เมื่อคำสาปในร่างแผลงฤทธิ์ออกมาอย่างสมบูรณ์ คนที่อันตรายที่สุดมิใช่ศัตรูของเขา ทว่า เป็นคนที่เขาใส่ใจมากที่สุดนั่นเอง
มู่เฉียนซีขยับพิงกายจิ่วเยี่ย และกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าไม่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้ บางทีไม่แน่อาจจะมีวิธีล้างคำสาปก็ได้”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงอันตราย ดังนั้นจึงต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม การปกป้องเจ้านายให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง สิ่งเดียวที่ข้าวางใจนั่นก็คือผู้พิทักษ์นิรันดร์ ดอกบัวหงส์เก้ากลีบ”
“สุ่ยจิงอิ๋งจักต้องสมบูรณ์แบบ ถึงอย่างไรเสียตอนนี้นางก็เป็นพันธสัญญาของข้า แต่เรื่องการหาวิธีล้างคำสาปก็มิอาจล้มเลิกได้ นิรันดร์บอกไว้แล้วว่าหากหาคัมภีร์หมื่นคำสาปเจอก็อาจจะหาทางออกในเรื่องนี้ได้”
มู่เฉียนซีจับมือจิ่วเยี่ย ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เราจะพยายามไปด้วยกัน! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด”
จิ่วเยี่ยมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง “พยายามไปด้วยกัน!”
แต่ถึงกระนั้น ก็ต้องรีบทำให้สุ่ยจิงอิ๋งกลับมาฟื้นตัวได้ให้เร็วที่สุด กันไว้ดีกว่าแก้ บนโลกนี้สิ่งที่เขาไม่อยากทำร้ายที่สุด ก็คือนาง
คำสาปของจิ่วเยี่ยยังมิได้ถูกยับยั้งอย่างสมบูรณ์ แต่ภายใต้ความพยายามของมู่เฉียนซีและนิรันดร์ การใช้ประโยชน์จากน้ำอมฤตก็ยังพอยับยั้งไว้ได้ชั่วคราว
“สูตรยาหยินหยางอนันต์และวิธีการปรุงยาก็ได้บอกเจ้าไปแล้ว ข้าเสียพลังไปมากนัก ต้องเข้าสู่นิทราอีกครา เจ้าก็พยายามต่อไปหล่ะ! หวังว่าหลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมาอีกครา เจ้าจะเปลี่ยนเป็นผู้วิปริตมากกว่าเดิมนะ” นิรันดร์กล่าว
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
ทางด้านของฮ่องเต้เหวินเต๋อแห่งแคว้นเฉียนเซี่ย บัดนี้มิได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นหลับใหลอีกต่อไป อีกทั้งยังทรงงานภายในแคว้นอย่างเข้มงวดและเฉียบขาด ทว่า เมื่อทรงมองดูโอรสอันเป็นที่รักของตนเองถูกแช่แข็งเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกโศกเศร้าอาดูรเป็นอย่างยิ่ง
ร่องรอยความโศกเศร้าเปล่งประกายขึ้นภายในดวงตาของน่าหลานอวี้ “ฝ่าบาท นี่คือสิ่งที่เยี่ยเลือก โปรดฝ่าบาทอย่าได้กล่าวโทษโกรธผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เหวินเต๋อรักและทะนุถนอมองค์รัชทายาทเซี่ยเสมอมา เซี่ยตายเพราะซีเอ๋อร์ เขากลัวว่า……
ฮ่องเต้เหวินเต๋อตรัสว่า “เราเป็นคนที่ไร้เหตุผลอย่างนั้นหรือ ? ลูกของเรา เราย่อมรู้ดีและเข้าใจเขาเป็นอย่างดี ยอมตายเพื่อคนที่เขารักเขาชอบก็เป็นสิ่งที่เขาสามารถทำให้ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าก่อนตายเขาได้พูดความในใจออกไปหรือเปล่า”
น่าหลานอวี้กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เกรงว่าเซี่ยเขาไม่ได้พูดอะไร! เขาไม่ยอมเผยความในใจที่ทำให้ซีเอ๋อร์ลำบากใจเป็นแน่ เพราะหากว่าเป็นกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่ทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เหวินเต๋อกลอกตามองบนและตรัสว่า “เจ้าสองคนสมกับที่เป็นสหายกันจริง ๆ!”
ทันใดนั้นเอง มีขุนนางเข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นักปรุงยามู่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ นักปรุงยามู่มาแล้ว!”
ฮ่องเต้เหวินเต๋อตรัส “รีบพาเข้ามา เร็วเข้า!”
ฮ่องเต้เหวินเต๋อมองดูสาวน้อยชุดม่วงผู้งดงามที่เดินเข้ามา เขารีบชิงตรัสขึ้นก่อนว่า “สาวน้อย เจ้าไม่ต้องกล่าวคำขอโทษอะไรทั้งสิ้น”
มู่เฉียนซีสะดุ้งเล็กน้อยที่ฮ่องเต้เหวินเต๋อมิได้มีท่าทีที่จะกล่าวโทษนางเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้เหวินเต๋อตรัสว่า “ในฐานะผู้เป็นพ่อ การที่สูญเสียบุตรชายผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าดวงใจนั้น เป็นเรื่องที่โศกเศร้าใจมาก แต่เราเคารพในสิ่งที่เขาเลือก”
มู่เฉียนซีกล่าว “เซี่ยยังมีทางรอด วิญญาณของเขายังมิได้สลายหายไป ตราบใดที่หาสมุนไพรวิญญาณได้ครบ หม่อมฉันจะตั้งใจปรุงยาหยินหยางอนันต์อย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน หม่อมฉันจะทำให้เซี่ยฟื้นคืนชีพขึ้นมาให้ได้”
ฮ่องเต้เหวินเต๋อตรัส “เจ้ากล่าวถึงเพียงนี้ เราก็วางใจ อ้าวเซี่ยจะต้องฟื้นขึ้นมา”
มู่เฉียนซี “ฝ่าบาท เช่นนั้นหลังจากนี้คงต้องปรับปรุงเซี่ยโจวหน่อยแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้เหวินเต๋อตรัสว่า “ไม่รู้ว่า สาวน้อยมู่มีความคิดเห็นที่เหนือชั้นอย่างไรบ้าง ?”
“ประการแรก จะต้องแก้ไขสมญานามของเชียนอ้าวเซี่ยก่อนเพคะ ถึงอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็มิอาจปกปิดเป็นความลับได้แล้ว”
ไม่นานนัก ข่าวลืออันหนาหูของเชียนอ้าวเซี่ยก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งแคว้นเฉียนเซี่ย องค์รัชทายาทเซี่ยแห่งแคว้นเฉียนเซี่ยมิใช่สวะไร้ประโยชน์
อายุยังน้อย แต่กลับฝึกฝนพลังวิญญาณได้ถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า อีกทั้งยังได้สืบทอดมรดกของจักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ และได้กลายเป็นยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียวในเซี่ยโจวในรอบหนึ่งศตวรรษอีกด้วย
เขามิได้เป็นเพียงแค่อัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานในเซี่ยโจวเท่านั้น แม้กระทั่งจักรพรรดิเซี่ยในราชวงศ์ใต้พิภพนั้น ก็คือเขา ช่างเป็นคนในตำนานอย่างแท้จริง
ทว่า ช่างน่าเสียดายยิ่ง คนในตำนานเช่นนี้กลับได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสในการสู้รบกับสำนักอวิ๋นเยียนจนหลับใหลเข้าสู้ห้วงนิทราไป ราษฎรทั่วทั้งแคว้นต่างก็โศกเศร้าเสียใจ หวังว่าองค์รัชทายาทเซี่ยจะฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน
สำนักอวิ๋นเยียนได้ถูกทำลายล้าง และเซี่ยโจวมีแคว้นเฉียนเซี่ยเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นแคว้นใหญ่ เพราะว่ามีรากฐานของราชวงศ์ใต้พิภพของเชียนอ้าวเซี่ยอยู่ และได้กลายเป็นกองกำลังใหญ่ระดับหนึ่งในเซี่ยโจว
หลังจากที่เรื่องของเชียนอ้าวเซี่ยสงบลงแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้นำร่างของเชียนอ้าวเซี่ยมาที่ทุ่งน้ำแข็งแห่งแคว้นอิ๋นเหยียน
จิ่วเยี่ยได้อยู่เคียงข้างมู่เฉียนซีตลอดเวลา เมื่อมองดูศพที่นอนอยู่อย่างงดงามนั้นแล้ว เขาก็มีความคิดจะทำให้มันกลายเป็นโครงกระดูกขาวนับครั้งไม่ถ้วน
กลิ่นอายของจิ่วเยี่ยนั้นทำให้สัตว์วิญญาณในทุ่งน้ำแข็งมิกล้าย่างกรายเข้ามายั่วยุมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีจึงนำร่างเชียนอ้าวเซี่ยมาวางไว้ในสุสานของจักรพรรดิปิงเซี่ยหลิงตี้ได้อย่างราบรื่น
หลังจากที่ได้วางยาพิษให้งูเหลือมหิมะเฝ้าปกป้องแล้ว จึงแน่ใจว่าไม่มีใครสามารถทำลายร่างของเชียนอ้าวเซี่ยได้
หลังจากที่จัดการกับร่างของเชียนอ้าวเซี่ยเสร็จ มู่เฉียนซีก็ได้บอกลาน่าหลานอวี้ และรีบเดินทางไปยังแคว้นหนานเถิง
ยังมีผู้ร่วมทางมาด้วย นั่นก็คือชิวหลิงและหลินเอ๋อร์ มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “กลับหนานเถิงครานี้ ฮูหยินจะจัดการยังไงต่อ ?”
ชิวหลิงกล่าว “ตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะเขา เผ่าเทพหนานอู้ก็คงไม่ถูกทำลายล้าง หนี้ที่ควรจะทวงคืน ก็ต้องทวงคืนกลับมาให้ได้ จะไม่ยอมปรานีอย่างเด็ดขาด”
“รอหลังจากที่ข้าบูชาเซ่นไหว้เผ่าเทพหนานอู้เสร็จสิ้น ข้าก็จะพาหลินเอ๋อร์ไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ จะสอนและฝึกฝนให้กับเขา”
มู่เฉียนซีกล่าว “รีบจบเกมรบให้เร็ว ข้าจะให้องครักษ์เงาของตระกูลมู่ไปช่วย”
ในยามวิกาลของวันเดียวกัน นับว่าเป็นฝันร้ายของฮ่องเต้ผู้เนรคุณแห่งแคว้นหนานเถิง!
“ชิวเอ๋อร์ อย่า ข้ารักเจ้า ตอนนั้นข้าโดนบีบบังคับ ข้าจนปัญญาจริง ๆ ข้า……”
อ๊าก!
ภายในชั่วครู่หนึ่ง ห้องบรรทมของฮ่องเต้หนานเถิงก็แปดเปื้อนไปด้วยเลือด ทว่า เขายังมิได้สิ้นพระชนม์ชีพ เพียงแต่เป็นอัมพาตมิอาจเดินเหินได้ และได้กลายเป็นสวะไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง
ในยามรัตติกาลนี้ แคว้นหนานเถิงจะไม่มั่นคงอีกต่อไป การแย่งชิงบัลลังก์จักต้องน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับชิวหลิงและหลินเอ๋อร์แล้ว
มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยเข้าไปในเทือกเขาหนานอู้ มีจิ่วเยี่ยไปด้วยเช่นนี้ เทือกเขาหนานอู้ที่ร่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยภยันตรายนี้ สำหรับเขาแล้วมิได้อันตรายเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ก้าวผ่านหมอกอันหนาทึบ มู่เฉียนซีก็ย่างกรายมาถึงอาณาเขตเผ่าเทพหนานอู้ได้อย่างราบรื่น
เมื่อได้เห็นเผ่าเทพหนานอู้ที่รกร้างเช่นนี้ ชิวหลิงก็รู้สึกโศกเศร้าอาดูรเป็นอย่างยิ่ง
นางพาหลินเอ๋อร์ไปกราบไหว้บรรพบุรุษ และบนแท่นบูชา มู่เฉียนซีก็เอากุญแจหอเทพออกมา
“หอเทพ ออกมาเถอะ! เจ้าเป็นอิสระแล้ว!”
ตูม!
มีการสั่นสะเทือนขึ้นในบริเวณรอบ ๆ จากนั้นหอคอยเจ็ดชั้นสีขาวอร่ามก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี
หอเทพกล่าวว่า “เจ้าทำสำเร็จแล้ว เจ้าทำสำเร็จแล้วจริง ๆ พระเจ้า! ข้าสุขใจยิ่งนัก!”
หอเทพได้กลืนกุญแจนั้นเข้าไป ไม่นานนักมันก็ได้ทำพันธสัญญากับมู่เฉียนซีโดยธรรมชาติ
เพียงแต่ว่า……
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดพลังของเจ้าถึงได้ลดลง เจ้าทำภารกิจสำเร็จ ข้าก็ไม่ได้เรียกเอาพลังกลับคืนมา มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เจ้าคิดว่าการได้มาซึ่งกุญแจของเจ้ามันง่ายดายมากนักรึ ? ความพยายามสูญเปล่าไปมาก พลังถดถอยลงถึงสามขั้น ผลลัพธ์นี้ก็ดีมากแล้ว” หลังจากที่เก็บหอเทพเสร็จสิ้นแล้ว มู่เฉียนซีก็หันไปหาจิ่วเยี่ย และกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ข้าจะกลับจวนแล้ว เจ้าล่ะ ?”