มู่เฉียนซีจ้องมองเขาและกล่าวว่า “นี่เจ้าตั้งสติหน่อยได้หรือไม่ ถูกคนเรียกขานว่าเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ เหตุใดถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนี้”
“แต่หวงจิ่วเยี่ยเขากล้าหลอกข้า” ความโกรธเกรี้ยวของอาถิงยังคงไม่ลดละ
ทว่า ตอนนี้เขากลับใจเย็นลงบ้างแล้ว เขามองหน้ามู่เฉียนซีและกล่าวว่า “นังผู้หญิงบ้า ชายผู้นั้นเป็นคนที่เชื่อไม่ได้ กล่าวความเท็จใหญ่โตอย่างหน้าตาเฉย ช่างน่ารังเกียจที่สุด”
“เจ้าอย่าได้โดนเขาหลอกเป็นอันขาด ไม่ว่ายังไงเจ้าก็เป็นพันธสัญญาของข้า เจ้าต้องเข้าข้างข้า” อาถิงกำหมัดแน่นพลางกล่าว
มู่เฉียนซียังคงฟังเขาอย่างใจเย็น อาถิงกล่าวต่อว่า “เชอะ! หากเจ้าไม่ช่วยข้า ต่อให้ร่างของข้าถูกทำลายลง ข้าก็จะลากผู้หญิงอย่างเจ้าลงหลุมไปพร้อมกับข้าด้วย”
ทันใดนั้นสองมืออันเรียวยาวคู่หนึ่งก็จับไปที่คางอันบอบบางของอาถิง เงยหน้าเขาขึ้น และได้สบตากัน
“ในฐานะที่เป็นพันธสัญญาของข้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่เชื่อข้าถึงเพียงนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรอกนะ”
“แต่อีกฝ่ายเขาใช้หน้าตาความงามเป็นอาวุธ ใครจะรับประกันได้ล่ะว่าผู้หญิงบ้าเช่นเจ้าจะไม่ติดกับ! ผู้หญิงบ้าอย่างเจ้าก็จริง ๆ เลยนะ อยู่กับข้าผู้ที่หน้าตางดงามเพริศพริ้งดี ๆ ไม่ชอบ ไปชอบผู้ชายอันตรายสุดขีดอย่างเจ้านั่น”
มู่เฉียนซีไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขาเรื่องนี้ ครั้นแล้วนางจึงกล่าวถามขึ้นว่า “แล้วตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?”
ดวงตาของอาถิงเปล่งประกายขึ้น เขากล่าวว่า “ข้าก็ยังไม่แน่ใจ รอให้ข้าแน่ใจก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ! แต่ถ้าหากเป็นจริงขึ้นมาแล้วล่ะก็ ข้ากับหวงจิ่วเยี่ยก็ต้องตายกันไปข้างนึง ถึงตอนนั้นเจ้าก็ยกเลิกพันธสัญญากับข้าเถอะ!”
“ศาลานิรันดร์ นี่เจ้าแน่ใจว่าเจ้าแพ้แล้วงั้นรึ ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าวถาม
“ข้าไม่แพ้เด็ดขาด ต่อให้ข้าจัดการเขาไม่ได้ ข้าก็จะลากเขาให้ตายไปพร้อมกับข้าด้วย!” ดวงตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นเด็ดเดี่ยวอย่างมิอาจเทียบได้ และไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งใด
มู่เฉียนซีมองมาที่เขาและกล่าวว่า “อาถิง บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดก็ได้”
“เจ้าแน่ใจแล้วรึว่าจะไม่บอกข้า ?”
“พลังวิญญาณเพียงน้อยนิดเช่นเจ้า อย่าเข้ามาพัวพันจะดีกว่า!” อาถิงมองมู่เฉียนซีด้วยความดูถูกดูแคลน
“ดี! ดีมาก รังเกียจพลังที่อ่อนแอของข้า งั้นเจ้าก็กลับเข้าไปอยู่ในมิติพันธสัญญาซะเถอะ! หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าก็ออกมาไม่ได้!” มู่เฉียนซีใช้พลังพันธสัญญาบังคับให้อาถิงกลับเข้าไปอยู่ในมิติ
ในความเป็นพันธสัญญาของพวกเขา มู่เฉียนซีคือเจ้านาย คิดอยากจะให้อาถิงกลับเข้าไปในมิติ อาถิงก็มิอาจขัดได้
อาถิงถูกบังคับให้กลับเข้าไปในมิติ เขาตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก นังผู้หญิงบ้า เจ้าจำเอาไว้เลยนะ คราวหน้าหากเกิดอันตรายขึ้นกับเจ้า อย่ามาขอให้ข้าลงมือก็แล้วกัน!”
“เจ้า……เจ้า……”
อาถิงตะโกนบ่นอยู่ในมิติ มู่เฉียนซีกล่าว “นอกเสียจากเจ้าจะบอกข้าว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง ไม่งั้นข้าไม่ให้เจ้าออกมาเด็ดขาด”
“คิดจะทำให้จิ่วเยี่ยตายไปพร้อมกับเจ้า เจ้าฝันไปเถอะ! กว่าจะทำพันธสัญญากับศาลานิรันดร์อย่างเจ้าได้มันไม่ง่ายเลย ข้าโง่หรือสมองกลวงล่ะที่คิดจะแก้พันธสัญญานั้น!”
“เจ้า…….”
“จิ่วเยี่ยก็ช่วยข้าไว้ไม่น้อย ข้าก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาเหมือนกัน เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเนรคุณลืมบุญคุณคนงั้นรึ ?”
“เจ้าไม่ได้ลืมบุญคุณคน แต่เจ้าหลงใหลจนลืมศีลธรรมไปต่างหากล่ะ เจ้ามักชอบเจ้านั่นเข้าแล้ว ข้าโกรธเจ้าจริง ๆ เจ้ามันนังผู้หญิงโง่เง่า เจ้า……”
อาถิงยังคงตะโกนเอะอะโวยวายอยู่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความโกรธของมู่เฉียนซี นางจึงได้ตัดการสื่อสาร ไม่อยากฟังคำดุด่าต่อว่าของอาถิง
ตกลงแล้วจิ่วเยี่ยทำอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้อาถิงตัดสินใจสู้กับเขาจนยอมพลีชีพได้ถึงเพียงนี้ ?
มู่เฉียนซีตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าหากเจอจิ่วเยี่ยนางจะคุยเรื่องนี้กับเขา!
หลังจากที่อาถิงกลับเข้าไปในมิติ พื้นที่ทะเลแห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่นางผู้เดียว
ตามหาต่อไป ต้องจับตาเฒ่าบ้านั่นให้ได้ พลังจิตของมู่เฉียนซีแผ่ซ่านไปในบริเวณรอบ ๆ อีกครั้ง แต่นอกจากทะเลอันเงียบสงบแห่งนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย
“กลไกวิญญาณ!” มู่เฉียนซีตะโกนเรียก
“กลไกวิญญาณกำลังอยู่ในช่วงหลับใหล ได้โปรดเรียกหาใหม่ในภายหลัง!” น้ำเสียงที่จริงจังดังก้องขึ้น
“อ๋อ! งั้นก็หลับใหลต่อไปเถอะ!”
มู่เฉียนซีไม่สนใจไยดีกลไกวิญญาณ และตามหาเบาะแสต่อไป ทำให้กลไกวิญญาณต้องเลิกแสร้ง
“นี่! เจ้าก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าข้าไม่ได้หลับ เหตุใดถึงได้เมินเฉยเช่นนี้” มู่เฉียนซีเมินเฉยมัน แต่มันกลับเป็นฝ่ายมาพัวพันกับมู่เฉียนซีเอง
“ไม่เมินเฉยใส่เจ้าแล้วจะยังไงรึ ? อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่มีทางบอกข้าอยู่แล้วว่าตาเฒ่าบ้านั่นพาหลินเอ๋อร์ไปที่ไหน ?”
“เหอะ! เจ้าก็รู้ตัวก็ดีหนิ่ ข้าไม่บอกเจ้าหรอกว่าตาเฒ่าบ้านั่นมันกำลังมุ่งหน้าไปที่ตำหนักเทียนสุ่ยหลิง”
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง “ตำหนักเทียนสุ่ยหลิง แล้วมันอยู่ที่ไหนกันเล่า ?”
“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก เจ้าค่อย ๆ หาเองเถอะ!”
ในเมื่อมันเป็นสุ่ย (สุ่ย แปลว่า น้ำ) เช่นนั้นก็……
มู่เฉียนซีก้มลงมองพื้นทะเลใต้ฝ่าเท้า นางทำได้เพียงแค่เดินอยู่บนพื้นผิวของทะเล แต่เข้าไปไม่ได้
ดูเหมือนว่าใต้ฝ่าเท้าของนางถูกกั้นด้วยกระจกใสชั้นหนึ่งก็มิปาน หากนางจะลงไปในทะเลก็จำเป็นต้องเปิดชั้นกระจกใสที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ได้เสียก่อน
มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงออกมาจากฝักเพื่อที่จะลองดู กระบี่มังกรเพลิงถูกยกขึ้นตัดผ่านอากาศ พร้อมกับเสียงตะโกนอย่างดุดันว่า “มังกรเพลิงพิฆาต!”
ตูม!
เสียงตูมดังขึ้น ทว่า มู่เฉียนซียังคงทำลายมันไม่ได้ ไม่อาจลงไปในใต้ทะเลได้
“น้ำสามารถควบคุมไฟได้ เจ้าใช้พลังธาตุเพลิงโจมตี หากสามารถทำลายได้ก็แปลกแล้ว”
“ไฟทำอะไรไม่ได้ แต่น้ำหยดลงหิน หินยังกร่อนได้!”
“โล่มังกร วารี!” พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีสูบฉีดไปทั่วทั้งร่างกาย และได้โจมตีไปทันที
ตูม!
สถานที่นั้น ตอนนี้ได้ถูกมู่เฉียนซีทำลายลงเป็นรูโหว่
“ลงมืออีก!”
“โล่มังกรวารี!”
“……”
หลังจากที่พยายามอยู่นับสิบกว่าครั้ง ในที่สุดมู่เฉียนซีก็เปิดออกชั้นกระจกออกได้สำเร็จ
ตูม!
เสาน้ำเสาหนึ่งพุ่งออกมาจากก้นทะเล มู่เฉียนซีใช้พลังธาตุวารีห่อหุ้มร่างของตัวเองไว้ และพุ่งลงสู่ก้นทะเลลึก
ตอนนี้นางได้เข้ามาสู่ใต้ทะเลแล้วจริง ๆ ณ ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นมิติอีกมิติหนึ่งก็มิปาน
มู่เฉียนซีกำลังว่ายวนอยู่ใต้ทะเล พลังจิตแผ่ซ่านออกไปเพื่อตามหากลิ่นอายของตำหนักเทียนสุ่ยหลิง และนางก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับตำหนักเทียนสุ่ยหลิงนั้นจริง ๆ
เบื้องหน้านั้นเป็นหอเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นในน้ำ งดงามและประณีตมาก ตั้งตระหง่านบริสุทธิ์อยู่ในทะเลดุจดั่งสาวพรหมจารีก็มิปาน
มู่เฉียนซีพรวดเข้าไปในหอนั้นอย่างรวดเร็ว ภายในใจกลางหอ ได้เห็นกับตาเฒ่าบ้าผู้นั้นกำลังยกมือขึ้นและจับที่หัวของหลินเอ๋อร์
ตอนนี้ ต่อให้นางคิดจะเข้าไปขวางก็ไม่ทันแล้ว นับว่าโชคดีที่ตาเฒ่าบ้านั่นยังไม่ได้ลงมือฆ่าหลินเอ๋อร์ แต่ว่า……
ถ่ายทอดพลังวิญญาณ!
มู่เฉียนซีเห็นเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไป นางรับรู้ได้ถึงพลังขั้นมหาจักรพรรดิของตาเฒ่าบ้านั้น ในชั่วครู่หนึ่งพลังอันแข็งแกร่งนั้นก็ลดลงถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่ง
“อือ!”
ในตอนนี้เอง หลินเอ๋อร์ก็ได้ลืมตาขึ้น เขาผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนพลังวิญญาณมาก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้บำเพ็ญภูต เพิ่มขึ้นมาเป็นจอมภูต ปรมาจารย์ภูต จนกระทั่งถึงราชาแห่งภูต!
ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ตาเฒ่าบ้าผู้นั้นได้ถ่ายทอดพลังวิญญาณให้ พลังวิญญาณจำนวนมากถูกถ่ายทอดเข้าไปในคราเดียว มู่เฉียนซีกลัวว่าร่างกายของหลินเอ๋อร์จะเป็นอันตราย
หลินเอ๋อร์เห็นชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นยืนอยู่ตรงหน้า ความตื่นตระหนกก็ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“เจ้าเป็นใคร ? ท่านแม่ของข้าล่ะ! ท่านแม่ข้าอยู่ที่ไหน ?”
ตาเฒ่าบ้าหัวเราะขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “เหอะ เหอะ เหอะ! เจ้าหนู อย่าได้กลัวไปเลย! อีกไม่นานข้าจะส่งเจ้าไปเจอท่านแม่เจ้าแล้ว”
“พลังวิญญาณได้ไหลเวียนเข้าสู่ปราณพลังของเจ้า มันได้รวมเข้ากับโลหิตและกระดูกของเจ้าแล้ว ต่อไปพิธีบูชายัญก็จะเริ่มต้นขึ้นจริง ๆ สักที” ตาเฒ่าบ้ากล่าวเบา ๆ