ่มนี้เปลี่ยนไป ยอดฝีมือ… เป็นยอดฝีมือที่น่ากลัวผู้หนึ่ง ทว่าเขามาจากที่ใด ?!
ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นเงาร่างสีดำสูงยาวผู้ซึ่งยืนอยู่กลางวงล้อมของพวกเขาได้ชัดเจน เขาดูมีเสน่ห์แบบเยือกเย็น แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็เหมือนกับเทพมารลงมาเยือนโลกด้วยเช่นกัน สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นเหมือนดั่งมดปลวกไปเลยเมื่อเขาผู้นี้ปรากฏกาย
“อ่า!” เมื่อเห็นบุรุษเช่นนี้อยู่ตรงหน้า พวกเขาต่างอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน
คนผู้หนึ่งกระซิบกล่าวขึ้น “ชายชุดดำ เรื่องที่เจ้าสำนักไร้ความสามารถผู้นั้นกล่าวคือเรื่องจริง มีชายผู้น่ากลัวเช่นนี้อยู่จริง”
“ซี!” จิ่วเยี่ยก้มหน้าลงมา ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นจ้องมองนาง “เจ้าตกใจหรือ ?” มุมปากของมู่เฉียนซีค่อย ๆ เผยรอยยิ้มบาง ๆ “เจ้าดูถูกความกล้าของข้าเหลือเกิน ตอนนี้ข้าสู้กับพวกเขาด้วยตัวข้าเอง ไม่มีพันธะติดพันอะไร สำหรับข้า ที่นี่ไม่มีอะไรน่ากลัว”
ใช่แล้ว! ถ้าหากเป็นการต่อสู้ในสนามรบก่อนหน้านี้ นางคงจะกลัวว่าญาติและเพื่อนของตนเองนั้นจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าในตอนที่เหลือเพียงตัวนางแค่ผู้เดียวนั้น กลับกลายเป็นว่านางไม่มีจุดอ่อนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องหวั่นกลัวอะไร
“เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว” จิ่วเยี่ยจับเอวบางของมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น เขานั้นไม่ชอบที่นางอยู่ตัวคนเดียว แล้วจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่สน
มู่เฉียนซีกล่าว “อื้ม! ตัวคนเดียวข้านั้นไม่กลัว มีเจ้าอยู่ข้าก็ยิ่งไม่กลัว ข้าคิดว่าเยี่ยอ๋อง… หึ ๆ เจ้าคงไม่ยอมให้หมอประจำตัวโดยเฉพาะของเจ้าถูกผู้อื่นจับตัวไป” “ข้านั้นจะไม่ยอมให้ผู้อื่นมาเอาตัวสตรีของข้าไป” จิ่วเยี่ยแก้คำพูดของมู่เฉียนซี เมื่อไหร่กันที่นางจะวางตำแหน่งของตนเองในที่ที่ถูกต้องเสียที
ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบกล่าวขึ้น “ท่านผู้นั้น! ขอให้ท่านอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจของหุบเขาหมอเทวดาของเรา ข้าน้อยขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หุบเขาหมอเทวดาของเรายินดีที่จะเป็นมิตรกับท่าน”
สีหน้าเย็นชาน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของจิ่วเยี่ยแผ่กระจายความหนาวเหน็บออกมาเต็มใบหน้า และดวงตาที่เย็นยะเยือกพร้อมทั้งมีจิตสังหารคู่นั้น จ้องมองไปยังพวกเขา “หุบเขาหมอเทวดาคืออะไร ?!”
“ผู้ที่กล้ามาเตะต้องสตรีของข้า ต้องไปสำนึกผิดในนรก!”
พวกเขารู้สึกถึงความกลัวที่แล่นมาจากจิตวิญญาณ ผู้นำที่สามฝ่ายสู้รบพยายามกลั้นความหวั่นกลัวในใจเอาไว้แล้วกล่าวขึ้น “พวกเราหุบเขาหมอเทวดาเป็นสำนักนิกายระดับสองสำนักหนึ่ง แล้วยังเป็นสำนักที่ฝึกเรื่องการปรุงยาโดยเฉพาะ”
สำนักนิกายระดับสอง เมื่อกวาดตามองไปทั้งแดนใต้ ล้วนแต่อยู่อย่างมีเกียรติสูงส่ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสำนักที่เน้นเรื่องการฝึกปรุงยา สถานะของสำนักเช่นนั้นจะสูงส่งอย่างที่สุด
แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิ ก็ยังต้องยอมเห็นแก่หน้าของพวกเขาอย่างไม่เคยมีผู้ใดกล้าไม่ปฏิบัติมาก่อน
เขาคิดว่าชายผู้นี้ก็จะเป็นเช่นนั้น
.