“ตำราที่นี่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของจวนชางไห่ เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของจวนชางไห่คืออะไร”
“ทักษะวิญญาณ!” ในที่สุดมู่เฉียนซีก็นึกขึ้นได้
ทักษะวิญญาณ แหวนมังกรเทพวารีนางก็ได้รับการสืบทอดมาแล้ว
สำหรับกำลังกายนั้น เกรงว่าเคล็ดวิชาเทพต้านสวรรค์คงจะเป็นหนึ่งในใต้หล้าของด้านนี้ ส่วนกระบวนท่าการเคลื่อนไหวมีย่างก้าวพันเงาที่กำลังรอเพื่อที่จะถูกฝึกให้แกร่งขึ้นไปอีก มู่เฉียนซีกล่าว “ขอข้าไปดูหน่อยแล้วกัน”
“อืม”
สัตว์ทะเลผู้พิทักษ์ส่งมู่เฉียนซีเข้าไปในมิติแปลกประหลาด ในมิตินี้ไม่มีสิ่งใดเลย แล้วจะมีทักษะวิญญาณได้อย่างไร ?
สัตว์ทะเลผู้พิทักษ์กล่าว “เวลานี้เจ้าเป็นนายแห่งจวนชางไห่ เจ้าต้องการทักษะวิญญาณชนิดใด ความคิดเพียงแค่ความคิดเดียวก็สามารถทำให้พวกมันโผล่ออกมาได้ ส่วนจะสามารถจะนำพามันไปด้วยได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูกันที่พลังวิญญาณและพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ นางหลับตาลง นึกถึงเคล็ดวิชาการเคลื่อนที่ที่นางอยากจะได้
เงาดำเงาหนึ่งกะพริบผ่านไป เคล็ดวิชาการเคลื่อนที่ชุดหนึ่งพลันโผล่ขึ้นที่ตรงด้านหน้าของนาง
“ย่างก้าวเงาเทวา ไร้ซึ่งระดับขั้น และไร้ซึ่งที่มา!”
เมื่อปลายนิ้วนางได้สัมผัสถึงวิชานี้ เนื้อหาทั้งหมดของมันก็ถูกกรอกเข้าไปในหัวสมองของนางโดยตรง วิชาย่างก้าวเงาเทวานี้แข็งแกร่งกว่าย่างก้าวพันเงาของนางไม่รู้ตั้งกี่เท่า เป็นเช่นนี้แล้ว ความรวดเร็วของนางก็จะสามารถเพิ่มขึ้นไปได้อีก
เมื่อได้ในสิ่งที่นางต้องการ มู่เฉียนซีก็โบกไม้โบกมือกล่าวลา “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนแล้วกัน”
“เจ้า… เจ้าเอาอีกแล้ว”
สัตว์ทะเลผู้พิทักษ์จ้องมองมู่เฉียนซีอย่างเกลียดชัง ดวงตาของมันในตอนนี้แข็งกร้าวดั่งเหล็กเลยทีเดียว ทว่ามู่เฉียนซีกลับกล่าวขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ข้าทำอะไรผิดอีกเล่า ?”
“ในฐานะที่เป็นเจ้าของจวนชางไห่ เจ้าจะมาเอาคัมภีร์ไปเพียงเล่มเดียวต่อการเข้าหนึ่งครั้งรึ ?! รอจนกว่าที่ข้าจะปรากฏตัวขึ้นครั้งหน้ายังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด นอกจากภายในสิบปีนี้เจ้าจะสามารถฝึกบำเพ็ญจนบรรลุเป็นมหาจักรพรรดิระดับสูงสุดได้ มิเช่นนั้นเจ้าไม่สามารถที่จะเข้ามาได้” “ทักษะวิญญาณของที่นี่เพียงพอที่จะทำให้สำนักที่มีระดับต่ำกว่าสำนักนิกายระดับสามลงไปแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง แต่เจ้ากลับเอาคัมภีร์ไปเพียงแค่เล่มเดียวแล้วจะจากไป เจ้าทำให้ข้าโกรธแทบตายเลยจริง ๆ”
มู่เฉียนซียิ้มยียวน “เหอะ ๆ เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นเจ้าของของจวนชางไห่ อยากที่จะได้ตำราเคล็ดวิชาสักเท่าไรก็เอาไปเท่านั้นงั้นรึ ?”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“ตอนนี้อายุเจ้ายังน้อย การไม่โลภมากนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คนเรานั้นจะต้องมีทรัพยากรแห่งการใช้ชีวิตให้มากเสียหน่อยจะดีกว่า” สัตว์ทะเลผู้พิทักษ์ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่ปีสอนมู่เฉียนซีอย่างถี่ถ้วนไปคราหนึ่ง
มู่เฉียนซีแสยะยิ้มมุมปาก เดิมทีนางนั้นจัดเป็นคนโลภมาก เพียงแต่เพราะนางมีของศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์อยู่ในครอบครอง สำหรับเคล็ดวิชาเหล่านี้ นางจึงไม่ได้สนใจเท่าไรนัก มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้น…”
“ทักษะวิญญาณขั้นสูงสุดทั้งหมด ส่งมาให้ข้าซะสิ”
ทันใดนั้นทักษะวิญญาณนับไม่ถ้วนก็ลอยมา สัตว์ทะเลผู้พิทักษ์เกือบจะเอาหัวชนกําแพง “ทั้งหมด….นี่เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เจ้า…”
มันนั้นอดมิได้ อยากจะตบหน้าตัวเองสักสองสามครั้ง นี่มันมากเกินไปแล้ว!
แต่ว่านางดันเป็นนายแห่งจวนชางไห่ไปเสียแล้ว ต้องการเอาไปเท่าไรก็มีสิทธิ์เอาไปเท่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “ฮิ ๆ ขอบคุณเจ้ามาก”
…
หอหมอปีศาจต้องการยอดฝีมือจำนวนมาก หากว่ายาเม็ดไม่สามารถฟาดหัวให้พวกเขายอมได้ละก็ เห็นทีว่าจะต้องใช้ตำราทักษะวิญญาณและเคล็ดการฝึกวิชาเหล่านี้ไปฟาดพวกนั้นให้มึน ดูสิว่าพวกเขาจะยอมหรือไม่
สัตว์ทะเลผู้พิทักษ์กล่าว “ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของเจ้า เจ้าเอาไปเถอะไม่ต้องจดไปหรอก เจ้านำตำราไปมากมายเช่นนี้ ต้องรีบเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นมาให้ไวเลย อย่าได้ให้ข้าต้องรออีกเป็นร้อยปี”
คนทั่วโลกทั้งสี่ทิศนั้นมีพลังวิญญาณไม่แข็งแกร่งกันเท่าไรนัก แม้ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีถึงจะสามารถฝึกฝนตนเองจนก้าวไปถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุดได้ก็นับว่าไม่เลวเลย
เพราะคนส่วนใหญ่นั้น จวบจนสิ้นอายุขัยของตนแล้ว ก็ยังไม่สามารถไปถึงขั้นมหาจักรพรรดิระดับสูงได้
มู่เฉียนซีกล่าวให้คำมั่น “วางใจได้ ข้าไม่ใช้เวลานานขนาดนั้นแน่นอน”
“แล้วพบกันใหม่”
และแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้ออกจากจวนชางไห่ไปในที่สุด
วิ๊ว!
หวิวววว!
เมื่อนางออกมา พลันได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิว
วงโคจรของดวงดาวในท้องนภามีความงดงามและทอดยาวไปยังด้านอื่น ๆ ของขอบฟ้า นางนั้นรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของใครบางคน เงาร่างสีม่วงเงาหนึ่งวาบผ่านไป และแสงจันทร์สีเงินก็ได้สาดฉายลงบนใบหน้าที่ดูดีของใครคนหนึ่ง
โม่จิ่นส่งรอยยิ้มนุ่มนวลมาให้นางก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าออกมาแล้ว ข้านึกว่าจะไม่ต้องทำตามคำสัญญาแล้วเชียว ไม่ต้องคอยรับใช้นายคนใหม่เช่นเจ้าแล้ว” มู่เฉียนซีแสยะยิ้มเล็กน้อย “เจ้าฝันหวานนักนะ แต่เสียใจด้วย ฝันนั้นคงต้องสลายแล้ว เจ้าต้องทำงานให้ข้าสามปี จะขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว”
โม่จิ่นกล่าว “ลมทะเลแรงยิ่งนัก พวกเรารีบกลับไปที่เกาะใต้เถอะ”
ถึงแม้ว่าโม่จิ่นจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนาง
นายท่านคนใหม่ของเขาคือมู่เฉียนซีและนางลึกลับจริง ๆ ทักษะการปรุงยาของนางนั้นนับว่าท้าทายฟ้าดินถึงขีดสุด ส่วนทักษะเรื่องพิษของนางก็เก่งกาจดั่งเทพ มาตอนนี้นางยังผ่านการทดสอบที่ยากที่สุดของจวนชางไห่มาได้อีก ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยผ่านมันได้มาก่อน!
มู่เฉียนซีและโม่จิ่นพักอยู่ที่เกาะใต้อีกหนึ่งวัน หลังจากนั้นพวกเขาก็ก้าวเหยียบขึ้นมาบนแผ่นดินของทวีปเสียโจว ในตอนนี้ มู่เฉียนซีเดินอยู่ที่เมืองติดทะเลเมืองแรกของทวีปเสียโจว นั่นก็คือเมืองหนานไห่
ที่ทวีปเสียโจวนั้นไม่มีการปกครองที่เป็นการปกครองโดยระบบแคว้น แต่ปกครองด้วยกลุ่มขุมกำลังต่าง ๆ แบ่งได้เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งสิบแปดแห่ง สำนักศึกษาขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งสิบแห่ง และสำนักศึกษาขั้นสำนักนิการะดับสองหนึ่งแห่ง
สำนักศึกษาซวนเสียที่เป็นสำนักนิกายระดับสองนั้นอยู่ในทวีปเสียโจว มีสถานะราวกับจักรวรรดิแห่งหนึ่ง มันรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งทวีปเสียโจวเอาไว้และไม่มีใครกล้าไปล่วงเกิน
ด้วยเพราะเมืองหนานไห่เป็นเมืองติดเขตทะเล ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เมืองที่อยู่ใจกลางของทวีปเสียโจว แต่มันก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ทวีปเซี่ยโจวมากที่สุดด้วย
“สาขาแรก เปิดที่นี่เลยแล้วกัน” มู่เฉียนซีกล่าวออกมา โม่จิ่นถามขึ้นทันควัน “แม่นางมู่ สาขาแรกงั้นรึ ? เจ้าตั้งใจจะเปิดร้านทำการค้าขายที่นี่รึ ?”
‘แต่ว่าข้าดูแล้วรู้สึกมันไม่เหมือนเลย!’ แน่นอนว่าประโยคหลังนี้เขาไม่ได้เอ่ยออกมา เพียงเอ่ยขึ้นในใจเท่านั้น
เดิมทีเขาคิดว่านางจะทำทั้งทีต้องทำอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน
มู่เฉียนซีพยักหน้า “ใช่ ข้าจะเปิดร้าน หาเงินหาทอง และอีกอย่างหนึ่ง จากนี้ไปเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ใหญ่หรือไม่ก็นายท่าน” มู่เฉียนซีทอดสายตามองไปยังท้องทะเลที่กว้างไกล มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย ไม่รู้ว่าป่านนี้เยวี่ยเจ๋อนั้นจะถูกการงานต่าง ๆ ของตระกูลมู่และหอหมอปีศาจถมตายไปแล้วหรือยัง
โม่จิ่นมองรอยยิ้มชั่วร้ายของมู่เฉียนซีพลางพึมพำว่า “ใครกันที่กำลังโชคร้าย ถูกแม่นางใจดำผู้นี้คิดแผนร้ายปล่อยให้เผชิญ”
โม่จิ่นยิ้ม “อืม หลังจากนี้เจ้าคือนายท่านของข้าแล้ว เป็นนายท่านของข้าสามปี ว่าแต่ตำหนักโม่อวี่นายท่านจะให้ข้าทำเช่นไร ?”
“จะดีร้ายยังไง ตำหนักโม่อวี่ก็เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่ง เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสที่สามคงจะมีประโยชน์อะไรอยู่บ้าง เจ้าคงสถานะเช่นนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
“ข้านึกว่านายท่านไม่อยากที่จะให้ข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกองกำลังอื่นเสียอีกนะ” มู่เฉียนซีกล่าว “รอให้ถึงเวลาที่กลุ่มกำลังทั้งหมดของทวีปเสียโจวต้องมาประจบเจ้า เมื่อถึงตอนนั้นตำแหน่งผู้อาวุโสที่สามก็ทิ้งมันไปเสียเถอะ”
ขุมกำลังทั้งหมดของเสียโจว เช่นนั้นมิใช่ว่าต้องนับรวมสำนักศึกษาซวนเสียที่เป็นสำนักนิกายระดับสองเข้าไปด้วยหรือ ?
เขาค่อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ ความทะเยอทะยานของนายท่านนี่มีมากทีเดียวเชียว!
“ทำไมรึ ? เจ้าตกตะลึงหรือไง ? ข้านั้นจะทำกิจการค้าโอสถ เจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยหรือ ?” มู่เฉียนซีเลิกคิ้วถาม
“กิจการค้าโอสถ!” โม่จิ่นตกใจจริง ๆ นักปรุงยาเป็นผู้ที่กลุ่มกำลังใหญ่ ๆ ต่างหมายที่จะมีความสัมพันธ์อันดีด้วย นักปรุงยาสามารถปรุงยาเพื่อช่วยให้ผู้ฝึกตนเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ และเมื่อได้รับบาดเจ็บหรือถูกวางยาพิษ ก็ยังสามารถช่วยชีวิตคนอื่นไว้ได้อีกด้วย เช่นนี้แล้วจะไม่เป็นที่หมายตาต้องการจะมีสัมพันธ์ที่ดีด้วยได้อย่างไร
“ต้องเอาสถานที่ที่ครึกครื้นที่สุด และมีผู้คนพลุกพล่านที่สุด”
โม่จิ่นกล่าว “สถานที่เช่นนี้มิใช่ว่าเพียงมีเงินก็สามารถจะได้มันมาได้นะนายท่าน”
มู่เฉียนซีหรี่ตามองอะไรบางอย่าง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้างาม นางกล่าวออกมา “แต่ข้ารู้สึกว่าไม่มีเงินก็สามารถเอามาได้ …ตามข้ามา!”
โม่จิ่นตะลึงงัน “หืม ? ไม่มีเงินก็สามารถหาทำเลดี ๆ ได้ นายท่านคงไม่คิดจะไปแย่งชิงผู้อื่นมากระมัง ?!”
“แม้ว่าพลังความสามารถของข้าจะไม่ถึงขั้นมหาจักรพรรดิ แต่ในเมืองทะเลตะวันออกแห่งนี้ ข้าก็นับว่าเป็นเสือนอนมังกรหลับ เจ้าอย่าได้ทำให้ข้าเสียเรื่องล่ะ”