หอหมอปีศาจเพิ่งเปิดกิจการวันแรกที่เมืองหนานเฟิง หากปล่อยให้มีคนมาตายในร้าน เช่นนั้นจะมีผลกระทบที่ไม่ดีเอาได้
มู่เฉียนซีกล่าวทันที “นำทางไป”
“ขอรับ”
เมื่อมู่เฉียนซีขึ้นไปบนตึกแล้วเห็นผู้ที่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียง นางก็แสยะยิ้มเล็กน้อย ทำให้โม่จิ่นฉงนสงสัยจนต้องเอ่ยถามขึ้น “นายท่าน ผู้ป่วยผู้นี้ทำไมหรือ ?” ปรากฏว่าเขาเห็นเจ้านายของตนมิได้รักษาไข้และมิได้ให้ยาใด นางกลับไปวุ่นวายอยู่ในครัว
กลิ่นหอมลอยโชยมา เมื่อได้ดมแล้วช่างทำให้หิวกระหายดีจริง ๆ โม่จิ่นกล่าวขึ้น “หอมนัก ข้านั้นนึกไม่ถึงเลยว่าฝีมือในการปรุงอาหารของนายท่านจะดีเช่นนี้”
“ไม่ใช่สิ! คนไข้มาอยู่ตรงหน้า แต่ทำไมนายท่านถึงไปทำอาหารอยู่ในครัว ?” ไม่ว่าจะขบคิดอย่างไรโม่จิ่นก็ไม่เข้าใจ ทว่าทันใดนั้น เขารู้สึกถึงลมกระโชกแรงจากรอบด้าน คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนดั่งหมูที่ตายแล้วกลับหายตัวไปเสียอย่างนั้น
“อ้าว! ไปไหนแล้ว ?” โม่จิ่นตามไปยังห้องครัว เขาได้เห็นภาพผู้ป่วยผู้นั้นกำลังถือถ้วยข้าวไว้ในมือแล้วกินข้าวประหนึ่งเหมือนหมาป่าหิวโซอดอยากมาเป็นเดือน
“ฮือ! สาวน้อย ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ ข้านั้นหิวจะตายไส้จะขาดอยู่รอมร่อแล้ว!”
“ดีนะที่เจ้ามา หากเจ้ายังไม่มาอีก ข้าก็ไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ”
ในตอนนี้โม่จิ่นกวาดตามองสำรวจชายผู้นั้น ถึงแม้ชุดสีขาวของเขาจะเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ใบหน้าอันงดงามกลับไม่มีฝุ่นเกาะอยู่เลย
ความสง่างามนั้นยอดเยี่ยมราวกับเทพเซียนแห่งเมฆา
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “เช่นนั้นแล้วเจ้าจึงได้มาแกล้งตายที่หอหมอปีศาจของข้า แกล้งพวกเหล่านักปรุงยานั้นเล่น จากนั้นก็ให้พวกเขาเชิญข้ามางั้นรึ ?”
“ฮ่า ๆ ๆ อุบายชั้นยอดของข้าถูกเจ้าอ่านออกแล้วสินะ”
ข้าวในถ้วยนั้นได้ถูกเขากินจนเกลี้ยง จวินโม่ซีรีบกล่าวขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “สาวน้อย ข้าจะเอาอีก ข้านั้นหิวมาได้ครึ่งปีแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “เห็นแก่การที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ วันนี้ข้าจะไม่ถือสาอะไรกับเจ้าหรอก” มู่เฉียนซีเข้าไปเตรียมอาหารให้เจ้าตะกละตะกลามต่อ เขาสามารถหนีตายมาจากมือของเจ้าเฒ่านั่นได้ แล้วยังรอนแรมมาถึงทวีปเสียโจวอย่างปลอดภัยและหาตัวนางพบ นี่เป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
ไม่ได้กินข้าวมาครึ่งปีแล้วยังมีชีวิตอยู่รอด!
โม่จิ่นนั้นไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของพวกเขาเลย ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว คนผู้นี้คงจะเป็นมิตรสหายที่ดีอย่างมากของนายท่าน มิเช่นนั้นแล้ว นายท่านที่มีสีหน้าและจิตใจอันแสนเย็นชา จะไม่ทำตัวอบอุ่นเช่นนี้แน่
ปริมาณอาหารที่เจ้าตะกละจวินโม่ซีกินเข้าไปนั้น ทำให้มู่เฉียนซีเกิดความรู้สึกอยากจะจับเขาโยนออกไปจากหอหมอปีศาจเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทว่า… มู่เฉียนซียิ้มตาหยี “เจ้า เจ้ากินของข้าใช้ของข้าแล้วยังทิ้งตัวลงนอนทำขี้เกียจอีกนะ เจ้าหนีไม่พ้นแน่”
จวินโม่ซีกล่าวขึ้น “มีให้ดื่มมีให้กิน ข้ายังไม่ได้คิดที่จะหนีเลย เจ้าอย่าห่วงไปเลยหน่า”
“โม่จิ่น” มู่เฉียนซีถอนหายใจพลางกวักมือเรียกโม่จิ่น
“ข้าขอแนะนำสักหน่อย คนตะกละผู้นี้คือหัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจ จากนี้ไปเรื่องของการค้าเจ้าเป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องการปรุงยานั้นให้เขาจัดการ”
หากเป็นเช่นนี้ นางจะยิ่งสบายมากขึ้นกว่าเดิม ได้กลายเป็นเถ้าแก่ที่ไม่ต้องสนใจกิจการอันใดได้ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าจวินโม่ซีจะสามารถอยู่ที่นี่ได้นานสักเท่าไรก็ตาม จวินโม่ซีไม่มีความคิดเห็นแต่อย่างใด ขอแค่มีอะไรอร่อย ๆ ให้เขากิน แม้จะต้องขายแรงงาน เขาเองก็ยอม!
โม่จิ่นกล่าว “เขาเป็นหัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจงั้นหรือ…?”
อายุอานามของเขาดูเหมือนจะเพิ่งยี่สิบกว่าปีเอง หรือว่าบนโลกนี้นอกจากนายท่านของพวกเขาที่วิปริตแล้ว ยังจะมีอีกคนหนึ่ง!
แต่ว่า… เจ้าหมอนี่กินมากกว่าหมู เขาจะเป็นนักปรุงยาที่น่าเชื่อถือได้หรือ ?
มู่เฉียนซีกล่าว “จวินโม่ซี ดูเหมือนลูกน้องข้าจะรู้สึกว่าเจ้ากินเอาเสียจนทำให้หอหมอปีศาจถึงกับจนไปได้เลย ที่สาขาใหม่นี้ไม่ได้มีรากฐานมั่นคงสักเท่าไร เจ้าต้องช่วยข้าให้มากเข้าหน่อยแล้วกัน”
เมื่อก่อนได้พึ่งพาทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่ทำให้อยู่สบาย แต่มาวันนี้เมื่อยู่ที่เสียโจว สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน โชคดีที่โม่จิ่นผู้นี้เป็นผู้อาวุโสที่สามของตำหนักโม่อวี่ ชื่อเสียงของเขายังคงมีประโยชน์อยู่บ้าง
โม่จิ่นสุดกังวล
เดิมทีนายท่านเป็นพวกฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว ใช้เงินใช้ทองซื้อสมุนไพรวิญญาณครั้งหนึ่งต้องใช้ถึงพันตำลึงทอง มาวันนี้กลับมีไอ้เจ้าคนตะกละกินจุได้เหมือนมีท้องเป็นทะเลโผล่มา นี่… “เพื่อที่จะได้มีการกินที่ดี ข้าเองก็จะไม่เชื่องช้าในการทำงาน เจ้าวางใจได้เลย” จวินโม่ซีกล่าวให้คำมั่น
มู่เฉียนซีมองโม่จิ่นก่อนจะกล่าวว่า “หอหมอปีศาจมีบุคคลสำคัญสองคน หนึ่งคือหมอปีศาจมู่ซี อีกหนึ่งคือหัวหน้านักปรุงยาจวินโม่ซี โม่จิ่น เจ้าจงจำเอาไว้ด้วยล่ะ”
โม่จิ่นเองก็เป็นคนฉลาดหลักแหลม แน่นอนว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าวมา นายท่านกำลังบอกเขาว่า ตำแหน่งหัวหน้านักปรุงยานี้เท่าเทียมกับตำแหน่งของเขาโดยสมบูรณ์
ตำแหน่งของคนผู้นี้ ในใจของนายท่านนั้นถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก! เมื่อได้เจอจวินโม่ซีที่หนีตายรอดมาได้ มู่เฉียนซีจึงมิได้รีบร้อนกลับไปนัก นางยังได้ไปซื้ออาหารอันเลิศรสในเมืองหนานเฟิงมาอีกหลายชนิดเพื่อปลอบใจเจ้าหมอนี่ และอยู่ฟังเขาเล่าเรื่องราวของการหนีเอาชีวิตรอดมา
“ข้าบรรลุขั้นมหาจักรพรรดิและจัดการเจ้าเฒ่านั้นสิ้นซาก จากนี้ข้าต้องระวังตัวมิให้ถูกพบเจอ แต่ข้าสามารถช่วยเจ้าจากมุมมืดได้นะ”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว “อืม ต้องมีสักวันที่หอหมอปีศาจพัฒนาแกร่งกล้าขึ้นมา เราจะทำให้เจ้าพวกหุบเขาหมอเทวดาหน้าโง่ไม่มีที่ยืนอยู่ได้ในแดนใต้ เหอะ ๆ”
จวินโม่ซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ใช่แล้ว พวกเราถูกพวกนั้นตามฆ่าชนืดที่ว่าจะให้พวกเรากินอิ่มนอนหลับกันหน่อยไม่ได้เลย ฉะนั้นแล้วการถอนรากถอนโคนพวกมันเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
มู่เฉียนซีถามย้อนกลับไป “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าตอนที่เจ้าลี้ภัยไปอยู่หุบเขาหมอเทวดา หลังจากนั้นก็ถูกพวกนั้นลอบทำร้าย เช่นนั้นผู้ที่ฆ่าล้างตระกูลโอสถใหญ่ทั้งสามนั้น คือใครรึ ?” ดวงตาของจวินโม่ซีหรี่ลงทันใด สายตาคมกริบของเขามองไปที่มู่เฉียนซีพร้อมกล่าวขึ้น “ข้าเองก็ไม่รู้ ทว่าพลังอำนาจเช่นนั้น แม้จะเป็นหุบเขาหมอเทวดา แต่เมื่อไปอยู่ต่อหน้าพวกนั้นก็ประหนึ่งเป็นมดปลวก แม่สาวน้อยเจ้าจะต้องระวังตัวนะ อย่าได้ให้เรื่องหม้อเทพนิรันดร์ของเจ้าเผยแพร่ออกไปเป็นอันขาดเชียว”
มู่เฉียนซีตอบรับ “อืม ข้าเข้าใจ”
มิใช่แค่เพียงหม้อเทพนิรันดร์เท่านั้น ในมือของนางนั้นยังมีสิ่งของที่เหมือนเผือกปิ้งร้อนมืออยู่อีกไม่น้อยเลย
ดังนั้น นางจึงต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็ว มิเช่นนั้นจะไม่สามารถรักษาสิ่งที่ตนเองห่วงหวงเอาไว้ได้ หรือแม้แต่ชีวิตของตนเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้
ในสายตาของผู้อื่น ของศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามีพลังที่แข็งแกร่ง ทว่าสำหรับนางแล้วมันต่างกัน อาถิงผู้เป็นศาลานิรันดร์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีปัญหาปากเสียงกันบ้าง บางครั้งลิ้นที่เป็นพิษของเขาก็ทำให้นางอยากตีเขาให้ตาย แต่เขากลับเป็นคู่หูที่นางได้คบหากันตั้งแต่วันแรกที่ข้ามผ่านเข้ามายังโลกนี้
แหวนมังกรเทพวารี แม้มันจะไม่มีค่าสถานะ แต่มันก็ทำให้นางสามารถใช้พลังวิญญาณของธาตุวารีได้ อีกทั้งยังได้สอนนางถึงทักษะวิญญาณด้วย
หม้อเทพนิรันดร์ แม้มันจะเป็นปีศาจที่ไม่ค่อยปกติสักเท่าไร แต่ก็เป็นอาจารย์ที่ดีท่านหนึ่ง มันมีส่วนทำให้นางได้เข้าไปในโลกของโอสถที่ลึกลับยิ่งขึ้น
ผู้พิทักษ์นิรันดร์สุ่ยจิงอิ๋ง นางเป็นสตรีผู้มีความอ่อนโยน เมื่อได้พบเห็นเป็นครั้งแรกก็ชอบนางเป็นอย่างมาก
หากว่าทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ต้องการที่จะหานายคนใหม่อีกครั้ง นางก็จะมิรั้งเอาไว้ แต่ถ้าหากว่ามีผู้โลภมากที่อยากจะได้ไปโดยที่พวกนั้นไม่ยินยอม นางก็ไม่ยินยอมเด็ดขาด โม่ซางคงลาหยุดกับทางสำนักศึกษาไปหนึ่งวัน วันนี้เขามาหานางถึงที่
“แม่นางมู่ วันนี้ที่สำนักศึกษาเปิดการประชุมสำคัญ นักเรียนทั้งหมดต้องเข้าร่วมงาน เจ้าต้องกลับไปที่สำนักศึกษาแล้วนะ”
มู่เฉียนซีตอบ “อ้อ ได้ ข้าจะไป”
ใกล้ถึงเวลาสอบคัดเลือกเข้าสำนักศึกษาซวนเสียแล้ว การประชุมใหญ่ในครั้งนี้คงจะเกี่ยวกับการทดสอบที่สำนักศึกษาซวนเสีย แน่นอนว่านางจะไม่ขาดประชุม
มู่เฉียนซีหันหลังกลับเตรียมจะจากไป ในตอนนี้เอง เงาร่างสีขาวพลันพุ่งกระโจนเข้ามา สายตาคู่หนึ่งจ้องมองมู่เฉียนซีตาปริบ ๆ แล้วกล่าวขึ้น “สาวน้อย อย่าไปเลย ข้าหิวข้าว…” “หิว ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
“ให้เด็กรับใช้ในหอไปซื้ออะไรให้เจ้ากินสิ ข้ามีธุระต้องไปก่อนล่ะ”
“สาวน้อยใจดำ เมื่อใช้ข้าเสร็จก็ทิ้งขว้างข้า ข้าเกลียดเจ้า!”
โม่ซางคงยิ้มก่อนจะถามขึ้น “ท่านผู้นั้นเป็นใครรึ ?”
“หัวหน้านักปรุงยาแห่งหอหมอปีศาจของข้าเอง”
‘หัวหน้านักปรุงยา!’ โม่ซางคงเบิกตากว้าง คนวิกลจริตเช่นนี้ ช่วงนี้เขาได้พบเจอมากอยู่พอดู
หัวหน้านักปรุงยาที่อายุน้อยเช่นนี้ หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาคงเหนือกว่านักปรุงยาระดับสูง เกรงว่าเขาคงเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการปรุงยา
ที่การประชุมของสำนักศึกษา มู่เฉียนซีและนักเรียนคนอื่น ๆ ในรุ่นล้วนมาถึงกันหมดแล้ว ไม่นานนัก อาจารย์ใหญ่ก็ได้ก้าวขึ้นไปบนเวทีและเริ่มกล่าว “ที่เรียกทุกคนมาในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจะประกาศ พวกเจ้าทุกคนล้วนแต่รู้ว่าวันของการสอบเข้าสำนักศึกษาซวนเสียใกล้เข้ามาโดยเหลืออีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว ฉะนั้นพวกเราจึงตัดสินใจ…”