ปรมาจารย์ไป๋นำสมบัติมีค่าเก่าเก็บออกมา มันคือผลึกกึ่งใสทรงออกกลม ๆ ลูกหนึ่ง
“ลูกผลึกนี้สามารถทดสอบพลังวิญญาณได้ เจ้ารวบรวมพลังวิญญาณแล้วปล่อยมันเข้าไปข้างในนั้น ไหน ๆ ก็มากันถึงขนาดนี้แล้ว ข้าขอทดสอบพลังวิญญาณของเจ้าดูเสียหน่อยเถอะว่าแข็งแกร่งแค่ไหน”
“ได้อยู่แล้ว เชิญท่านทดสอบได้ตามสบาย ข้านั้นมิขัดข้อง” มู่เฉียนซีไม่ได้ปฏิเสธ เพราะนางเองก็อยากจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณตนเอง
ปรากฏว่า… เมื่อได้ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในนั้น พลันปรากฏแสงสีม่วงพุ่งออกมา และผลสุดท้าย…
— เพล้ง! —
เพียงเสียงเดียวที่ดังออกมาจากลูกผลึก แทบไม่ต้องเดาเลย ลูกผลึกวิญญาณแตกไปเสียแล้ว
สีหน้าปรมาจารย์ไป๋ห่อเหี่ยวลงอย่างสิ้นเชิง “อ๊าก! นี่ข้า… ข้าคงต้องอยู่ให้ห่างจากเจ้าเอาไว้บ้างแล้ว อันตรายจริง ๆ ”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?” มู่เฉียนซีถามอย่างฉงน
ปรมาจารย์ไป๋กอดเศษผลึกที่แตกสลายเอาไว้ก่อนจะกล่าว “แตกแล้ว! มันแตกเสียแล้ว! นี่เป็นเพราะพลังวิญญาณของเจ้ามันมากเกินกว่าขอบเขตที่ผลึกจะรับเอาไว้ได้ วิปริตยิ่งนัก!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างนิ่งสงบ “อ้อ เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ ?”
“ก็ใช่สิ แต่เป็นเช่นนี้แล้วเจ้าไม่ดีใจหรือตื่นเต้นบางรึไง ?” ปรมาจารย์ไป๋กล่าวด้วยความข้องใจเป็นอย่างมาก
“ข้าจะตื่นเต้นไปทำไมกัน ? ที่มันแตก ก็คงเป็นเพราะลูกผลึกวิญญาณของท่านอ่อนแอเกินไปนั่นแหละ”
“อะไรนะ ? ลูกผลึกของข้าอ่อนแอ นั่นย่อมไม่ใช่แน่ ของชิ้นนี้มีราคาตั้งเท่าไรเจ้ารู้หรือเปล่า ?” ปรมาจารย์ไป๋กล่าวออกมาด้วยความเดือดดาลขนานหนัก
มู่เฉียนซี “ท่านปรมาจารย์ไป๋ นี่ท่านให้ข้าทดสอบพลังวิญญาณ เพื่อที่จะให้ข้าทำลูกผลึกทดสอบพังหรือยังไง?” ในที่สุดปรมาจารย์ไป๋ก็ได้กล่าวเข้าเรื่อง “ไม่ใช่ ข้าทดสอบพลังวิญญาณของเจ้าก็เพียงเพราะอยากทราบว่าพลังวิญญาณของเจ้าแกร่งมากเพียงใด และจะมีสมาธิในการเรียนหลอมอาวุธหรือไม่ก็เท่านั้น”
“เรียนหลอมอาวุธงั้นรึ ?” นางนั้นเรียนการปรุงยามาตั้งแต่ยังเยาว์ และมีความสนใจต่อการปรุงยาเป็นอย่างมาก ถึงแม้มาอยู่ในโลกนี้แล้วก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ส่วนการหลอมอาวุธ นางไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย
ปรมาจารย์ไป๋กล่าว “สาวน้อย เจ้าคิดดูนะ ถึงต่อให้เจ้าไปอยู่ที่สำนักศึกษาซวนเสีย ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะหาตัวอาจารย์ใหญ่ได้พบ ถึงต่อให้หาพบ แต่ด้วยสถานะของเขา เขาก็คงจะไม่ตอบตกลงง่าย ๆ ครั้งนี้ถือว่าข้าตีกระบี่ให้เจ้าใหม่ก็แล้วกัน เจ้าเองก็สามารถใช้มันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
“พอใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าจะไม่สามารถใช้มันได้อีก นอกเสียจากหานักหลอมอาวุธผู้อื่นมาตีกระบี่ให้แก่เจ้า แต่ถ้าหากว่าเจ้าสามารถหลอมอาวุธได้ด้วยตัวเอง เมื่อกระบี่หักไปหนึ่งเล่ม เจ้าก็จะได้ตีขึ้นมาแทนได้เองไง เพียงเท่านี้ ข้าคิดว่ามันน่าจะสะดวกกับตัวเจ้ามากขึ้น”
เมื่อมู่เฉียนซีได้คิดทบทวน ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงดังที่ท่านปรมาจารย์ไป๋กล่าวมา
ถ้าหากนางเรียนรู้การหลอมอาวุธได้ละก็ ต่อให้กระบี่มังกรเพลิงสามารถใช้ได้ครั้งละรอบแล้วแตกหักไป นางยังสามารถตีกระบี่ขึ้นมาได้อีกหลายครั้ง
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อื้ม เช่นนั้นปรมาจารย์ไป๋โปรดช่วยชี้แนะข้าด้วย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้ามีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธหรือไม่”
ปรมาจารย์ไป๋กล่าวขึ้น “เอาเถอะ ข้าไม่ได้ตีตัวกระบี่ที่เข้ากันได้ขึ้นมาก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก ข้าจะต้องสอนเจ้าให้ดีอย่างแน่นอน” …
มู่เฉียนซีร่ำเรียนไป ปรากฏว่ายังทำตัวเป็นนักเรียนที่ดีได้ไม่ถึงเจ็ดวัน นางก็ได้ขอลาหยุดเสียแล้ว ด้วยเพราะนางจะไปเรียนกับปรมาจารย์ไป๋
…
วันแรกของการเรียนหลอมอาวุธ: ตีตัวกระบี่
“เจ้า… เจ้า…” ปรมาจารย์ไป๋อ้ำอึ้ง
เพียงวันแรกก็สามารถเห็นได้ถึงความสำเร็จขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว มู่เฉียนซีนางเข้าใจในศาตร์ของการหลอมอาวุธทั้งหมด ในที่สุด ปรมาจารย์ไป๋ก็ได้พบเข้ากับตัวประหลาดความสามารถโดดเด่น
วานนี้ เด็กสาวผู้นี้ยังกล่าวกับเขาอยู่เลยว่านางไม่แน่ใจว่าตนเองจะมีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธหรือไม่ ทว่านางมี และพรสวรรค์เช่นนี้ของนางเหมือนถูกซ่อนเอาไว้ตั้งนานกว่าจะถูกค้นพบ นางช่างมีพรสวรรค์ล้างผลาญโลกาเสียจริง
ปรมาจารย์ไป๋ “สาวน้อยมู่ หากว่าเจ้ามีใจคิดที่จะเรียนรู้ละก็ เจ้าจะต้องกลายเป็นตำนานแห่งการหลอมอาวุธของทั้งสี่ทิศอย่างแน่นอน เจ้าจะต้องกลาย…” มู่เฉียนซีปฏิเสธในทันใด “ปรมาจารย์ไป๋ ข้าหลอมอาวุธก็เพียงเพื่อกระบี่มังกรเพลิงเท่านั้น อย่างไรเสียข้าก็ชอบการปรุงยามากกว่า”
“แต่ข้าคิดว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธมากกว่า!”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ “ปรมาจารย์ไป๋ ท่านต้องเชื่อในการตัดสินใจของข้า ข้านั้นมีความสามารถในการปรุงยามากกว่าการหลอมอาวุธ”
ปรมาจารย์ไป๋ตกใจ เด็กสาวผู้นี้นางมีความมั่นใจมาก หรือว่านางจะมีพรสวรรค์ในการปรุงยาที่น่าตะลึงเช่นกัน อย่างไรเสียเขาเลือกไม่รับรู้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องตะลึงจนสภาพจิตใจผิดปกติ
ด้วยความมานะของมู่เฉียนซีในสามวันมานี้ ในที่สุดก็ตีตัวกระบี่ออกมาได้เล่มหนึ่ง
นางเริ่มนำปลายกระบี่มังกรเพลิงกับตัวกระบี่ใหม่มารวมเข้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าความเป็นมือฝึกหัดจะทำให้นางทำออกมาดูหยาบ แต่ด้วยเพราะว่านายท่านของตนนั้นเป็นผู้หลอมขึ้นมา กระบี่มังกรเพลิงมิได้รังเกียจแต่อย่างใด ในทางกลับกัน มันกลับโปรดปรานเป็นอย่างมาก
นายท่านของมันที่เป็นพวกคลั่งการหลอมปรุงยามาโดยตลอด เวลานี้กลับยอมเสียเหงื่อเปลืองแรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อร่ำเรียนการหลอมอาวุธด้วยตนเอง ถึงแม้ว่ามันจะมีจิตวิญญาณและความเข้าใจในความรู้สึกอยู่ไม่มากนัก แต่มันก็ถูกทำให้รู้สึกซาบซึ้ง มันต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นโดยไว เพื่อที่จะได้ปกป้องผู้เป็นนายของมัน แต่… จะเปลี่ยนเป็นแกร่งขึ้นได้อย่างไร ?
ใช่แล้ว!
ความสมบูรณ์แบบ ถ้าหากว่ามันได้กลายเป็นกระบี่ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา มันจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
แต่มันนั้นมีจิตสำนึกเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรมันก็นึกไม่ออกว่าส่วนที่เหลือของตัวมันนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ “แม่สาวน้อย เพียงเวลาแค่สามวันเจ้าก็ทำสำเร็จแล้ว เจ้า…” คิ้วของปรมาจารย์ไป๋สั่นระริก
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเรียบ “เมื่อเทียบกับท่านแล้วยังอีกห่างไกลนัก โชคดีที่กระบี่มังกรเพลิงของข้ามิได้รังเกียจ ข้าขอไปลองกระบี่ก่อนแล้วกัน”
แม้กระบี่มังกรเพลิงจะไม่รังเกียจ ทว่าคุณภาพของมันก็เลวร้าย กระบี่เล่มนี้ยังคงใช้ได้เพียงครั้งเดียวเหมือนเดิม นี่มันช่างน่าเศร้าใจ แต่นางทำได้เพียงต้องยอมรับมัน รอให้ถึงตอนที่ไปสำนักศึกษาซวนเสียเสียก่อน นางจะไปหาอาจารย์ใหญ่แล้วค่อยคิดหาวิธี หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้น กระบี่มังกรเพลิงคงไม่ต้องเป็นกระบี่ที่ใช้ได้เพียงทีละครั้งอีกต่อไป
มู่เฉียนซีหยิบปลายกระบี่ขึ้นมา “ตีตัวกระบี่ขึ้นมาใหม่แล้ว แต่ปัญหาก็ยังไม่จบสิ้นไปทีเดียว สำคัญอยู่ที่ต้องหาตัวกระบี่ของเจ้าให้พบ” รอจนเมื่ออิทธิพลของหอหมอปีศาจในทวีปเสียโจวแผ่ขยายไปในแดนใต้แล้ว นางจะส่งคนออกไปตามหาให้ดี ๆ
มู่เฉียนซีอยู่ร่ำเรียนกับปรมาจารย์ไป๋ต่ออีกหนึ่งวัน และได้แก้ไขข้อบกพร่องที่ยังมีอยู่ในผลงาน ส่วนปรมาจารย์ไป๋นั้น รู้สึกเหมือนว่าหลายวันมานี้ราวกับได้ใช้ชีวิตอยู่ในความฝันก็มิปาน เขารู้สึกชื่นชมสาวน้อยมู่มาก
นางเก่งจริง ๆ!
“สี่วัน เพียงสี่วันเจ้าก็ได้กลายเป็นนักหลอมอาวุธขั้นต้นแล้ว ฮ่า ๆ ๆ หากไอ้พวกแก่ไม่รู้จักตายนั่นรู้ว่าข้าได้สั่งสอนคนผู้หนึ่งจนกลายเป็นนักหลอมอาวุธขั้นต้นได้ในเวลาเพียงสี่วัน ข้าว่าพวกนั้นทุกคนคงตกใจจนแทบจะมุดเข้าไปในท้องมารดาตัวเองเลยเชียว”
ปรมาจารย์ไป๋นั้นกล่าวเกินไป มู่เฉียนซียิ้มแห้ง ๆ “ท่านปรมาจารย์ไป๋ ข้าจะกลับไปที่สำนักศึกษาแล้ว ท่านช่วยไปซื้อวัสดุให้ข้าได้หรือไม่ เอาแบบที่ดีที่สุด”
อย่างไรเสียก็ยังหาตัวปรมาจารย์ผู้หลอมอาวุธในตำนานอย่างอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาซวนเสียไม่พบเสียที หากนางจะใช้กระบี่ที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็ต้องหลอมตัวกระบี่ใหม่เช่นนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าตนเองจะสามารถหลอมอาวุธได้ นั่นก็เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรมิใช่น้อยเลย “สิ้นเปลืองนัก!” ปรมาจารย์ไป๋กล่าวอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็มิได้ห้ามยั้งนางเอาไว้ เด็กสาวผู้นี้สามารถหลอมอาวุธได้ ถึงต่อให้สิ้นเปลืองมากกว่านี้ นางก็หาเลี้ยงตัวเองได้
โม่ซางคงพบว่ามู่เฉียนซีกลับมาที่สำนักศึกษาด้วยอารมณ์ที่ดียิ่ง จึงกล่าวถามขึ้น “แม่นางมู่ กระบี่ของเจ้าตีเสร็จแล้วงั้นสิ ? ถึงได้เบิกบานมาเช่นนี้”
“อย่าไปพูดถึงมันเลย” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหน่ายใจก่อนจะเอ่ยถาม “ว่าแต่เจ้ารู้จักอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาซวนเสียหรือไม่ ?” เป้าหมายของนางที่จะไปยังสำนักศึกษาซวนเสีย จากเดิมทีที่จะไปเพื่อหาตำรากับค่ายกลวิญญาณ มาบัดนี้เป้าหมายที่จะไปนั้น เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้วนั่นก็คือ ขุดเอาตัวอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาซวนเสียออกมา
โม่ซางคงตะลึงงัน “ปรมาจารย์ไป๋ไม่สามารถตีขึ้นมาได้ จึงต้องไปหาอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาซวนเสียงั้นรึ ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม! ถ้าหากว่าเขาก็ไม่มีหนทาง เช่นนั้นทั้งทวีปเสียโจวก็คงไม่มีใครที่ช่วยข้าได้แล้วล่ะนะ”
“อาจารย์ใหญ่ซวนเสียนั้นเป็นบุคคลลึกลับมาโดยตลอด หากคิดที่จะหาข่าวเกี่ยวกับเขา จะต้องเข้าไปที่สำนักศึกษาซวนเสีย”
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม นั่นคงจะใช้เวลาอีกไม่นานเท่าไรนัก”
โม่ซางคงถามขึ้น “อาจิ่นมาเปิดหอหมอปีศาจที่เมืองหนานเฟิงแล้ว เจ้าจะไปดูสักหน่อยหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซียิ้มอย่างไร้อารมณ์ “เป็นเจ้าของกิจการมีสิทธิ์ทิ้งร้านได้ ขอแค่เพียงฝึกบำเพ็ญให้ดีก็พอแล้ว ที่เหลือให้เขาจัดการให้ดี ๆ ล่ะ”
โม่ซางคงแสยะยิ้ม ณ ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจอาจิ่นแล้ว เขานั้นต้องมาพบกับเจ้านายที่ขี้เกียจจะสนใจเรื่องใดอย่างนี้ เฮ้อ…
มู่เฉียนซีไม่ได้ไปหาโม่จิ่น แต่ปรากฏว่าโม่จิ่นกลับมาหานางถึงที่
“แย่แล้วนายท่าน! ที่หอหมอปีศาจของเรามีคนป่วยด้วยโรคประหลาดเข้ามา นักปรุงยาที่หอล้วนแต่อับจนหนทาง ทำได้เพียงมองเขาใกล้ตายอยู่ที่หอหมอปีศาจของเรา”