เหมือนกับว่าจิ่วเยี่ยจะได้พบเข้ากับสิ่งที่สามารถทำให้คนเรานั้นรู้สึกใจอ่อนได้ที่สุดในโลกแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นหัวใจที่เยือกเย็นและแข็งกระด้างมากไปกว่านี้ ก็ยังจะต้องรู้สึกเจ็บปวดไปกับมันด้วย
ชุดผ้าไหมสีดำเต็มไปด้วยความเปียกชื้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้อื่นร้องไห้ต่อหน้า และเป็นครั้งแรกที่เห็นนางเจ็บปวดออกมาจากในหัวใจ
ความเศร้าโศกของนางนั้นมิใช่เพราะว่าเขา ทว่าจิ่วเยี่ยเองก็มิได้รู้สึกโกรธกริ้วแต่อย่างใดต่อนาง
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น ด้วยเพราะไม่อยากให้ผู้ใดมาเห็นสภาพของนางในตอนนี้
“ข้า… ดูเหมือนจะมาสายไปเสียแล้ว” เสียงที่เหมือนกับไม่ได้จริงจังต่อโลกเสียงหนึ่งลอยมา จากนั้นพลันปรากฏเงาร่างสีเขียวเข้มเงาหนึ่งลอยลงมาที่สนามรบในทันใด มันมีดวงตาที่มีเสน่ห์และช่วงเอวอันบอบบาง การมาเยือนของมันดูมีชีวิตชีวา
“ที่แห่งนี้คงต้องมอบให้เจ้าเก็บกวาดแล้วจื่อโยว” จิ่วเยี่ยกล่าว กล่าวจบเขาก็พามู่เฉียนซีจากที่แห่งนั้นไปอย่างรวดเร็ว
น่าหลานอวี้ตะลึงงัน เขามองเงาร่างนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ในตอนที่มู่เฉียนซีเสียหลักที่สุด ผู้ที่อยู่ข้างกายของนาง ผู้ที่กอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่นกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นบุรุษชุดดำผู้นั้น
เขามองสหายของเขาที่หลับใหลอยู่กลางผลึกน้ำแข็ง มุมปากเขาก็ค่อย ๆ ยกขึ้นเบา ๆ พลางนึกคิดในใจว่า ‘เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า ?’ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ใจของเขาที่มีตั้งแต่แรกจวบจนตอนสุดท้ายจะไม่มีทางเปลี่ยนไป
จื่อโยวมองน่าหลานอวี้ “เจ้ามนุษย์ ข้ารู้สึกว่าการมาเก็บกวาดเอาในตอนจบนั้นไม่เหมาะให้ข้าลงมือเลย อย่างไรเสียให้เจ้าจัดการจะดีกว่า อีกอย่าง คำสาปของจิ่วเยี่ยกำลังจะสะกดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ข้าจำเป็นต้องไปดูสักหน่อย”
เงาร่างสีเขียวเข้มกะพริบผ่านไป จื่อโยวจากไปโดยที่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่แต่อย่างใดเลย
…
จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีเข้าไปในจวนที่มืดสลัวแต่มีความงดงามยิ่งนัก ภายในนั้นตกแต่งคล้ายคลึงกับจวนเยี่ยอ๋องในแคว้นจื่อเยี่ย โครงกระดูกแต่ละประเภทถูกวางเรียงเอาไว้ราวกับจัดงานแสดงค่ำคืนแห่งภูตทั้งร้อยก็มิปาน นี่คือจวนของจิ่วเยี่ยในแคว้นเฉียนเซี่ย
เมื่อได้มาถึงที่จวนแล้ว จิ่วเยี่ยถึงได้ยอมปล่อยตัวมู่เฉียนซี ลูกตาสีฟ้าราวน้ำแข็งนั้นมองไปบนใบหน้าของนาง ดวงตาคู่นั้นที่ปกติสดใสราวกับดวงดาว บัดนี้กลับเสมือนว่าเต็มไปด้วยหมอกยามเช้าตรู่ที่กำลังควบแน่น นางจ่อมจมอยู่ในโลกของตนเอง มิได้สนใจเรื่องราวใด ๆ รอบตัวเลยแม้แต่เรื่องเดียว
ใบหน้าอันละเอียดอ่อนของจิ่วเยี่ยขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาของมู่เฉียนซี ถึงแม้ว่าใบหน้านั้นจะเลือนรางด้วยหมอกที่ก่อตัวอยู่ในดวงตา แต่ก็ยังคงงดงามจนน่าตกตะลึงอยู่เช่นเดิม
ริมฝีปากที่งดงามใกล้เข้ามา มู่เฉียนซีรับรู้ได้จึงหลับตาลง และจุมพิตที่เบาบางเหมือนดั่งขนนกนั้นก็ได้ลงไปประทับบนดวงตาของนาง ขนตาที่เหมือนดั่งปีกผีเสื้อค่อย ๆ ขยับเขยื้อนเบา ๆ รูดผ่านริมฝีปากที่เหมือนดั่งดอกซากุระนั้น
จิ่วเยี่ยกระซิบขึ้นเบา ๆ “ซียังมีข้าอยู่…”
เมื่อจุมพิตนั้นถูกถอนออกไป มู่เฉียนซีก็ลืมตาดำขลับคู่งามทั้งสองข้างขึ้น ดวงตาคู่นั้นที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยหยาดน้ำและเมฆหมอกก็ได้กลายเป็นดวงตาที่แจ่มใสขึ้นมา ราวกับถูกน้ำฝนชะล้างไปก็มิปาน นั่นยิ่งทำให้มันมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นเข้าเมามายไปกับมันมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีเปิดปากกล่าวขึ้นเบา ๆ ว่า “เจ้า…” “อืม ซีเป็นของข้า”
จิ่วเยี่ยดึงเอามู่เฉียนซีเข้ามาในอ้อมกอดอุ่น จากนั้นพลังในร่างกายก็ไม่สามารถที่จะควบคุมมันเอาไว้ได้อีก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาอุ้มมู่เฉียนซีไปที่ด้านหลังจวนของตน ที่ด้านหลังจวนนั้นมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่แห่งหนึ่ง
— ตู้ม! —
ทั้งสองลงไปในน้ำด้วยกันเช่นนี้
— ตูม! —
พลังสีดำนั้นถูกระเบิดออกมา มันไม่ได้ทำอันตรายใดแก่มู่เฉียนซี ทว่าเสื้อผ้าของจิ่วเยี่ยกลับโดนแรงสั่นสะท้านของมันทำให้ฉีกขาดออกกระเด็นปลิวว่อน
ในตอนนี้ไม่มีผ้าชิ้นใดปกปิดร่างกายของเขาอยู่แม้เพียงชิ้นเดียว รอยสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปทั่วร่างของเขาตั้งแต่แขน ขา คอ ไปจนถึงใบหน้าอันหล่อเหลานั้น… มือของมู่เฉียนซีพาดไปอยู่ที่รอยสีดำขลับบนใบหน้าของจิ่วเยี่ย ความร้อนเร่าเช่นนั้นสามารถทำให้ร้อนมือได้อย่างที่สุด
คำสาปของจิ่วเยี่ยระเบิดออกมาอีกครั้งแล้ว
“นิรันดร์!” มู่เฉียนซีเรียกสติกลับมาได้ทันเวลา นางรีบร้องตะโกนขึ้นทันที
“มู่เฉียนซีที่รัก เจ้าอย่าได้ไปช่วยเจ้าหมอนี่เลย พวกเรานั้นเป็นนักปรุงยา แน่นอนว่าการรักษาเพื่อช่วยชีวิตคนนั้นเป็นสิ่งที่เราถนัดที่สุด แต่พลังอันดำมืดเช่นนี้ หากเจ้ายังฝืนที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันจะดึงเจ้าเข้าไปด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ” เสียงของเจ้าหม้อเทพนิรันดร์ลอยมา
“มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกว่าสามารถใช้ยาควบคุมได้หรอกรึ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“แม่นางที่รักของข้า นี่ไม่ใช่คำสาปธรรมดาทั่วไป ข้าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือฆ่าเขาเสีย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะสามารถหาคำภีร์หมื่นคำสาปได้พบหรือไม่ ถึงแม้ต่อให้หาวิธีแก้คำสาปนั้นเจอ ราคาที่ต้องจ่ายให้กับมันก็มิใช่น้อย ๆ เลย”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “นิรันดร์ บอกวิธีแก้แก่ข้าเถอะ ข้านั้นฆ่าเขาไม่ได้หรอก” “ที่จริงแล้วผู้ที่ต้องคำสาปเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงตายไปแล้วอย่างแน่นอน ความเจ็บปวดเช่นนี้มิใช่ว่าใครก็สามารถทนรับมันเอาไว้ได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะสามารถอดทนมาได้ถึงสิบกว่าปี ก็ต้องขอบคุณพลังที่แข็งแกร่งนั้นของเขานะ”
“อื้อ!”
ในตอนที่นางกำลังติดต่ออยู่กับนิรันดร์ที่ได้ใช้วิญญาณทำพันธสัญญากันนั้น ริมฝีปากทั้งบนล่างของมู่เฉียนซีก็ถูกริมฝีปากจิ่วเยี่ยประกบจุมพิตเข้าอย่างรุนแรง
โหดร้าย ป่าเถื่อน ราวกับอดไม่ได้ที่จะกลืนกินมู่เฉียนซีลงไปก็มิปาน
“นิรันดร์…!”
มู่เฉียนซีลนลานเสียแล้ว
“ข้าว่านะที่รักเอ๋ย! ทักษะการจุมพิตของชายผู้นี้แย่มาก แล้วเขาก็ไม่รู้จักทะนุถนอมกันในแบบของชายหญิง เจ้าช่วยเขาไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด ทักษะเช่นนี้ไม่ว่ากับนารีนางไหน หากอยู่กับเขาก็คงจะลำบากใจแน่แล้ว” นิรันดร์กล่าวอย่างดูแคลน “นิรันดร์ ทางที่ดีที่สุดเจ้ารีบบอกวิธีแก่ข้าเร็วเข้า! มิเช่นนั้นพันธสัญญาระหว่างเราเป็นอันจบสิ้น อย่างไรเสียพิษร้ายโบราณในตัวของท่านอาเล็กก็ได้ถูกล้างไปแล้ว”
เป้าหมายของการตามหาหม้อเทพนิรันดร์และทำพันธสัญญากับมันนั้นก็เพื่อที่จะถอนพิษให้แก่ท่านอาเล็กและได้กลายเป็นนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุด แต่ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้สิถึงจะเป็นจุดสำคัญ
หากนิรันดร์ยังคงกล่าวเหลวไหลเช่นนี้ต่อไป นางคงจะได้ปลดพันธสัญญากับเจ้าหม้อปีศาจบ้ากามนี่จริง ๆ
นิรันดร์ร้องอย่างเศร้าโศก “ฮือ! เจ้าช่างไร้ความรู้สึกนัก เมื่อใช้ข้าเสร็จก็โยนทิ้ง”
“อื๊อ!” ในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีถูกจิ่วเยี่ยประกบจุมพิตอีกแล้ว ครานี้เขาจุมพิตนางเสียจนแทบขาดอากาศ ทว่าเขากลับยิ่งเพิ่มความดุดันขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะมู่เฉียนซีนั้นไร้ซึ่งความจดจ่อ นางจวนจะหมดความอดทนแล้วแต่เจ้าหม้อนิรันดร์บ้าบอนี่ก็ยังคงลีลาอยู่
นางนั้นโมโหแทบตาย
นิรันดร์กล่าวขึ้น “มู่เฉียนซีสตรีที่รัก เช่นนั้นเจ้าฟังให้ดีนะ ฤทธิ์ของคำสาปนี้จะทำให้เขากลายเป็นสัตว์ร้ายที่ฆ่าคนทั้งใต้หล้าให้ตายสิ้นได้ ในตอนนี้เขาสามารถสะกดมันเอาไว้ได้อยู่ แต่เมื่อเวลายิ่งนานวันเข้า คำสาปนั่นมันจะไม่อ่อนฤทธิ์ลงไปแต่มันจะกลับแข็งแกร่งขึ้น รอจนเมื่อพลังของเขาไม่สามารถสะกดมันเอาไว้ได้อยู่ เมื่อนั้นเขาก็จะกลายเป็นสัตว์ร้ายโดยสมบูรณ์ ด้วยพลังความสามารถของเขา ทั้งทวีปเซี่ยโจว หรือแม้กระทั่งทั้งโลกานี้ ก็คงจะไม่เหลือใครรอดแม้สักคน”
“โอ้! ไม่เพียงแต่ไม่เหลือคนรอดเท่านั้นนะ เกรงว่าแม้แต่สัตว์ก็ไม่เหลือรอด”
มู่เฉียนซีสูดลมหายใจอันเย็นวาบเข้าไปลึก ๆ นางรู้ว่าคำสาปของจิ่วเยี่ยน่ากลัว แต่นางนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะน่ากลัวได้ถึงขั้นนี้
“เจ้าจงคิดให้ดี หากไม่จัดการกับเขาและรอจนถึงตอนที่เขาไม่สามารถสะกดคำสาปนี้เอาไว้ได้แล้ว ญาติของเจ้า มิตรสหายของเจ้า หรือแม้แต่ตัวของเจ้าเอง ก็ล้วนแต่จะกลายเป็นเหยื่ออยู่ใต้กระบี่ของเขาที่โชกชุ่มไปด้วยโลหิตแดงฉาน”
“การอดทนต่อความทรมานที่โหดร้ายและอนาคตอันแสนสิ้นหวัง เจ้าหมอนี่กลับสามารถยืนหยัดมาได้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์ใจมากแล้ว”
มู่เฉียนซีโอบคอของจิ่วเยี่ยเอาไว้ นางไม่ได้กล่าวถกเถียงอะไรกับเจ้าหม้อเทพนิรันดร์ถึงหัวข้อนั้นอีกต่อไป แต่นางกลับให้ความร่วมมือกับจุมพิตนี้ของจิ่วเยี่ย
เมื่อรู้สึกถึงการตอบสนองของมู่เฉียนซี จุมพิตของจิ่วเยี่ยก็ได้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา…
.