หมัดนี้ของฉินปา เมื่อเทียบกับพลังทําลายล้างของทักษะตี้ซวน มันช่างแตกต่างกันมากจริง ๆ
นี่ไม่ได้อยู่ในสายตามู่เฉียนซีแม้แต่น้อย นางไม่เพียงสามารถรับมือกับความเหี้ยมโหดของเจ้าหมอนี่ได้ แต่ยังจับจังหวะการเคลื่อนไหวของเขาได้ทุกฝีก้าว
นางรู้สึกว่าข้อเสนอของโม่จิ่นที่ให้มาสํานักศึกษาก็ไม่เลว ในสํานักศึกษานี้ น่าจะมีกระสอบทรายให้นางได้ฝึกซ้อมอยู่ไม่น้อย คงเพียงพอทำให้นางกลับคืนสู่ระดับเดิมได้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดก็ได้เข้าสู่ขั้นราชาแห่งภูตระดับแปด… ตอนนี้ขาดอีกหนึ่งระดับที่ยังไม่ฟื้นคืนกลับมา
“ฮึ่ม!”
เมื่อเห็นว่าเงาร่างนั้นถูกกระแทก ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงปลงจิต!
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ทว่าหลังจากที่พวกเขาลืมตาขึ้น สิ่งที่พวกเขาเห็นคือหลุมขนาดใหญ่บนเวทีประลอง แต่กลับหาเงาร่างสีม่วงไม่พบเลย
“ศิษย์น้องมู่ นางเหมือนจะหลบได้!”
“เมื่อครู่ เป็นเพราะความรวดเร็วที่มากเกินไป จึงเหลือเพียงภาพเงาติดตาเท่านั้นเอง”
ชิงฮุ้ยกัดฟันแน่น “นางหลบได้จริง ๆ ด้วย ข้าล่ะเซ็งจริงเชียว!”
“ผนึกมังกรวารี!” มู่เฉียนซีอ้อมไปด้านหลังฉินปาโดยไม่ให้เขารู้ตัว มังกรวารีสีฟ้าพลันพุ่งเข้าไปหาเขาอย่างไร้ความปราณี
และตอนนี้เอง พวกเขาก็ได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซี
“นางคือราชาแห่งภูตระดับแปด!”
“ราชาแห่งภูตระดับแปดตกลงมาสู่ชั้นระดับปฐพี ? เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ?!”
“ราชาแห่งภูตระดับแปดคิดจะเข้าสํานักศึกษาซวนเสียได้ในหนึ่งเดือน ศิษย์น้องผู้นี้ใจร้อนเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! ควรใช้เวลาอีกหลายปีในการฝึกฝนมิใช่รึ ?”
ราชาแห่งภูตระดับแปดอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปี พรสวรรค์เช่นนี้ไม่เลวเลย หากตั้งใจฝึกบําเพ็ญสักหนึ่งหรือสองปีเพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นราชาแห่งภูตระดับเก้า โอกาสที่จะเข้าสํานักศึกษาซวนเสียได้ก็จะสูงมาก
“เหอะ ขั้นราชาระดับแปด ข้าแค่บีบเจ้าก็ตายเหมือนกับมดตัวหนึ่งแล้ว!” หลังจากรู้ถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซี ฉินปายิ่งดูถูกนางมากขึ้น
— ปัง! ปัง! ปัง! —
เขาฉวยโอกาสนี้ไล่ตามขยี้มู่เฉียนซี ทว่านางว่องไวไม่พลาดเลย นางหลบหลีกได้ในทุกครั้ง อีกทั้งยังหลบด้วยท่วงท่าสง่างาม
ไม่ว่าพลังโจมตีจะแข็งแกร่งมากเพียงใด โจมตีไม่ตรงเป้าหมายมันก็ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
คนอื่น ๆ มองไม่ออก แต่โม่ซางคงมองออก สายตาคมกริบของเขาจับจ้องร่างบางในชุดพลิ้วสีม่วงนั่น
นางต้องการฝึกทักษะย่างก้าวของตัวเองกับการโจมตีของฉินปา มิเช่นนั้น นางเพียงลงมืออย่างไม่ใส่ใจมากนักก็สามารถฆ่าฉินปาได้ในพริบตา
“หมัดแปดเมฆาสะท้านโลกา!”
มู่เฉียนซีหลบหลีกอยู่ตลอดเวลาจนฉินปาที่พยายามหลบซ่อนตัวทนไม่ไหว ใช้ทักษะพิเศษของตัวเองออกมา!
การโจมตีทั้งแปดพุ่งมาจากทุกทิศทาง แต่มู่เฉียนซีกลับหลบหลีกได้ราวกับขนนกน้ำหนักเบา มู่เฉียนซีกล่าว “โจมตีชักช้าแล้วยังคํารามเสียงดังขนาดนั้นอีก ช่างน่าเบื่อซะจริงนะ”
“วารีสะท้านสวรรค์!”
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
— ปัง! ปัง! ปัง! —
ฉินปาเร่งสกัดกั้นการโจมตีของมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวว่า “การโจมตีพวกนี้ของเจ้า ต่อให้โจมตีถูกข้าก็เหมือนกับสายฝนที่ทําร้ายอะไรข้าไม่ได้”
คนคนหนึ่งไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ อีกคนหนึ่งก็ไม่สามารถทําลายการป้องกันของอีกฝ่ายได้ ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อต่อกันเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
มู่เฉียนซีกระตุ้นเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงกลัวของฉินปา เขาไล่บี้นางราวกับสุนัขบ้าคลุ้มคลั่ง ผู้ชมทุกคนต่างมองกันอย่างหวาดผวา
ภายใต้พลังอันโหดเหี้ยมนี้ ฉินปาที่เกือบทะลวงผ่านระดับจักรพรรดิยอดยุทธ์ ในที่สุดเขาก็ทะลวงผ่านได้แล้ว
เขาทะลวงผ่านขั้นพลังได้ในระหว่างการต่อสู้!
ชิงฮุ้ยสบายใจมาก นางรีบเอ่ยขึ้น “ฉินปาทะลวงผ่านระดับจักรพรรดิยอดยุทธ์แล้ว หึ ๆ ๆ มู่เฉียนซี เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”
“ต่อสู้กับสาวงามแล้วยังสามารถเลื่อนระดับขึ้นไปได้อีก วันนี้ฉินปาทําให้ผู้คนอิจฉาริษยาดีจริง ๆ”
“ฉินปาเลื่อนขั้นไปเป็นจักรพรรดิยอดยุทธ์แล้ว ในรายชื่อผู้แข็งแกร่งของสํานักศึกษาเรา เกรงว่าเขาคงติดสามอันดับแรกแล้วล่ะนะ”
“ใช่… นั่นน่าทึ่งมาก”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิ ความแข็งแกร่งของเขาก็แตกต่างจากระดับราชาอย่างมาก
ฉินปากล่าวขึ้นว่า “เจ้ายอมแพ้ซะเถอะ! อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้ายอมแพ้ล่ะ”
มู่เฉียนซียิ้มเย็นเยียบพลางกล่าวโต้ “ไม่จําเป็น เพราะข้าเองก็เลื่อนขั้นแล้วเหมือนเจ้านั่นแหละ”
การถูกสุนัขบ้าตัวนี้ไล่ล่า ไม่เพียงแต่พัฒนาทักษะย่างก้าวเท่านั้น ยังสามารถฝึกฝนจนทะลวงผ่านระดับได้ด้วย
ราชาแห่งภูตระดับเก้า… พลังสามระดับที่เดิมทีถดถอยไปในตอนกินยาฟ้าดินซวนหวงในศึกเดียวของสํานักอวิ๋นเยียน ในที่สุดก็คืนกลับมาเกือบหมดแล้ว เป้าหมายต่อไปคือฝึกจนถึงจุดสูงสุดระดับเก้าของราชาแห่งภูต
“ระดับเก้า! นะ… นั่นระดับเก้า! นางก็ทะลวงผ่านได้แล้ว”
ชิงฮุ้ยพึมพําเสียงเบา “ไม่จริง ไม่!”
มู่เฉียนซียิ้มเยาะ “เข้ามาสิ!”
“มา!”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ครานี้มู่เฉียนซีปะทะกับฉินปาโดยตรง นางไม่หลบหลีกอีกต่อไป
“สวรรค์โปรด! นางไม่หลบแล้วเจ้าดูสิ”
“ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงจักรพรรดิยอดยุทธ์ บุ่มบ่ามสู้เช่นนี้จะบาดเจ็บสาหัสเอาได้!”
“ผู้มีพลังภูตธาตุวารีสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถก้าวข้ามความแตกต่างระหว่างขั้นจักรพรรดิกับราชาได้ นอกจากนี้ความต่างระหว่างขั้นราชากับจักรพรรดินั้นกว้างเกินไป”
“มังกรวารีพิฆาต!”
“หมัดพยัคฆ์คำราม!”
— ตูม! —
ทั้งสองฟาดพลังใส่กันไม่ยั้ง สองพลังนี้ปะทะกันกลางอากาศ สายตาทุกผู้คนเห็นโลหิตแดงสดพุ่งผ่านอากาศไป
มีคนได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้าให้แล้ว!
มีคนเลือดออกแล้ว!
ว่าแต่ใครล่ะ ?!
ไม่ต้องรอคำตอบนาน ร่างใหญ่โตร่างหนึ่งลอยลงมา คนผู้นั้นไม่ใช่มู่เฉียนซีทว่าเป็นฉินปา!
ฉินปาพ่ายแพ้งั้นรึ ? เขาแพ้ให้กับศิษย์ใหม่ที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยท่วงท่าสง่า เขาแพ้ให้กับผู้ที่ที่เพิ่งทะลวงผ่านราชาแห่งภูตระดับเก้า
“วิปริตนัก!”
สตรีผู้นี้คือศิษย์ใหม่ของทุกคน
“ไม่แปลกใจแล้วว่าทําไมนางถึงบ้าบิ่นกระโดดข้ามไปอยู่ห้องเรียนระดับสวรรค์ได้ ที่แท้แม้แต่จักรพรรดิยอดยุทธ์ นางก็เอาชนะเขาได้ แต่เหอะ! อวดดีนัก ข้าหมั่นไส้นางแล้ว”
ใครคนหนึ่งกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ก็แค่เอาชนะระดับจักรพรรดิได้ มันน่าประหลาดใจตรงไหนกัน ?! ฉินปาเพิ่งทะลวงผ่านระดับพลัง พลังของเขาเลยยังไม่มั่นคงก็เท่านั้นเอง”
“เพิ่งทะลวงผ่านแต่ก็เป็นถึงขั้นจักรพรรดินะ เขาต้องทำได้ดีกว่านี้สิ” มีคนโต้กลับ
เพราะการประมือกันในครั้งนี้ ศิษย์สํานักศึกษาหนานเฟิงจึงไม่สงสัยในความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีอีกเลย
มู่เฉียนซีมองทุกคนก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “หากว่ายังมีคนอยากสั่งสอนศิษย์ใหม่อย่างข้าก็ขึ้นมาได้เลย ข้ายังต่อได้ อยากยืดเส้นยืดสายอีกสักหน่อยอยู่พอดี”
มุมปากทุกคนพลันกระตุก ใครจะขึ้นไปล่ะ ? พวกเขาไม่อยากขึ้นไปบนนั้นเพื่อไปสู้กับคนน่ากลัวอย่างนางหรอก!
ณ เวลานี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับนาง เกรงว่าคงมีแต่พวกประหลาดสามอันดับแรกของสํานักศึกษาหนานเฟิงเท่านั้นถึงจะพอสู้ได้
ไม่มีใครกล้าท้าทายมู่เฉียนซี นางจึงออกจากลานประลองโดยมีโม่ซางคงรีบตามไป ขณะนั้นเอง นางหันกลับไปมองและเอ่ยถามโม่ซางคง “มีข่าวอะไรไหม ?”
“มี ตามข้ามา” โม่ซางคงพยักหน้า ก่อนจะพานางไปที่จวนต้องห้ามและกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ ข้าพาคนมาพบขอรับ”
อาจารย์ของโม่ซางคงเป็นชายชราร่างเตี้ยที่มีความสูงเพียงประมาณห้าเชี๊ยะเท่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่ไหนมีนักหลอมอาวุธเก่ง ๆ ที่มีความสามารถแข็งแกร่งบ้าง ?”
ชายชราร่างเตี้ยกล่าวขึ้น “สาวน้อย เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ไป๋ก็ได้ ข้ารู้มาว่าเมืองหนานเฟิงมีนักปรุงยาแข็งแกร่งมากอยู่ผู้หนึ่ง และได้ยินเสี่ยวคงบอกว่าเจ้าร่ำรวยมั่งคั่งมาก ค่านําทางนี้คงจะต้องไม่น้อยแล้วกระมัง”
อาจารย์ไป๋มองมู่เฉียนซีด้วยดวงตาเป็นประกาย มุมปากของโม่ซางคงพลันกระตุก “ช่วงนี้สภาพการเงินของอาจารย์ขัดข้องเล็กน้อย ดังนั้น…”
“แม่นางมู่ได้โปรดอย่าถือสาเลยนะ”
มู่เฉียนซี “ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเจ้าอาจร่วมมือกับอาจารย์ของเจ้าเพื่อหลอกข้า ข้ากําลังคิดเลยว่าจะฟ้องโม่จิ่น สหายที่ดีของเจ้าดีหรือไม่”
โม่ซางคงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มีอะไรหรอก ท่านอาจารย์เป็นเช่นนี้มาเสมอแหละ”
อาจารย์ไป๋กล่าว “เจ้าอย่าตระหนี่ถี่เหนียวนักเลยแม่สาวน้อย เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้ามิใช่รึ ?”
มู่เฉียนซี “ข้าหมายความว่าถ้าช่วยซ่อมอาวุธของข้า เงินย่อมไม่ใช่ปัญหา ส่วนค่านําทางข้าไม่อยากใช้เงินมากเกินไป ท่านพูดมาตรง ๆ เลยเถอะว่าต้องการเท่าไหร่ ?”
.