การต่อกรกับตาเฒ่าผู้นั้นมิใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลย ทว่ายาฟ้าดินซวนหวง หากสามารถที่จะไม่กินมันได้ก็จะไม่กิน เรื่องของการที่ขั้นของพลังความสามารถต้องถดถอยลงนั้น มันช่างทำให้จิตใจเป็นทุกข์เสียจริง
สำหรับผู้ที่เป็นบุคคลระดับมหาจักรพรรดิแล้ว พลังความสามารถระดับราชาถือว่าอ่อนแอยิ่งนัก แต่เมื่อได้เห็นมู่เฉียนซีปลดปล่อยพลังวิญญาณเมื่อครู่นี้ออกมาแล้ว ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่กล้าที่จะประมาทในตัวนาง
ผู้พิทักษ์อาวุโสมองมู่เฉียนซีอย่างพินิจพิจารณา สาวน้อยผู้นี้มีที่มาที่ไปไม่แน่ชัด นางทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถึงสองตัว สถานะตัวตนของนางไม่ธรรมดาเลย หากสามารถที่จะไม่ก่อเรื่องกับนางได้ก็จะดีมาก ผู้พิทักษ์อาวุโสกล่าวขึ้น “สาวน้อย เจ้านั้นไม่ได้เกรงกลัวฟ้าดิน ออกมาฝึกฝนอยู่ที่ข้างนอกเพียงลำพังเช่นนี้ อย่างไรเสียทำตัวนอบน้อมไว้หน่อยจะดีกว่า ผู้อาวุโสทั้งหลายนั้นไม่ได้คุยกันได้ง่าย ๆ อย่างเช่นข้าผู้นี้”
ผู้พิทักษ์อาวุโสกล่าวคําเหล่านี้เพื่อเป็นการหาทางออกให้แก่ตนเองทางหนึ่ง จากนั้นเขาตั้งใจจะพาตัวพี่หลงไป
โม่จิ่นยิ้ม สายตาก็ทอดมองไปทางมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวขึ้น “แม่นางมู่ บุญคุณแห่งการช่วยชีวิตข้านั้นมิอาจหาสิ่งใดตอบแทน หรือว่าจะ…”
สิ่งที่เขาจะกล่าวยังไม่ทันได้ออกจากปากมา มู่เฉียนซีก็เอ่ยตัดเข้าที่กลางประโยคเสียก่อน
“การต่อสู้ในวันนี้พี่หลงได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนพวกผู้นำคนอื่น ๆ ก็ตายกันไปหลายคน ชื่อเสียงของเจ้าในเกาะวิญญาณมรณะแห่งนี้คงจะเพิ่มสูงขึ้น เจ้ารีบช่วยข้าหาสมุนไพร หลังจากที่เสร็จเรียบร้อยแล้วข้าก็ควรที่จะจากที่แห่งนี้ไป” “ฮืม… มาถึงขนาดนี้ คาดว่าตอนนี้คงไม่มีใครกล้าขวางทางเดินเรือของข้าแล้วกระมัง”
โม่จิ่นแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย คนส่วนใหญ่ในเกาะวิญญาณมรณะแห่งนี้จับตามองการต่อสู้ในครั้งนี้กันมาก พลังความสามารถของนางเข้าขั้นวิปริตเช่นนั้น หากยังมีผู้ใดกล้าที่จะลงมือกับนาง คนผู้นั้นต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่
“แน่นอนว่าไม่มี ส่วนน้ำพุวิญญาณเทียนเหยียน เจ้ายังคงต้องการมันอยู่ใช่ไหม ?” โม่จิ่นกล่าวถาม
“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไรเล่า ?”
โม่จิ่นกล่าว “ข้าจะไปจัดการให้ในทันที”
บนเกาะวิญญาณนั้น ว่ากันด้วยเรื่องของกำปั้น มันช่างทำให้จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ง่ายดายไม่น้อยเลย น้ำพุวิญญาณเทียนเหยียนถูกมู่เฉียนซีใช้ พี่หลงเองก็ไม่กล้าว่าอะไรสักคำ อย่างไรเสีย อาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขานั้นถือได้ว่าเป็นการสั่งสอนแห่งเลือด
น้ำพุวิญญาณเทียนเหยียนตั้งอยู่ที่สวนใจกลางสุดของเกาะวิญญาณมรณะ มันเป็นน้ำพุวิญญาณธรรมชาติแห่งหนึ่ง
“คุณหนูมู่ เชิญทางนี้” มู่เฉียนซีถูกคนนำพามาถึงที่ด้านหน้าของน้ำพุวิญญาณเทียนเหยียน
“พวกเจ้าออกไปเถอะ” เมื่อมาถึง มู่เฉียนซีก็กล่าวสั่งพวกเขา “ขอรับ”
โม่จิ่นกล่าวขึ้น “ให้ข้าเป็นองค์รักษ์แห่งบุปผาไม้ให้หรือไม่ เผื่อไว้ หากว่ามีคนมาก่อกวนแม่นางมู่ อย่างไรเสียตอนนี้แม่นางมู่นั้นเป็นถึงสตรีงามอันดับหนึ่งแห่งเกาะวิญญาณมรณะ มีคนไม่น้อยเลยที่ยังนึกถึงแม่นางด้วยความเสน่ห์หา”
“เสี่ยวหง อู๋ตี้!” มู่เฉียนซีเรียกตัวเสี่ยวหงและอู๋ตี้ออกมา “อืม ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย แต่ข้าคิดว่ามีเจ้าสองตัวนี้ก็เพียงพอแล้ว”
เสี่ยวหงแค่นเสียงเย็นชา “ข้าว่ามีเจ้าอยู่ยิ่งไม่ปลอดภัย เจ้าจะต้องแอบดูนายท่านเป็นแน่ ไสหัวไปซะ! ไสหัวไปได้ไกลเท่าไรก็ไปให้ไกลเท่านั้น” อู๋ตี้ “ข้าผู้เป็นท่านแมวหิวแล้ว เจ้ามนุษย์โม่จิ่น เจ้ายังไม่รีบล่าอะไรที่มีแก่นวิญญาณมาให้ข้าอีก ไปล่ามาซะ มิเช่นนั้นแล้วข้าไม่รังเกียจที่จะฝึกวิชาหมัดเป็นเพื่อนเจ้า”
‘เจ้าสองตัวนี้ไม่ต่างอะไรกับปีศาจร้ายเลยจริง ๆ!’ โม่จิ่นนึกคิดอยู่ในใจ
“ก็ได้ ๆ ข้าไปแล้ว ไปประเดี๋ยวนี้เลย! แม่นางมู่เจ้าค่อย ๆ แช่ไปแล้วกัน ค่อย ๆ เพิ่มระดับไป” โม่จิ่นกล่าวอย่างยอมจำนน เขานั้นไม่กล้าที่จะอยู่ตรงนี้นานจึงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฝ้าให้ดี!” มู่เฉียนซีกล่าวกับเจ้าสัตว์ทั้งสองตัว
“ขอรับ!” อู๋ตี้และเสี่ยวหงรับคำ พวกมันทั้งสองป้องกันกันเอาไว้สองทาง แม้แต่ยุงตัวเดียวก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้เล็ดลอดเข้าไปได้
แต่ต้องบอกเลยว่าเกาะวิญญาณมรณะแห่งนี้ไม่เสียทีที่เป็นคุก เพราะน้ำพุวิญญาณแห่งเดียวเช่นนี้ก็ยังมิได้รับการบำรุงซ่อมแซมให้ดีเลย เช่นนี้ใครจะสามารถบุกเข้ามาเมื่อไรก็ได้
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังจะเปลื้องผ้าของตนเองนั้น ก็ได้มีมือที่เย็นยะเยือกเปี่ยมไปด้วยพลังคู่หนึ่งจับร่างนางเอาไว้ จากนั้นเขาก็มาช่วยมู่เฉียนซีปลดเปลื้องเสื้อผ้าอย่างดูสมควรด้วยเหตุผล
คนที่ทำต่ำต้อยเช่นนี้โดยปกติแล้วจะต้องโดนถวายฝ่ามือลูกตบอยู่หลายหัตถ์ แต่ทว่าคนผู้นี้ไม่ได้ให้โอกาสนั้นแก่มู่เฉียนซี เพียงเวลาไม่นาน เขาก็ปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางออกเสียจนหมด
มู่เฉียนซีเบิกตากว้าง ร้องตะโกนขึ้น “จิ่วเยี่ย!” “เปลื้องผ้าให้ข้าหน่อย”
เหลือเชื่อ! แม้มู่เฉียนซีจะตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ใบหน้าที่เย็นชาและน่าเกรงขามของจิ่วเยี่ยก็ยังคงไม่แสดงความรู้สึกใด และยังได้กล่าวคำห้าคำนั้นออกมาอย่างหน้าตาเฉย
— ตูม! —
มีหรือมู่เฉียนซีจะสนใจเขา นางกระโดดลงไปในบ่อน้ำพุวิญญาณเทียนเหยียน พลันหมอกควันสีขาวเหล่านั้นก็ได้ปกปิดเรือนร่างของนางเอาไว้หมดสิ้น
มู่เฉียนซีปฏิเสธที่จะเปลื้องผ้าให้กับเขา นั่นทำให้ในใจของจิ่วเยี่ยบังเกิดความผิดหวังอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ถอย จัดการเปลื้องผ้าของตนออกอย่างเปิดเผยต่อหน้าของมู่เฉียนซีอย่างไม่มีลังเล แน่นอนว่าในสถานที่เช่นนี้ หมอกสีขาวนั้นไม่สามารถที่จะบดบังสายตาของมู่เฉียนซีได้ เส้นโค้งนั้นที่ดูงดงาม สัดส่วนร่างกายที่สมบูรณ์แบบราวกับทองคำที่ได้แบ่งสัดส่วนเอาไว้แล้ว มันช่างงามราวกับงานศิลปะที่งดงามที่สุดบนโลกนี้เลยจริง ๆ
ใบหน้าของมู่เฉียนซีร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ นี่มิใช่ครั้งแรกที่นางได้เห็น ทว่าเหตุใดหุ่นของจิ่วเยี่ยถึงได้น่าหลงใหลเหมือนก่อนหน้ามิเปลี่ยนแปลง ?
เกรงว่าเหตุผลคงเป็นเพราะจิ่วเยี่ยนั้นเป็นเทพมารที่สามารถทำให้ผู้คนหลงเสน่ห์ได้กระมัง!
มู่เฉียนซี “จิ่วเยี่ยเจ้ามาทำอะไร ? น้ำพุวิญญาณนี่มีประโยชน์กับเจ้าด้วยหรือ ?”
จิ่วเยี่ยเข้ามาใกล้มู่เฉียนซีมากขึ้นเรื่อย ๆ เขากล่าวขึ้น “น้ำพุวิญญาณเทียนเหยียนแห่งนี้ สามารถเพิ่มพลังความสามารถให้ซีหนึ่งขั้น ทว่ามันยังมีสิ่งเจือปนอยู่มาก ข้าสอนซีได้ว่าจะสามารถหล่อหลอมพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดได้อย่างไร”
“เอ้า! แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่บอกตั้งแต่แรก ?”
จิ่วเยี่ยคว้าร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมอก เขากอดนางเอาไว้ขณะกล่าว “ข้านั้นชอบที่จะสอนเช่นนี้มากกว่า”
“…”
“ซีไม่ชอบหรือ ?”
ผิวหนังของพวกเขานั้นจะแนบติดกันอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการเล่นกับไฟ ไหนเลยจะสามารถฝึกบำเพ็ญเพิ่มระดับขั้นอย่างสงบได้ “นี่มัน… เจ้าคิดว่าข้าจะชอบได้หรือ ? ……จิ่วเยี่ย! เจ้าอยู่ให้ห่างจากข้าหน่อยได้ไหม ?”
“ไม่ได้!”
ดีที่จิ่วเยี่ยนั้นได้กอดนางเอาไว้แน่น นางจึงไม่ได้ขยับตัวรุนแรงนัก มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พลันพลังวิญญาณก็ได้โคจรขึ้นมา นางอยากจะเพิ่มระดับขั้นก่อน หลังจากเพิ่มระดับขั้นเสร็จแล้วก็ไปต่อในทันที เมื่อร่างกายของมู่เฉียนซีเกิดกระบวนการโคจรพลังวิญญาณ นิ้วมือของจิ่วเยี่ยก็ตกลงไปที่จุดตันเถียนของมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว พลังวิญญาณของนางก็เริ่มแปรปรวนขึ้นมา ในเวลาเดียวกัน จิ่วเยี่ยกระซิบใกล้ ๆ หูของนาง “ซี มีสมาธิหน่อย”
มู่เฉียนซีนั้นกำลังจะเป็นบ้าแล้วจริง ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้เนี่ยน่ะรึจะให้นางมีสมาธิ ?! เขาคิดว่ามันมีสมาธิได้ง่าย ๆ หรืออย่างไรกัน ?
“จิ่วเยี่ย ข้าขอล่ะ เจ้าเปลี่ยนตำแหน่งได้หรือไม่ ?”
“ไม่ได้ จุดตันเถียนเป็นจุดที่ดีที่สุดแล้ว” คำตอบของจิ่วเยี่ยทำให้มู่เฉียนนั้นล้มเลิกความคิดไป
“ถ้าหากว่าซีอยากที่จะใกล้ชิดกับข้า สามารถเข้ามาใกล้ชิดกับข้าก่อน แล้วค่อยเพิ่มระดับขั้นที่หลังได้ ไม่ควรรีบร้อน”
ไอร้อนจากการกระซิบตกกระทบกับใบหูของมู่เฉียนซี และมันยังแฝงไปด้วยเสียงทรงเสน่ห์ที่ได้เข้าไปในหูของนาง
สีหน้าของมู่เฉียนซีเริ่มหม่นลงเรื่อย ๆ นางกล่าวตอบไปว่า “เช่นนั้นไม่เป็นไร ข้าประคองตัวอยู่เองได้”
“ประคองอยู่เองได้หรือ ?” มุมปากของจิ่วเยี่ยได้ยกสูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ยังร่วมมือฝึกบำเพ็ญกับมู่เฉียนซีต่อไป
นี่เป็นการทรมานกันชัด ๆ หากรู้แต่แรกว่าการฝึกฝนเช่นนี้เป็นการทรมาน นางรู้สึกว่ามิสู้ตนเองขยันฝึกบำเพ็ญเอาเองเสียจะดีกว่า นางจะไม่มาที่น้ำพุวิญญาณเทียนเหยียนแห่งนี้ตั้งแต่แรกหรอก
พลังวิญญาณในน้ำพุวิญญาณเทียนเหยียนถูกมู่เฉียนซีดูดซับไป และนางที่เพิ่งทะลุขั้นราชาแห่งภูตระดับเจ็ดมาได้ไม่นาน ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นราชาแห่งภูตระดับแปด
แม้ว่าขั้นตอนของมันจะยากลำบาก แต่ทว่ามันกลับใช้เวลาไปไม่นานนัก สำหรับผู้อื่นนั้น ต้องใช้เวลาถึงสิบห้าวัน แต่นางใช้เวลาเพียงหนึ่งในสี่ของชั่วยามก็สามารถทำได้สำเร็จแล้ว
และในความสำเร็จนั้น… จิ่วเยี่ยก็มีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงเสียด้วย
จากนี้ไปยังมีเวลาอีกทั้งวัน ถึงต่อให้มู่เฉียนซีไม่ออกไปก็ไม่มีใครสงสัย ดังนั้นแล้วองค์ชายจิ่วเยี่ย (ผู้เจ้าเล่ห์) จึงดึงตัวมู่เฉียนซีที่จะออกไปจากน้ำพุวิญญาณเทียนเหยียนกลับมา
“ซี ยังมีเวลาเหลืออยู่เลย เจ้าอยู่กับข้าก่อนเถอะ”
“อื้อ!” มู่เฉียนซีนั้นยังไม่ทันที่จะได้เปิดปากปฏิเสธ ริมฝีปากของนางก็ถูกอุดเอาไว้เสียก่อน จากนั้นก็ได้ถูกดึงตัวกลับมา
มู่เฉียนซีถลึงตามองจิ่วเยี่ยด้วยความโกรธเคือง ที่เจ้าหมอนี่มาช่วยนางให้สามารถเลื่อนระดับขั้นได้เร็วนั้น แท้จริงแล้วเขามีแผน นั่นก็คือเพื่อที่จะได้ทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้สินะ…