“ข้าว่านะถิงเอ๋อร์น้อย ท่านสุ่ยจิงอิ๋งนั้นไม่เคยได้ลงนามพันธสัญญาอันใดกับเยี่ยของพวกเรามาแต่แรก” เสียงจื่อโยวที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาดังขึ้น เงาร่างสีเขียวเข้มเดินเข้าไปในห้อง จื่อโยวที่ถูกจิ่วเยี่ยซัดเข้าไปเสียอย่างหนัก เวลานี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งชนิดที่ว่ากายอาบเลือด
“หึ! ไม่ได้ทำพันธสัญญา นั่นก็เป็นเพราะเขาบังคับให้พี่สาวข้าทำพันธสัญญา แต่พี่สาวข้าไม่ตอบตกลง ดังนั้นแล้วเขาจึงได้ทำร้ายจนพี่สาวข้ามีสภาพเช่นนี้”
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ได้รู้เหตุผลที่ว่าเหตุใดอาถิงถึงได้ร้องตะโกนจะฆ่าฟันจิ่วเยี่ยเมื่อครานั้น เหตุผลก็เพราะเช่นนี้นี่เอง ทว่านั่นมันดูไม่เหมือนเอาเสียเลย!
“ฮ่า ๆ ๆ ถิงเอ๋อร์น้อย จินตนาการของเจ้านั้นช่างล้ำเลิศนัก” จื่อโยวยิ้มตาหยีมองมาที่อาถิง อาถิงขนลุกเป็นหนังไก่ไปทั้งร่าง เดิมทีเจ้าจิ้งจอกจื่อโยวนั่นก็น่าสะอิดสะเอียนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาทำเช่นนี้อีก
“เจ้าบ้าโรคจิต อย่าได้เรียกเช่นนั้น มันน่าขยะแขยงจะตาย” อาถิงกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเคือง
จื่อโยวกล่าว “เรื่องนั้นให้ข้าเป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า เยี่ยเจ้าว่าเช่นไร ?”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ในอ้อมอก เขากล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “อย่าไร้สาระ!”
“เยี่ยกับท่านสุ่ยจิงอิ๋งได้พบกันด้วยความบังเอิญจากโชคชะตา ท่านสุ่ยจิงอิ๋งต้องการใช้พลังของเยี่ยเพื่อหาตัวเจ้าศาลาเรือนรางเก้าชั้น และความสามารถของผู้พิทักษ์อย่างนิรันดร์เจ้านั้นก็รู้ดี เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงได้ร่วมมือกัน” “สงครามนรก นายท่านเชื้อพระวงศ์ทั้งหกร่วมมือกันเพื่อสู้กับนายท่านของข้า แต่ทว่าพวกนั้นก็ยังสู้จิ่วเยี่ยไม่ได้เช่นเดิม เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงใช้เคล็ดวิชาลับเผาพลาญวิญญาณของตนเพื่อลงมือกับจิ่วเยี่ย และท่านสุ่ยจิงอิ๋งก็ได้รับการโจมตีนั้นเอาไว้”
“ดอกบัวหงเก้ากลีบ ดอกของมันบานสะพรั่งออกมาเป็นเก้ากลีบ แต่ท้ายที่สุดมันกลับแตกสลาย ทั้งแปดกลีบนั้นล่องลอยไปในอากาศโดยไม่รู้ว่าพวกมันจะไปตกลง ณ ที่ใด ทว่ามีหนึ่งกลีบที่อยู่ในมือของเยี่ย”
“จะอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายนั้นยังไม่ยอมเลิกรา จากนั้นก็ได้ใช้คำสาปที่เลวร้ายที่สุดกับเยี่ย”
“นายท่านเชื้อพระวงศ์ทั้งหกนั้นก็เจ็บเจียนตาย ดังนั้นแล้วสงครามนรกจึงได้สงบลงเป็นการชั่วคราว และเยี่ยนั้นต้องพิษของคำสาปจึงต้องพักรักษาตัว เช่นนั้นแล้วจิ่วเยี่ยจึงได้ใช้สถานะตัวตนของซวนหยวนจิ่วเยี่ยซึ่งเป็นองค์ชายที่เก้าแห่งราชวงศ์ซวนหยวนแห่งแคว้นจื่อเยี่ยที่เกือบถูกเผาตายและทิ้งสถานะนั้นเอาไว้ที่ทวีปเซี่ยโจว รอให้เจ้าปรากฏตัวขึ้น” เมื่อได้ยินสิ่งที่จื่อโยวกล่าวมาทั้งหมดนี้ มู่เฉียนซีก็ได้รู้เสียทีว่าเหตุใดในตอนนั้นตนเองถึงได้โชคร้ายเช่นนั้น ทันทีที่ทำพันธสัญญากับศาลานิรันดร์ นางก็ถูกจับตามอง ที่แท้จิ่วเยี่ยเฝ้าคอยมันมาเป็นเวลาสิบกว่าปีอย่างไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงเลย
ในตอนแรกที่เขาให้อาถิงออกมาพบเขานั้นมิใช่เพราะเพื่อที่จะแย่งชิงศาลาเรือนรางเก้าชั้น แต่พบเพื่อที่อยากจะถามเรื่องบางอย่างกับอาถิง
และเหตุที่เขามีจิตสังหารอย่างพลุ่งพล่านต่อนาง เกรงว่าคงเป็นเพราะต้องการทดสอบนางว่าเหมาะสมที่จะกลายเป็นนายของศาลาเรือนรางเก้าชั้นหรือไม่กระมัง!
หลังจากนั้นก็ได้ดูแลนางต่าง ๆ นานา แม้กระทั่งอาวุธระดับตำนานอย่างแหวนมังกรเทพวารีก็ยังมอบให้แก่นาง คาดว่าคงกลัวพลังของนางนั้นอ่อนแอเกินไปและเป็นภาระแก่อาถิง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเงื่อนไขในการร่วมมือของดอกบัวหงเก้ากลีบในตอนนั้น
แต่ทว่า… การดูแลนางเพราะอาถิงนั้น มันได้เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรกัน ? ตั้งแต่ตอนที่คำสาปของเขาสำแดงฤทธิ์ในครั้งนั้นและร้องเรียกชื่อของนางออกมา หรือว่าก่อนหน้านั้นอีก…
มู่เฉียนซีหันกลับไปมองจิ่วเยี่ย นางนั้นเดาไม่ออกเลยจริง ๆ
จิ่วเยี่ยก้มหน้าลงมองสตรีที่อยู่ในอ้อมกอด เขายิ่งกอดนางแน่นยิ่งขึ้นไปอีก หวงจิ่วเยี่ยนั้นมิใช่คนเนรคุณ สุ่ยจิงอิ๋งช่วยเขาไว้ในศึกใหญ่ครานั้น แน่นอนว่าเขาจะต้องทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้ คือหาศาลาเรือนรางเก้าชั้นให้พบ และต้องไม่ให้เขาตาย
เช่นนั้นแล้วมู่เฉียนซีซึ่งเป็นผู้ที่มีพันธสัญญาด้วยชีวิตกับเขาก็จะตายไม่ได้ เขาจึงให้ความสำคัญเน้นหนักไปที่สตรีที่ได้พบกันโดยบังเอิญผู้นี้ แต่แล้ว มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละขั้น นางยิ่งทำให้เขานับวันยิ่งมิอาจละสายตา และมันไม่ได้เป็นเพราะศาลาเรือนรางเก้าชั้นอีกต่อไป แต่เป็นเพราะตัวของนางเอง
เมื่อเห็นว่านางยิ้มให้กับชายอื่น ความรู้สึกที่อยากจะให้ชายผู้นั้นหายสาบสูญไปจะก่อตัวขึ้นใจใจเขาทันที
เมื่อเห็นว่ามีใครทำร้ายนาง เขาจะทั้งโกรธทั้งเจ็บปวดหัวใจ
เขาร้องเรียกชื่อของนางออกมา อยากจะอยู่ใกล้ชิดนางมากขึ้น และยิ่งควบคุมตนไม่ได้เพราะนับวันยิ่งรักมักชอบในทุกอย่างที่เป็นนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
สายตาของทั้งสองนั้นจ้องมองกัน ในตอนนี้ มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนหัวใจของตนเองจะจมลงไป นี่เป็นจุดที่อันตรายร้ายแรงจุดหนึ่ง ในตอนนี้เอง ก็ได้มีเสียงที่ราวกับว่ารู้สึกสงสัยเสียงหนึ่งลอยมา
“ไม่ถูกต้อง! มันไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ผู้ที่ถูกเรียกว่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหกแห่งแดนนรก เหตุใดถึงทำให้พี่สาวข้าได้รับบาดเจ็บถึงขั้นนั้นได้ หากพี่สาวข้าต้องการที่จะปกป้องใครสักคน ในใต้หล้ายังมีใครที่สามารถทำอะไรได้อีกงั้นรึ ?”
สุ่ยจิงอิ๋งมองอาถิงก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าเพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมา ไม่มีผู้ทำพันธสัญญาช่วยข้าฟื้นฟูพลัง เช่นนั้นจึง…”
“ท่านพี่ ท่านกับข้าเข้ากันได้ดี ข้าไม่เชื่อคําพูดนี้แน่”
จื่อโยวกล่าวขึ้น “เจ้าคิดว่ามีแค่พวกไร้ค่าหกคนนั่นหรือ ? ไม่ว่าพวกหกคนนั้นจะทำเช่นไรก็อย่าได้คิดว่าจะทำอะไรเยี่ยได้ เจ้าคิดว่าคำสาปบนตัวเยี่ย เจ้าหกคนนั้นสามารถทำมันได้รึ ?”
เปลือกตาของอาถิงพลันหรี่ลง “เจ้าจะบอกว่า…” อาถิงถลึงตาอย่างดุดันใส่จิ่วเยี่ย “หึ! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้า เจ้าบ้า!”
อาถิงยื่นมือออกมา “อ้อ แล้วยังมีอีกชิ้นส่วนหนึ่ง นั่นก็ต้องมอบให้กับหญิงโง่มู่เฉียนซีกระมัง! เจ้าคงไม่คิดที่จะเก็บมันเอาไว้เอง ข้านั้นไม่วางใจที่จะให้ส่วนหนึ่งของพี่สาวข้าไปอยู่ในมือของชายผู้นี้”
“ไม่ให้!” จิ่วเยี่ยตอกกลับไปด้วยเสียงเย็นชาและโหดเหี้ยม
อาถิง “อะไรของเจ้า ? ในเมื่อพี่สาวข้ามิใช่ผู้ทำพันธสัญญาของเจ้า เจ้าจะเก็บเอาไว้กลีบหนึ่งทำไมกันเล่า ?”
“มีหนึ่งกลีบเพื่อเอาไว้รับรู้ เยี่ยจึงจะสามารถตามหาที่เหลืออยู่ได้ มิเช่นนั้นแล้วเยี่ยคงอดไม่ได้ที่จะมอบกลีบทั้งหมดให้แก่สาวน้อยคนงามผู้นี้ กลีบแห่งผู้ปกป้องนิรันดร์อยู่ในมือของสาวน้อยมากเท่าไร สาวน้อยก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นมิใช่หรือ ?” อาถิงก้มหน้าไปครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้ามองสุ่ยจิงอิ๋งอย่างซับซ้อน มองพี่สาวที่แข็งแกร่งของเขาที่กลายเป็นเช่นนี้ เขาเองก็ปวดใจนัก
อาถิงกล่าวขึ้น “ข้าจะไปนอนพักผ่อนแล้ว ข้าอยากที่จะแข็งแกร่งมากกว่านี้ จากนี้ไปให้ข้าคอยปกป้องพี่สาวข้าก็ได้ ข้าจะต้องหาอีกเจ็ดกลีบที่เหลือให้พบให้จงได้”
สุ่ยจิงอิ๋งยิ้ม กล่าวขึ้น “อื้ม! อาถิง เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”
สองข้างแก้มของอาถิงแดงเรื่อขึ้นมา “พี่พูดอะไรกัน ? ข้านั้นเป็นผู้ใหญ่มาโดยตลอดอยู่แล้ว” กล่าวจบ อาถิงกลายเป็นแสงสีเขียวอ่อน และกลับไปนอนหลับอยู่ในมิติพันธสัญญา สุ่ยจิงอิ๋งหันมองมู่เฉียนซี “ซีเอ๋อร์ จากนี้ไปเจ้าก็สามารถเรียกหาข้าสุ่ยจิงอิ๋งได้แล้ว พลังของข้าเองก็ไม่เพียงพอแล้วเช่นกัน ข้าจะต้องตกอยู่ในอาการหลับใหล แต่ด้วยการที่เป็นผู้ทำพันธสัญญากับเจ้า ทันทีที่เจ้ามีอันตราย ข้าจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย”
“ตกลง” มู่เฉียนซีพยักหน้า
“สิ่งที่ข้าควรจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนโลกของเจ้าสองคนแล้วล่ะนะ” จื่อโยวกล่าวออกมาเช่นนี้ จากนั้นเขาก็หายตัวไป
เวลานี้ทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่จิ่วเยี่ยและมู่เฉียนซีสองคน ทั้งสองจ้องตากัน จิ่วเยี่ยนั้นก็เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ในตอนนี้บรรยากาศจึงเงียบลงในทันใด
“จิ่วเยี่ย ผู้พิทักษ์นิรันดร์นั่น เจ้าให้ข้าจริง ๆ หรือ ?” “อืม ข้านั้นไม่เคยให้ใครมาปกป้อง ข้ามีแต่จะปกป้องคนที่ข้าสนใจเท่านั้น คนผู้นั้นก็คือซี”
ร่างของทั้งสองนั้นขยับเข้ามาใกล้ชิดกัน มู่เฉียนซีรู้สึกว่าร่างกายของจิ่วเยี่ยร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าจะหาชิ้นส่วนที่เหลือของผู้พิทักษ์นิรันดร์จนครบ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ข้าจะต้องทำให้นางฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้ถึงขั้นสูงสุด เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้คำสาปบนร่างข้าทำให้ข้าเสียการควบคุมตนเอง ข้าเองก็ไม่อาจที่จะทำร้ายเจ้าที่อยู่ในการปกป้องของผู้พิทักษ์นิรันดร์ได้” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างมุ่งมั่น
ตอนนั้นเขาทำไปเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และคงไม่ทำถึงขนาดไม่สนอะไรทั้งสิ้นเพื่อที่จะตามหามัน
และตอนนี้ เพื่อที่จะปกป้องนาง เขาจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาชิ้นส่วนของผู้พิทักษ์นิรันดร์ให้ครบ
ถ้าหากจะกล่าวว่า ‘หากทั้งโลกใบนี้ไม่มีใครที่จะมีสติดีเหลืออยู่ที่จะสามารถปกป้องซีได้แล้ว’ เช่นนั้นก็ยังมีผู้พิทักษ์นิรันดร์ที่สามารถปกป้องซีเอาไว้ได้
.