บุตรชายของตนยังสามารถรอดชีวิตได้ นี่ทําให้สิงโตทองรู้สึกตื่นเต้นมาก มันถามขึ้นว่า “เจ้าต้องการอะไรล่ะ ? แก่นวิญญาณของข้า ร่างกายข้า หรือต้องการให้ข้าเป็นสัตว์พันธสัญญาของเจ้า”
มู่เฉียนซีนึกถึงแก่นวิญญาณของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ อู๋ตี้ต้องชอบกินอย่างแน่นอน มันมีประโยชน์ต่อการเลื่อนระดับขึ้นอย่างมาก
ทว่า… การมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เป็นสัตว์พันธสัญญาสักตัวหนึ่ง นั่นมันก็ดูน่าเกรงขามมากเช่นกัน แต่นางก็ไม่อยากบังคับมัน
มู่เฉียนซีชี้พืชสีเขียวที่อยู่ด้านข้างแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการหญ้าหัวใจมรกต สมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีนี้”
สิงโตทองกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าเพียงแค่ต้องการสิ่งนี้เองรึ ?”
“ใช่ ข้าต้องการสิ่งนี้”
สิงโตทองเอ่ย “ข้าปกป้องสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีขั้นสูงนี้มาโดยตลอด รอให้มันเติบโตขึ้นมาเพื่อจะได้เพิ่มความแข็งแกร่งของตัวข้าเอง แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งที่จะเพิ่มขึ้นของข้ามันเทียบไม่ได้เลยกับลมหายใจลูกข้า อืม ข้าตกลง”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างพึงพอใจ “ได้ เช่นนั้นข้าจะเริ่มการรักษาประเดี๋ยวนี้เลย”
สิงโตน้อยนอนหมดสติ มู่เฉียนซีจึงฉีดยาที่ทำให้ชาสองสามเข็มเพื่อให้มันสลบไสลต่อไป ขั้นตอนต่อมาคือการรักษา นางทำการต่อกระดูก เย็บแผล พันแผล ใส่ยา ฉีดยา ให้กินยา ทุกอย่างล้วนทําอย่างเบามือจนเสร็จสิ้น
สิงโตทองรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สาวน้อยมนุษย์ผู้นี้ไม่ได้โกหก นางช่วยคนได้ดีกว่าฆ่าสังหารคน ทุกสิ่งที่นางทํานั้นสมบูรณ์แบบราวกับการแสดง
มู่เฉียนซีเก็บหญ้าหัวใจมรกต แล้วนำไปปลูกในมิติอย่างดี
เมื่อหาหญ้าหัวใจมรกตพบแล้ว ดูเหมือนว่าการหาสมุนไพรวิญญาณที่ยาหยินหยางไร้ขั้นต้องการนั้น คงไม่ใช่งานที่เป็นไปไม่ได้
นางสามารถทําได้อย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง สิงโตน้อยก็ฟื้นขึ้นมา แม้ขาของมันจะยังไม่สามารถขยับได้ แต่เมื่อได้เห็นแม่ของตนอยู่ด้านข้าง มันตื่นเต้นอย่างมาก
สิงโตทองกล่าวว่า “มนุษย์ ข้าไม่รู้จะขอบใจเจ้ายังไงดีเลย ที่เจ้าช่วยลูกข้าไว้เช่นนี้”
มู่เฉียนซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางกล่าว “เจ้าบ้านั่นลงมือทำให้เจ้าสิงโตน้อยได้รับบาดเจ็บหนักเกินไป เจ้าหนูยังจำเป็นต้องใช้ยารักษาอาการบาดเจ็บ ถ้าเจ้ายอมเอาสมุนไพรวิญญาณมาจ่ายให้ข้าเป็นค่ารักษาละก็ ข้าจะรับไว้ด้วยความยินดี”
ตอนนี้นางอยู่ในใจกลางของป่าทมิฬ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามหรือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ที่โหดเหี้ยมปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ สถานที่แบบนี้มีน้อยคนนักที่จะเข้ามา ที่นี่ต้องมีสมุนไพรวิญญาณอยู่มากอย่างแน่นอน
สิงโตทองกล่าวขึ้น “ข้าเป็นหนึ่งในราชันย์แห่งป่าทมิฬ ต้องการสมุนไพรวิญญาณสักหน่อยไม่ใช่เรื่องยาก โปรดรอสักครู่!”
หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน สิงโตทองก็ส่งสมุนไพรวิญญาณมากมายออกมาให้
ดวงตาของมู่เฉียนซีเป็นประกายด้วยความปีติยินดี นี่มันหลากหลายมากจริง ๆ ทว่าสมุนไพรวิญญาณจำนวนย่อม ๆ นี้ สำหรับนางแล้ว มันก็ยังไม่ได้ถือว่ามากมายอะไรนัก นางยิ้มให้เจ้าสิงโต “นี่ ๆ พวกเรามาทําข้อตกลงกันดีหรือไม่ ?”
“ข้อตกลงอะไรรึ ?”
“อืม… เจ้าประกาศกับสัตว์วิญญาณในป่าทมิฬ บอกกับพวกมันว่าเจ้าสามารถใช้สมุนไพรวิญญาณเพื่อแลกกับยาที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าได้ และผลลัพธ์ที่ได้มันดีกว่าการแทะสมุนไพรวิญญาณโดยตรงนับครั้งไม่ถ้วน”
“จริงรึ ?” สิงโตทองถามขึ้น
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ข้าอยู่ในอาณาเขตของเจ้าแล้ว หากว่าข้ากล้าพูดจาใหญ่โตเพียงเพราะประสงค์จะโกหกเจ้า พวกเจ้าจะไม่กลืนกินข้าหรือไร ?”
“ได้ ข้าจะไปบอกพวกเขาเดี๋ยวนี้”
พวกมันส่งสมุนไพรวิญญาณจํานวนมากมาให้ และหลังจากที่พวกมันได้กินยาที่มู่เฉียนซีมอบให้ ผลที่ได้มันช่างมีประโยชน์ดีอย่างยิ่ง
หากไร้ประโยชน์ก็แปลกแล้ว มันเป็นยาที่ช่วยในด้านการฝึกฝนของเหล่าสัตว์วิญญาณซึ่งมีบันทึกอยู่ในตําราหม้อเทพนิรันดร์ แม้มันจะเป็นแค่ระดับต่ำสุด แต่ก็เพียงพอสําหรับพวกมัน
ข่าวใหญ่เช่นนี้แพร่สะพัดไปทั่วป่าทมิฬแทบจะในทันใด ณ ตอนนี้สัตว์วิญญาณในป่าทมิฬไม่ทะเลาะกันแล้ว แต่ละตัวต่างกวาดตามองหาสมุนไพรวิญญาณกันทั้งนั้น
ป่าทมิฬแห่งนี้ เรียกได้ว่าถูกมู่เฉียนซีผูกขาดไว้หมดแล้ว
มู่เฉียนซีอยู่ในอาณาเขตของสิงโตทองเพื่อปรุงยาและเพื่อทรมานเนตรอำมหิต แล้วนางยังรอให้สมุนไพรวิญญาณล้ำค่าจํานวนมากมาส่งถึงมือด้วย ชีวิตของนางในช่วงนี้มีแต่เรื่องน่ายินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
…
วันแล้ววันเล่าผ่านไป อาการของเจ้าสิงโตน้อยผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บดีขึ้นมาก ในที่สุดมันก็กลับมาเดินได้ดังเดิม
มู่เฉียนซีนับวัน จู่ ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่โต
ซวยแล้ว!
ด้วยเพราะเวลาที่อยู่ในป่าทมิฬสุขสบายจนเกินไป นางได้มีความสุขอยู่ท่ามกลางสมุนไพรวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เหล่าสัตว์หามาให้ จึงพาลลืมเวลาไปเสียสนิทเลย
คํานวณเวลาดู เหมือนว่าวันนี้ถึงเวลาลงทะเบียนของสํานักศึกษาซวนเสียแล้ว การทดสอบจําลองของสํานักศึกษาของพวกเขาจบลงไปนานแล้ว นางต้องรีบกลับสํานักศึกษา ไม่เช่นนั้นจะพลาดการทดสอบของสํานักศึกษาซวนเสีย
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ข้าจำเป็นต้องไปแล้ว หากว่าพวกเจ้ายังเก็บสมุนไพรวิญญาณได้ก็เอามาวางไว้ที่นี่ก่อน ถึงเวลาข้าจะส่งคนไปเอายามาให้”
“อ้อ และเจ้าบ้านั่นก็ใกล้ตายแล้วด้วย ถ้าเจ้าต้องการแก้แค้นก็ฆ่ามันซะเลย”
“ไปก่อนนะ ข้าต้องรีบกลับไปก่อนล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนท่านมู่ ข้าจะไปส่งท่านเอง ในป่าทมิฬแห่งนี้ ข้ารวดเร็วที่สุดเลยนะจะบอกให้”
ขณะนั้นเอง มีอินทรีปีกดําปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามที่มาเสนอไปส่งมู่เฉียนซีด้วยน้ำใจ
ไม่นานมานี้ มันติดอยู่ที่จุดสูงสุดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสองมาเกือบพันปี แต่หลังจากที่มันนําสมุนไพรวิญญาณจํานวนมากออกมาให้มู่เฉียนซีเพื่อแลกกับยาเม็ด มันก็สามารถทะลวงผ่านไปอีกระดับได้สำเร็จ มันรู้สึกขอบคุณมู่เฉียนซีอย่างมาก
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นขณะที่ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้เจ้าอินทรีปีกดำ “ได้เลย ขอบใจมากนะ”
มู่เฉียนซีนั่งลงบนร่างของมัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ป่าหนานเฟิงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
…
สํานักศึกษาหนานเฟิงในเวลานี้ ทุกสํานักศึกษามารวมพลกันเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังใจกลางเมืองเสียโจว
ผู้เป็นท่านอาจารย์ใหญ่เอ่ยขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ”
โม่ซางคงกล่าวขึ้นเช่นกัน “เดี๋ยวก่อนอาจารย์ใหญ่ เสี่ยวซียังไม่มาเลย”
เมื่อเอ่ยถึงมู่เฉียนซี หลายคนก็ถอนหายใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในตอนนั้น ทุกคนล้วนถอยทัพแต่มู่เฉียนซีไม่ได้กลับมา
อาจารย์ใหญ่ “ข้าส่งคนมากมายไปตามหานางแล้ว นอกจากเขตพื้นที่อันตรายที่มีพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ครองอยู่ ที่อื่นพวกเราก็ล้วนไปหามาแล้วทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของนาง เกรงว่านางคง…”
อาจารย์ผู้คุมสอบสองคนของมู่เฉียนซีรายงานว่ามียอดฝีมือแข็งแกร่งผู้หนึ่งทําร้ายพวกเขาจนสลบไป และมู่เฉียนซีก็ตกอยู่ในกํามือของเขาผู้นั้น เห็นทีคงไม่มีทางรอดชีวิตมาได้
เขาเสียใจมาก สำหรับสํานักศึกษาหนานเฟิงของพวกเขา มู่เฉียนซีถือเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบร้อยปี น่าเสียดายจริง ๆ…
ทันใดนั้น เงาร่างสีขาวหลายร่างปรากฏขึ้นตรงหน้าโม่ซางคง “นายน้อยขอรับ คนที่มาจากตําหนักโม่อวี่ก็ยังไม่พบคุณหนูมู่เลย ข้าเกรงว่านาง…”
“ไม่!!! ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อแน่ คนอย่างพี่ใหญ่มู่จะตายในป่าทมิฬได้ยังไงกันเล่า ?!” ฉินปาตะโกนก้อง
ในตอนนั้นเอง ร่างสีแดงเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ตายก็คือตาย ใครใช้ให้มู่เฉียนซีโชคร้ายเองล่ะ นางเป็นแค่ระดับราชา เจ้าคิดว่านางจะไร้เทียมทานในใต้หล้าและรอดชีวิตจากระดับมหาจักรพรรดิได้งั้นรึ ?”
“หึ ๆ ๆ ข้าจะบอกอะไรให้ ข้ารู้สึกว่านางไม่เพียงแต่ตายแล้ว แต่ยังน่าจะตายอย่างน่าสังเวชด้วย พวกเจ้าก็อย่าคาดหวังว่านางจะรอดชีวิตมาได้ล่ะ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้ว ถ้าพวกเจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าไปก่อนละกัน”
ชิงฮุ้ยเรียกสัตว์พันธสัญญาบินได้ตัวนั้นออกมา นางบินขึ้นไปบนอากาศในชั่วพริบตา
อาจารย์ใหญ่กล่าวอย่างปลง ๆ “เฮ้อ… โม่ซางคง ฉินปา เอาเป็นว่าข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก็แล้วกัน พวกเจ้าควรตั้งใจรับมือกับการสอบเข้าสํานักศึกษาซวนเสียต่อไปเถอะ”
“ขอรับ เช่นนั้นพวกเราก็จะออกเดินทางแล้ว”
ทันทีที่อาจารย์ใหญ่กล่าวจบ เปลวไฟจากไหนสักแห่งก็พุ่งเข้ามาปกคลุมชิงฮุ้ยและสัตว์พันธสัญญาของนาง
สายตาของเสี่ยวหงฉายแววมีชัย มันยืนอยู่ในอ้อมแขนของมู่เฉียนซีพลางกล่าวอย่างสะใจ “ฮ่า ๆ ๆ อุตส่าห์อดทนมาตั้งนาน ในที่สุดก็สามารถย่างเจ้านกตัวนี้ได้สักที”