“ใช่ ศิษย์ใหม่ผู้นี้ไม่รู้จักอะไรควรไม่ควร เขาพุ่งเข้าไปเจ็ดสิบอันดับแรกอย่างรวดเร็วและแย่งค่าพลังวิญญาณไปสะสมแต่เพียงผู้เดียวมากขนาดนี้ ช่างน่าฟันให้คอขาดเสียจริง!”
“ซัดมันให้ตาย!”
หลังจากส่งมู่เฉียนซี จิ่วเยี่ยเก็บซ่อนกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้พลางมองดวงตาดำคู่นั้นที่กำลังมองไปยังเวทีประลอง นางมองชายผู้หนึ่งถูกหมัดหนัก ๆ กระแทกหน้าจนเลือดสดไหลออกมาดูน่าสังเวช แต่ที่น่าทึ่งคือเขายังคงกัดฟันอดทนต่อไป
‘เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน นั่นคือฉินปา!’ มู่เฉียนซีตกใจ
ฉินปาที่นางรู้จักไม่ใช่คนโลภอยากจะเก็บเอาค่าพลังวิญญาณอย่างแน่นอน ที่เขาสู้ยิบตาแบบนั้นคงเป็นเพราะเขาชอบเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองในรูปแบบของการต่อสู้ซึ่งชอบเป็นพิเศษเสียด้วย มิเช่นนั้นคงไม่ไปท้าสู้ในสำนักศึกษาหนานเฟิงครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่แรก
แต่ถึงกระนั้น คู่ต่อสู้ของฉินปาเป็นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสองผู้เก่งกาจ ฉินปาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ดวงตาของอีกฝ่ายฉายแววเย็นเยือก เงาร่างพลันพุ่งออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ขาข้างหนึ่งฟาดเข้าที่หัวเข่าของฉินปาไม่ยั้งแรง
— แกร๊ก! —
กระดูกหัวเข่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ฉินปาล้มลงกับพื้นทันที
“เหอะ! เจ้ามันก็แค่ขยะ ยังจะกล้าอวดดีกับข้าอีก”
สีหน้าของคนกลุ่มนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก การได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็คงต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นครึ่งปีกระมัง
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววเย็นยะเยือก ฉินปาถูกคนแบกลงมาขณะที่นางกล่าวสวนขึ้นในทันใด “พาเขาไปที่ห้องฝึกบำเพ็ญ”
“หืม ศิษย์น้องคนงาม…”
“เจ้าตัวใหญ่นั่นช่างโชคดีจริง ๆ มีศิษย์น้องผู้งดงามเช่นนี้คอยเป็นห่วงเป็นใย”
“ใช่ การมีสาวงามคอยเป็นห่วง ต่อให้ต้องนอนบนเตียงครึ่งปีข้าว่าก็คุ้มค่า”
ทุกคนเริ่มพูดคุยกันจอแจ แต่อุณหภูมิโดยรอบเวทีประลองกลับลดต่ำลง
หมอยาของสำนักศึกษายังมาไม่ถึง มู่เฉียนซีจึงต้องหยิบยารักษาบาดแผลออกมาหลายเม็ดเพื่อให้ฉินปากิน ไม่เพียงเท่านั้น นางยังต่อกระดูก ทายาข้นเหนียว และช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นให้กับเขา
“ดูแลเขาให้ดีล่ะ” มู่เฉียนซีทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วเดินย่างสามขุมไปยังเวทีประลอง
หลังจากเอาชนะฉินปาแล้ว ซ่างกวนเม่าก็ชนะการประลองอีกครั้ง ตอนนี้เขาอยู่ในอันดับที่หกสิบหกแล้ว
มู่เฉียนซีท้าเขาออกมาสู้กันให้รู้ดำรู้แดง แววตานางมุ่งมั่นเกินไปจนเขาตกตะลึง มู่เฉียนซี หญิงหน้าอ่อนวัยผู้ไม่มีอันดับและเป็นศิษย์หน้าใหม่กลับกล้าท้าทายเขาที่อยู่อันดับหกสิบหกเสียได้
เมื่อครู่เขาลงมือกับเจ้าหัวโตนั่นไปหนักขนาดนั้น มันไม่ได้ทําให้ศิษย์หน้าใหม่ได้รับบทเรียนเลยรึ ?
แต่เดี๋ยวก่อน ชื่อของนางคุ้นหูนัก มู่เฉียนซี… อ้อ นางเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์หน้าใหม่นี่เอง มิน่าถึงได้โอหังขนาดนี้
ซ่างกวนเม่ายอมรับคําท้าของมู่เฉียนซี เมื่อการท้าประลองคู่ใหม่ถูกเปิดเผยออกมาให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ ทุกคนต่างตกตะลึง
“นี่มันมันจะดุดันเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! ศิษย์น้องหน้าใหม่ที่ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมถึงได้ไปท้าประลองกับซ่างกวนเม่า อันดับที่หกสิบหกได้”
“นางกล้าเกินไป รนหาที่ตายแท้ ๆ”
“นาง…”
เมื่อโม่ซางคงมาถึงสถานที่จัดงานประลอง เขาก็ได้ยินข่าวนี้ หลังจากสืบหาที่มาก็รู้ทันทีว่าเหตุใดมู่เฉียนซีถึงได้เลือกทําอย่างที่นางกำลังทำ
เขาถอนหายใจยาว เดินไปเยี่ยมฉินปาที่ได้รับบาดเจ็บหนักและรอให้การประลองเริ่มขึ้น
“ฮ่า ๆ ๆ แม่สาวน้อยคนงามลงมือแล้ว” ไป๋เหยียนหัวเราะชอบใจ
“ศิษย์น้องที่ไม่ลงมือมาเป็นครึ่งเดือนลงมือแล้ว ข้าจะไปเปิดวางเดิมพันเอาสนุกสักหน่อย ครั้งนี้จะต้องชนะและได้ค่าพลังวิญญาณมาไม่น้อยแน่” ฉินตั่วเอ๋อร์ยิ้มเจ้าเล่ห์
ไป๋เหยียนกล่าวขึ้นบ้าง “ใช่! คราวที่แล้วสาวน้ายตัวแสบนั่นทําให้พวกเราเสียเงินและถูกทำร้ายอย่างน่าสมเพชมาก ถึงเวลาที่เราจะเอาคืนบ้าง”
“การท้าประลองของมู่เฉียนซีกับซ่างกวนเม่าเริ่มขึ้นแล้ว!”
เมื่อผู้ตัดสินพูดเปิด ซ่างกวนเม่าปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลอง เขาเป็นชายร่างสูงผอมไม่เตี้ยไม่อ้วน หากไม่ใช่เพราะเห็นเขาลงมืออย่างโหดเหี้ยมเมื่อครู่ ใครต่อใครคงคิดว่าเขาเป็นพวกไก่อ่อนแน่ ๆ
จากนั้นบนลานประลองปรากฏเงาร่างบางขึ้นมาอีกหนึ่ง เรือนผมดำงามของนางถูกมัดไว้อย่างสบาย ๆ ปล่อยยาวลงเคลียช่วงเอวอย่างมีเสน่ห์เกินต้านทาน
ใบหน้างามดั่งรูปปั้นประณีตหาที่เปรียบมิได้เสมือนเป็นของหายากตามกาลเวลา ทันทีที่นางปรากฏกายก็ตามมาด้วยเสียงตื่นเต้นที่ไม่ขาดสายของเหล่าผู้คน
“สวรรค์โปรด! สำนักศึกษาเรามีศิษย์น้องที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าเพิ่งได้พบก็ตอนนี้เอง”
“ศิษย์น้องซ่อนตัวอยู่ลึกเกินไปหน่อยกระมัง ข้าเฝ้าฝึกฝนและศึกษาวิชามาตั้งนมนานยังไม่สังเกตเห็นนางเลย”
ศิษย์หน้าใหม่อันดับหนึ่งกลับเป็นหญิงงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ นี่เป็นสิ่งที่ซ่างกวนเม่าคาดไม่ถึงแม้แต่น้อย เขากล่าวออกมาว่า “ศิษย์น้องต้องการค่าพลังวิญญาณหรือชื่อเสียงแห่งการเป็นลำดับที่หกสิบหกหรือไม่ ? ถ้าเจ้าต้องการข้าสามารถถอยให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องเป็นผู้หญิงของข้า ฮ่า ๆ ๆ”
“บ้าไปแล้ว ?! ซ่างกวนเม่าไร้ยางอายนัก เขากล้าเอ่ยขอเรื่องแบบนี้บนเวทีประลองได้ยังไงกัน ?”
“ชิ! ค่าพลังวิญญาณของเจ้าหรือชื่อเสียงลำดับที่หกสิบหกจะมีอะไรน่าอัศจรรย์ใจ แม่นางน้อยคนงามอย่าได้ตอบตกลงเชียว” ศิษย์ผู้หนึ่งเอ่ยอย่างเจ็บใจ
“ใช่ ๆ ๆ” ตามมาด้วยเสียงสำทับของศิษย์อีกคน
ทุกคนในที่นั้นล้วนแต่ตื่นเต้นขึ้นมาจนมองข้ามจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวไป แต่โม่ซางคงที่ไวต่อความรู้สึกกลับรับรู้ได้ถึงพลังนั้นแล้ว
บุรุษน่ากลัวผู้นั้นอยู่ที่นี่ แต่เขากวาดตามองหาโดยรอบก็หาไม่เจอ ช่างแปลกประหลาดนัก
มู่เฉียนซีมองซ่างกวนเม่า นางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจจากไหนมาพูดเช่นนี้กับข้า หน้าตาก็งั้น ๆ ไม่ได้ดูดีเลยสักนิด ข้าไม่ชอบและไม่อยากเป็นผู้หญิงของเจ้า ถ้าเจ้าอยากเป็นผู้ชายของข้า อย่างน้อยก็ต้องเท่าเทียมกับข้าสักนิดหนึ่ง แต่นี่เจ้าห่างไกลมาก ข้าขอพูดตามตรง เจ้าหัดเจียมตัวซะบ้างเถอะ”
คําพูดของมู่เฉียนซีทําให้หัวใจของทุกคนในที่นี้แตกสลายไปตาม ๆ กัน ศิษย์น้องอย่างเจ้าขอมากไปหรือไม่ ?
ความต้องการสูงขนาดนี้ จะมีใครในสำนักศึกษาที่เหมาะสมกับความต้องการของนาง
หัวใจของพวกเขาแหลกสลายด้วยความสิ้นหวัง แต่จิ่วเยี่ยที่เดิมทีอยากเปลี่ยนคนทั้งสถานที่นี้ให้กลายเป็นโครงกระดูกขาวอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จิตสังหารเขาก็สงบลง
ซ่างกวนเม่าไม่เพียงแต่ถูกปฏิเสธแต่ยังถูกรังเกียจด้วยเพราะรูปลักษณ์อันยอดแย่ สีหน้าของเขาหม่นคล้ำลงทันตา
“ในใต้หล้านี้ ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือหน้าตาย่อมไม่สําคัญ พลังคือสิ่งสําคัญที่สุด”
“เหอะ! พูดออกมาได้ว่าความแข็งแกร่ง หึ ๆ ๆ ฮ่า ๆ” มู่เฉียนซีหัวเราะเยาะหยัน “ชายหน่อมแน้มเยี่ยงเจ้า ข้าสามารถจัดการได้ในกระบวนท่าเดียว เจ้ายังมีหน้ามาแสดงความแข็งแกร่งต่อหน้าข้าอีก” มู่เฉียนซีมองเขาด้วยสายตาหยามเหยียด
กระบวนท่าเดียว! นางพูดว่ากระบวนท่าเดียว!
ทุกผู้คนตะลึงลาน ศิษย์น้องผู้นี้หยิ่งยโสเกินไป
“ฮ่า เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถจัดการข้าได้ในกระบวนท่าเดียวรึ ? แหม แม่นางน้อย เจ้าอวดดีเกินไปหน่อยแล้ว ต้องบอกว่าข้าจัดการเจ้าได้ในกระบวนท่าเดียวมากกว่า”
มู่เฉียนซีไม่อยากเสียเวลากับคนน่ารำคาญนี้แล้ว นางหันไปมองผู้ตัดสินก่อนจะกล่าวว่า “ประกาศเริ่มการประลองเถอะ”
“ดะ… ได้ เริ่มการประลองได้”
ทันทีที่ผู้ตัดสินกล่าวเปิดการประลอง ทุกคนสัมผัสได้ถึงเงาของมู่เฉียนซีที่พุ่งผ่านไป เงาร่างนั้นรวดเร็วมาก ทว่าพลังวิญญาณที่แผ่ออกมากลับเป็นเพียงราชาแห่งภูตระดับเก้าเท่านั้น
“ราชาแห่งภูตระดับเก้า นางเป็นแค่ราชาแห่งภูตระดับเก้ากลับท้าประลองกับซ่างกวนเม่าได้ นี่มันช่าง…”
“ศิษย์ใหม่ขั้นราชาก็ไม่แปลกหรอก แต่ไม่ถึงขั้นจักรพรรดิกลับมาท้าประลองกับคนที่อยู่ในรายชื่อการต่อสู้จัดอันดับและยังท้าทายอันดับที่หกสิบหกอีก นางบ้าไปแล้ว!”
ไป๋เหยียนและคนอื่น ๆ ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ทุกคนถูกรูปร่างหน้าตาที่ดูบอบบางของสาวน้อยผู้นั้นหลอกเสียยับเยิน
สวรรค์รู้ดีว่าพลังการต่อสู้ของสาวน้อยผู้นี้น่ากลัวมากเพียงใด เมื่อรู้ระดับของมู่เฉียนซี ซ่างกวนเม่ามั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจ เขาหัวเราะร่วน มั่นใจเต็มที่ว่าตนชนะแน่
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์น้อง เจ้ามีพลังเพียงเล็กน้อยแค่นี้แต่กล้ามาท้าประลองกับข้าได้ ต่อให้ข้ายืนเฉย ๆ ให้เจ้าทุบตี ข้าผู้มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสองคอยปกป้องร่างกาย เจ้าไม่อาจทําร้ายข้าได้ข้าขอบอกไว้เลย หึ ๆ ๆ เข้ามาสิ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของข้าเอง”
เขาดูเหมือนคิดจะไม่ต่อสู้กลับจริง ๆ
มุมปากของฉินตั่วเอ๋อร์กระตุก “ซ่างกวนเม่าผู้นี้มีหลุมกลวงโบ๋อยู่ในหัวแน่ ๆ โง่เง่า!”
ไป๋เหยียนนึกถึงพลังของมู่เฉียนซีขณะที่มองไปยังซ่างกวนเม่าอย่างเห็นอกเห็นใจ ปากก็พึมพำ “เจ้าตายแน่ อย่างน้อยก็คงต้องนอนบนเตียงเป็นเวลาครึ่งปี แต่เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่นั้น”
ชั่วอึดใจของเหล่าผู้ชมดู เสียงเย็นเยือกดังออกมา
“ทักษะเทียนซวน!”