ณ บนผิวทะเลแนกว้างใหญ่ เงาร่างสีเขียวร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วประหนึ่งดั่งขี่คลื่นลมเข้ามา
สุ่ยฮวานำหมึกที่เหมือนกับผ้าไหมของเขามาทำให้เปียกชุ่ม เอวที่บางของเขานั้นเหมือนกับเครื่องจักรสานก็มิปาน จึงทำให้สตรีใดที่ได้ยลจำต้องเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาอยู่บ้าง
น่าเสียดายที่หน้าอกของเขานั้นมิได้มีเนื้อนุ่มพองนูนขึ้นมา เพราะเขานั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง
“จื่อโยว” เมื่อเห็นผู้ที่มาถึง มู่เฉียนซีก็มีความตกตะลึงเจืออยู่บ้างทางสีหน้า
หน้าผากขาวผ่องของจื่อโยวมีหยดเหงื่อร้อนผ่าวไหลออกมา นี่เกรงว่าคงเป็นเพราะผลจากการที่รีบเดินทางมาอย่างยากลำบากกระมัง เขามาลงที่บนดาดฟ้าอย่างเบา ๆ ราวกับใบไม้ร่วงหล่น จากนั้นก็ได้เริ่มเปิดปากบ่นออกมา
“ข้าว่านะเยี่ยเอ๋ย! เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่กับสาวน้อยคนงามผู้นี้ด้วยความรักกันสักระยะหนึ่งค่อยออกเดินทางเล่า ?! เจ้าให้ข้าไปปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จอย่างรีบร้อน เช่นนี้จะทำให้ข้าเหนื่อยตายเอาได้”
มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ย นางถามขึ้น “เจ้าให้จื่อโยวไปทำอะไรหรือจิ่วเยี่ย ?”
“มันก็คือเจ้านี่” จื่อโยวรีบหยิบเอาแผนที่แผ่นหนึ่งออกมาจากกลางอากาศและส่งมันให้กับมู่เฉียนซี “สาวน้อย เพื่อที่ข้าจะเอาของสิ่งนี้มาให้เจ้าได้ทันเวลา อีกเพียงนิดเดียวข้าก็จะวิ่งเสียจนขาหักแล้วนะ” จื่อโยวนั้นโวยวายเป็นอย่างยิ่ง “ข้าให้เจ้าวิ่งเสียจนขาหัก ก็ยังดีกว่าฝ่าฝืนคำสั่งสหายที่เปรียบดั่งนายท่านของเจ้าแล้วถูกฟาดขาหักเป็นสามท่อนมิใช่หรือ ?” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเรียบ นางเก็บแผนที่นั้นไปอย่างไม่เกรงใจ
มุมปากของจื่อโยวแสยะยิ้มออกมา นี่นาง… เขานั้นรู้สึกมาโดยตลอดว่าเยี่ยเป็นคนโหดร้าย เป็นคนไม่เห็นใจลูกสมุนของตนเอง แต่นึกไม่ถึงว่านายหญิงในอนาคตของเขานั้นจะใจดำเสียยิ่งกว่าอีก
แผนที่ที่จื่อโยวมอบให้มู่เฉียนซีเป็นแผนที่ของทั้งแดนใต้ บัดนี้เรือได้มุ่งหน้าออกทะเลไปแล้ว จิ่วเยี่ยอยู่ใกล้ชิดกับมู่เฉียนซีที่นอนอยู่บนแคร่นิ่ม ๆ และได้ศึกษาแผนที่นั้นเป็นเพื่อนนาง
มู่เฉียนซีนั้นดูแผนที่ไป พลางฟังจิ่วเยี่ยผู้ที่ไม่ค่อยจะพูดสักเท่าไรอธิบายถึงในแผนที่นั้นไป “โลกแห่งนี้ถูกเรียกว่า โลกสี่ทิศ โลกสี่ทิศมีทั้งหมดสี่เขตแดนใหญ่คือแดนใต้ แดนเหนือ แดนตะวันออก และแดนตะวันตก …ในแดนใต้นั้นมีทวีปทั้งหมดเจ็ดทวีปคือเซี่ยโจว เสียโจว อวิ๋นโจว อวี่โจว อวี้โจว เหลยโจว แล้วก็เหยียนโจว ในบรรดาทวีปเล่านี้ ทวีปเซี่ยโจวนั้นทั้งอ่อนแอทั้งธุรกันดารที่สุด และเป็นเพียงทวีปเดียวในทวีปทั้งเจ็ดที่ไม่มีมิติส่งตัวระยะไกล หากคิดที่จะไปยังทวีปอื่นซีจะต้องเดินทางออกจากเซี่ยโจวทางทะเล”
จิ่วเยี่ยนั้นเป็นอาจารย์ผู้อธิบายได้ดีที่สุด เขานั้นอธิบายออกมาได้อย่างชัดเจนเข้าใจง่าย และยิ่งเรื่องของเสียงที่น่าฟังของเขานั้นแล้วยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง นางฟังเพลินเลยจริง ๆ!
เซี่ยโจวนั้นเล็กยิ่งนัก อีกทั้งยังได้รับข่าวสารอย่างปิดกั้น แต่ทว่าเหตุใดหนอ เขาถึงได้รู้ไปหมดเช่นนี้ ? มู่เฉียนซีหยิบเอาแผนที่แผ่นหนึ่งออกมาแล้วกล่าวขึ้น “นี่เป็นแผนที่เดินเรือจากทวีปเซี่ยโจวไปยังทวีปเสียโจว ทั้งหมดนั้นมีเส้นทางเดินเรืออยู่สามเส้นด้วยกัน”
แผนที่ที่จื่อโยวได้หามาอย่างยากลำบากนั้น แน่นอนว่ามันยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้น “เส้นทางเดินเรือเส้นที่หนึ่งเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในรอบหมื่นปีมานี้ ทว่าเส้นทางนี้มันอ้อมไปไกลถึงขนาดต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะไปถึงทวีปเสียโจว”
“เส้นทางที่สองนั้นจัดว่าอันตรายขั้นธรรมดา เส้นทางนี้ใช้เวลาราวสามเดือน”
ถึงแม้ว่าจะเป็นอันตรายระดับธรรมดา แต่มันก็ถึงแก่ชีวิตได้ คิดที่จะผ่านผืนทะเลแห่งนี้ไปได้มิใช่เรื่องง่าย “ส่วนเส้นทางที่สามนั้นใกล้ที่สุด ทว่าก็อันตรายที่สุดเช่นกัน ด้วยเพราะที่กลางเส้นทางนี้มีเกาะสิ้นวิญญาณขวางอยู่ มันเป็นที่คุมขังผู้ที่โหดร้ายและน่าสะอิดสะเอียนอย่างมากของทวีปเสียโจว”
มู่เฉียนซี “อืม ในเมื่อถูกคุมขังเอาไว้ พวกนั้นก็ไม่สามรถออกจากเกาะได้ ก็คงจะมารบกวนผู้ผ่านทางมิได้หรอกกระมัง”
“ในน่านน้ำแห่งนั้น ภายในรัศมีร้อยลี้ล้วนแต่เป็นกรงขังของพวกนั้น ทันทีที่ออกจากเขตแดนนั้น ระเบิดที่เอาไว้คุมขังที่ติดอยู่กับร่างของพวกเขาจะระเบิด แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องตายอย่างมิต้องสงสัย คิดที่จะผ่านเส้นทางนี้ไปในรัศมีร้อยลี้ ไม่มีทางที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้” จิ่วเยี่ยกล่าวตอบ
“ซี สิ่งที่เจ้าเลือกคืออะไรหรือ ?” เขากล่าวถามขึ้น
“เส้นทางที่สามใช้ระยะเวลาเดินทางนานเท่าไรรึ ?” “หนึ่งเดือน”
ฮืมมมม… ระยะเวลานี้มันสั้นดีจริง ๆ แน่นอนว่าช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกสนใจ “เอาล่ะ ข้าเลือกเส้นทางที่สาม”
“ได้!” จิ่วเยี่ยกำมือนางเอาไว้แน่น
“ระหว่างที่รีบเดินทางนั้นก็มิอาจที่จะผ่อนปรนการระมัดระวังลงได้ เราจะต้องรีบฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งที่ได้ลดถอยหลังลงไปอีกแล้วค่อยว่ากันอีกที” มู่เฉียนซีกล่าว นางนั้นได้กินยาฟ้าดินซวนหวงเข้าไปสามเม็ด พลังความสามารถของนางจึงลดระดับลงไปสามขั้น
พลังของนางในเวลานี้เป็นเพียงพลังของราชาแห่งภูตระดับหกเท่านั้น “อื้อ!” มู่เฉียนซีฝึกฝนอย่างกระตือรือร้น จิ่วเยี่ยเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าในทุกทิศนั้นจะมีเขาคอยเขาปกป้องอยู่และไม่มีผู้ใดสามารถทำอะไรนางได้แม้แต่เพียงปลายเส้นผม แต่นางจะต้องไปให้ถึงขั้นที่มีพลังขั้นสูงสุดในโลก และยังต้องมีผู้พิทักษ์นิรันดร์คอยปกป้อง เขาถึงจะวางใจได้อย่างที่สุด
มีเคล็ดเทพต้านสวรรค์ แล้วยังมีจิ่วเยี่ยคอยให้คำชี้แนะ มู่เฉียนซีจึงฝึกฝนได้อย่างราบรื่นยิ่งนัก
ที่กลางทะเลนั้น มู่เฉียนซีได้พบเข้ากับสัตว์ทะเลที่มีตาหามีแววไม่ นางจึงถือโอกาสนี้กระโดดลงไปบนผิวทะเลและฝึกซ้อมประลองฝีมือกับมัน
“ทักษะซวนตี้!”
“ทักษะเทียนซวน!”
— ตูม! ตูม! —
พลังทั้งสองกระบวนท่านี้นั้น มู่เฉียนซีใช้จนคุ้นมือแล้ว
…
ท้องนภาค่อย ๆ มืดลง จิ่วเยี่ยอาศัยความมืดเข้าไปในห้องของมู่เฉียนซีอย่างไม่ได้รับเชิญ เขาโอบร่างนางและหลับใหลไปด้วยกัน ดูเหมือนว่านี่จะได้กลายเป็นความเคยชินหนึ่งที่ขาดมิได้ไปเสียแล้ว ทว่าค่ำคืนหลังจากนั้นไม่กี่วัน จิ่วเยี่ยก็ได้ออกจากห้องไปในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังหลับใหลอยู่
ลมทะเลในยามวิกาลนั้นหนาวเย็นถึงกระดูก ทันใดนั้นเอง เงาร่างสีเขียวก็ได้ปรากฏขึ้นราวกับปลิวลอยมา
“เยี่ย พลังที่เจ้าใช้ไปที่เซี่ยโจวเมื่อคราก่อนได้ถูกพวกไร้ประโยชน์พวกนั้นพบเข้าแล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะหาเจ้าพบ เกรงว่าเจ้าคงจะอยู่ในโลกสี่ทิศนี้ได้อีกไม่นานแล้ว” จื่อโยวกล่าวขึ้นด้วยเสียงขรึมเข้ม
“ข้ารู้”
จื่อโยวยิ้ม “อืม เยี่ยรู้แต่แรกแล้วยังจะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่นางคนงามอีก นางช่างเป็นสุสานของวีรบุรุษเสียจริง หึ ๆ เยี่ย ตอนนี้เจ้าเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นแล้วใช่ไหมเล่า ?” ดวงตาสีฟ้าคู้นั้นฉายแววเย็นชาออกมาในทันใด “ไม่ ซีจะไปเหมือนกับสตรีเหล่านั้นของเจ้าได้อย่างไร ?!”
เงาร่างสีดำได้กะพริบผ่านไป และได้ทิ้งความรู้สึกเย็นวาบเอาไว้ที่ด้านหลังของจื่อโยว
“อย่าเพิ่งบอกนาง!” จิ่วเยี่ยกำชับทันที
จื่อโยวส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ข้าน้อยรับคำสั่ง!” …
จิ่วเยี่ยนั้นกลับมาที่ข้างกายของมู่เฉียนซีอีกครั้งหนึ่งแล้ว และได้เอาร่างของนางมาไว้ในอ้อมกอด เขาก้มหน้ามองใบหน้านวลนั้นที่อยู่ใกล้เขาแค่เพียงเอื้อม …คนพวกนั้นเป็นแค่เพียงตัวตลก มิจำเป็นที่จะต้องใส่ใจแต่อย่างใด แต่ทว่า…
หากทันทีที่พวกนั้นรู้ถึงเรื่องของสตรีที่เขาทะนุถนอมละก็ ซีจะอยู่ในจุดที่อันตรายเป็นอย่างมาก
ถ้าหากสุ่ยจิ่งอิ๋งอยู่ในสภาพดีละก็ ให้นางตามเขาไปขึ้นฟ้าลงเหวก็มิอาจที่จะมีใครทำร้ายนางได้เลยแม้แต่น้อย แต่ว่าในตอนนี้สุ่ยจิงอิ๋งนั้นได้แตกกระจายออกไปหลายทิศทาง และบนตัวของนางเองก็มีเพียงหนึ่งกลีบเท่านั้น
เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักว่าจากกันไปนั้นเป็นเช่นไร จิ่วเยี่ยจึงได้กอดมู่เฉียนซีเอาไว้อย่างคะนึงหา แต่เขานั้น… ถึงกอดอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเพียงพอ “อื้ออออ!”
จุมพิตอรุณสวัสดิ์ตอนเช้าตรู่ของจิ่วเยี่ยทำให้มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ นางรีบใช้ยาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าจิ่วเยี่ยตีสีหน้าแข็งทื่อเป็นการบอกกับนางว่า ‘นี่เป็นความเคยชินยามอรุณรุ่ง’
ใบหน้าของมู่เฉียนซีแดงก่ำ “นี่ก็เป็นความเคยชินในอาชีพของข้า”
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าดวงตาสีฟ้าคู่นั้นของจิ่วเยี่ยในตอนที่มองนางนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่าง แต่นางกลับไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ที่นางควรทำคือฝึกฝนต่อไปและรีบแข่งกับเวลาเพื่อฟื้นฟูให้ตนเองนั้นไปได้ถึงขั้นราชาแห่งภูตระดับที่เจ็ด อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากเกาะสิ้นวิญญาณมากนักแล้ว
และแล้วก็ได้มาถึงระยะร้อยลี้ของเกาะสิ้นวิญญาณ จื่อโยวยิ้ม เขากล่าว “สาวน้อย เจ้าได้มาถึงเขตพื้นที่ของเกาะสิ้นวิญญาณแล้ว จากนี้ไปจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวอีกที่หนึ่งในชีวิตเจ้าเลย! เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง ?”
.