จิ่วเยี่ยราวกับสัตว์ร้ายที่เขมือบเหยื่อไม่อิ่มท้องก็มิปาน ทรมานมู่เฉียนซีจนนางเหนื่อยล้าไปทั้งตัว
นิ้วอันเรียวยาวของเขาลูบไล้ไปที่สัญลักษณ์ดอกบัวสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนั้น ทำให้มู่เฉียนซีสั่นสะท้านไปทั้งตัว
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “จิ่วเยี่ย เป็นอะไรไป ?”
เขายังคงลูบไล้อยู่ที่สัญลักษณ์ดอกบัวนั่นอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นไม่นานนักเขาก็เอ่ยปากกล่าวว่า “มีคนรู้แล้วว่าข้าอยู่แดนใต้ ข้าต้องไปแล้ว!”
“ไป ?” มู่เฉียนซีผงะไป
เคยชินกับการที่มีท่านอาจารย์ผู้รอบรู้และมีความสามารถท่านนี้อยู่ข้างกาย ตอนนี้พอได้ยินว่าเขากำลังจะจากไป ในใจก็รู้สึกผิดหวังขึ้น
ก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังอยากจะให้เขากลับไปจัดการเรื่องของเขา และตามหาคัมภีร์หมื่นคำสาป!
“แต่ข้าไม่ได้เห็นคนพวกนั้นอยู่ในสายตา เส้นทางการเติบโตของซี จะมาถูกพวกนั้นรบกวนไม่ได้” จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีไว้แน่นพลางกล่าว
มู่เฉียนซีหลับตาลง เอนกายพิงเขา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองดูดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้น
“จิ่วเยี่ย กลับไปเถอะ!”
มู่เฉียนซีเอ่ยปากบอกให้เขากลับไป จิ่วเยี่ยกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ กลิ่นอายพลันเปลี่ยนไปและทวีความเย็นยะเยือกมากขึ้น
“รีบกลับไป และทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาคัมภีร์หมื่นคำสาปให้เจอ รอหลังจากที่ข้ารักษาเจ้าหายดีแล้ว ข้าก็จะคิดค่ารักษาจากเจ้าไงล่ะ!”
มู่เฉียนซีจับไหล่จิ่วเยี่ย จากนั้นก็จูบลงบนริมฝีปากที่บอบบางของเขา “ค่ารักษาที่ข้าต้องการ เจ้ารู้ว่ามันคือสิ่งใด ตอนนี้ต่อให้เจ้าคิดจะเปลี่ยนใจ ข้าก็ไม่อนุญาต!”
ตุบ! ร่างอันเพรียวบางของจิ่วเยี่ยกดทับอยู่บนร่างของนาง และยิ่งจูบนางอย่างลึกซึ้งขึ้น
หลังจากที่ริมฝีปากของทั้งสองแยกออกจากกัน เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “ข้าไม่มีวันเสียใจทีหลังเด็ดขาด รอหลังจากที่ข้าพ้นจากอันตราย ร่างกายทั้งร่างของข้า จะมอบให้กับเจ้า”
“ดี!”
อาลัยรักกันมาเป็นเวลาหนึ่งคืน หลังจากที่มู่เฉียนซีหลับไป เขาก็กระซิบข้างหูมู่เฉียนซีว่า “ยามใดที่เจ้าคิดถึงข้า ก็ให้สุ่ยจิงอิ๋งส่งข้ามาหาเจ้า!”
มู่เฉียนซีตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียว่า “อืม! ข้ารู้แล้ว”
“หากข้าคิดถึงเจ้า ไม่ว่าตอนนั้นเจ้าจะทำสิ่งใดอยู่ ข้าก็จะให้สุ่ยจิงอิ๋งพาเจ้ามาหาข้า ถึงอย่างไรข้าก็คือนายท่านของสุ่ยจิงอิ๋ง นางฟังข้าอยู่แล้ว”
แสงสีฟ้าได้ห่อหุ้มร่างของทั้งสองเอาไว้ และสุดท้ายร่างของจิ่วเยี่ยก็อันตรธานหายไปจากข้างกายมู่เฉียนซี
หลังจากที่จิ่วเยี่ยจากไป มู่เฉียนซีก็ได้ฝึกฝนอยู่ในค่ายกลรวมวิญญาณต่อไป
การฝึกฝนในครั้งนี้ นางฝึกไปจนถึงเวลาของการทดสอบประจำเดือนของชั้นเรียนระดับกลาง นางถึงจะออกมา
การทดสอบประจำเดือนของชั้นเรียนระดับกลางก็จัดขึ้นเดือนละครั้งเช่นกัน ผู้ที่สอบผ่านก็จะได้เลื่อนชั้นไปเรียนในชั้นเรียนระดับสูง
มีเพียงผู้ที่เข้าชั้นเรียนระดับสูงของสำนักนอกสำนักศึกษาซวนเสียเท่านั้นถึงจะมีโอกาสเข้าไปในสำนักใน ดังนั้นการทดสอบครั้งนี้มู่เฉียนซีไม่พลาดแน่นอน
ยามรุ่งสาง อาจารย์ได้เรียกนักเรียนทุกคนมารวมตัวกัน
จากนั้นก็เริ่มประกาศกฎเกณฑ์ในการทดสอบประจำเดือนครั้งนี้ “กฎเกณฑ์ในการทดสอบประจำเดือนของชั้นเรียนระดับกลางในครั้งนี้ก็คือ เข้าเขาชิงซวน เขาชิงซวนนั้นมีสัตว์วิญญาณอยู่ไม่น้อย พวกมันจะต้องโจมตีจลาจลพวกเจ้าแน่ พวกเจ้าต้องขึ้นไปบนยอดเขาชิงซวนให้ได้ บนยอดเขานั้น มีลานประลองยุทธ์ชิงซวนอยู่สิบแท่น แต่ละแท่นจะมีผู้ครอบครองเพียงผู้เดียวเท่านั้น อยากจะครอบครองแท่นนั้น ก็จะต้องต่อสู้แย่งชิงกับนักเรียนคนอื่น ก่อนตะวันตกดิน ผู้ที่ไม่ถูกโจมตีลงจากแท่น ก็นับว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสม”
“ตอนนี้ พวกเจ้าออกเดินทางได้!”
สถานการณ์การทดสอบประจำเดือนครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว ทันทีที่มู่เฉียนซีขึ้นเขาชิงซวนก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเอาไว้ทันที
พวกเขารู้ดีว่าตนเองนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้กับมู่เฉียนซี แต่ก็ยังคงขวางทางมู่เฉียนซีอยู่ เงาร่างสีเขียวแวบผ่านมา โม่ซางคงกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ดูเหมือนว่า คนที่ไม่อยากให้เจ้าสอบผ่านในครั้งนี้มีมากกว่าครั้งที่แล้วนะ!”
ครั้งก่อนมีเพียงผู้ที่เป็นมิตรกับหวังชวนเหล่านั้น หรือไม่ก็เป็นอัจฉริยะที่หวังชวนได้ซื้อตัวมาเพื่อลงมือกับนาง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นนักเรียนเกือบทั้งชั้นระดับกลางแล้ว
ไม่ใช่ว่านางไปทำอะไรให้คนเหล่านี้โกรธแค้น แต่เกรงว่าจะมีใครบางคนที่ตอบแทนรางวัลให้พวกเขาอย่างงาม พวกเขาถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “โม่ซางคง ขวางพวกมันเอาไว้ ข้าจะถามอะไรพวกมันสักหน่อย”
“ได้!”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็คว้าตัวคนคนหนึ่งมา เข็มยาเข็มหนึ่งก็ได้จี้ที่ขมับของคนผู้นั้นแล้ว
สีหน้าของคนผู้นั้นซีดเผือด กล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “สหายมู่เฉียนซี จะ เจ้า เจ้าจะทำอะไร ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น ข้าก็แค่อยากจะถามอะไรเจ้าสักหน่อย หากเจ้าพูดความจริง ข้าก็ไม่ทำอะไรเจ้า”
แสงประกายเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี “แต่หากว่าเจ้าโกหก เจ้าก็จะโดนเข็มยานี่ เจ้าก็จะโดนพิษ จากนั้นก็ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานเป็นเวลาหนึ่งวัน ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น!”
คนผู้นี้หวาดกลัวจนตัวสั่น “อย่านะ……”
“ข้าบอกแล้ว ข้าพูดความจริงแน่นอน! เย่ยุ่นบอกข้าว่า ถ้าหากขัดขวางการสอบของเจ้าเอาไว้ได้ ทุกคนจะได้รับยาระดับหกคนละหนึ่งเม็ด”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เย่ยุ่นคือใคร ?”
“การฝึกบำเพ็ญของเย่ยุ่นนั้นอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป ไม่เคยเจอกับสหายมู่เฉียนซีมาก่อน ข้าก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเย่ยุ่นถึงได้ขัดแย้งกับเจ้า!”
ผู้ที่สามารถตอบแทนด้วยของเช่นนี้ได้นั้น มีไม่มากนัก
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เย่ยุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซู่ซินเซี่ยใช่หรือไม่ ?”
หากผู้ที่ตอบแทนรางวัลเช่นนี้เป็นซู่ซินเซี่ย จะไม่น่าแปลกใจเลย เพราะถึงอย่างไรท่านพ่อของนางก็เป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่ของหน่วยสำนักปรุงยา ต่อให้ไม่สามารถหลอมยาได้ แต่ก็ไม่ขาดแคลนยาแน่นอน
“ดูเหมือนว่าเย่ยุ่นกับซู่ซินเซี่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นี่เจ้าไม่ได้หมายความว่า……เป็นไปไม่ได้!” ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นทันที
องค์หญิงซู่จิตใจงดงามถึงเพียงนั้น จะใช้ยาวิญญาณมากมายเช่นนั้นมาจัดการกับมู่เฉียนซีได้เช่นไร
มู่เฉียนซีรู้ดีแล้วว่าเป็นเพราะเหตุใด และแน่นอนว่าก่อนที่จะขึ้นไปถึงยอดเขา นางไม่มีทางเสียเวลาต่อสู้กับคนพวกนี้แน่
ตอนนี้คนจำนวนมากกำลังพัวพันกับโม่ซางคง และโม่ซางคงไม่อาจรับมือได้แล้ว มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ในเมื่อมีคนมอบยาระดับหกหนึ่งเม็ดเพื่อให้พวกเจ้ามาขวางทางข้า เช่นนั้นข้าจะมอบให้พวกเจ้าคนละสามเม็ด ปล่อยพวกข้าไป เป็นอย่างไร ?”
“พวกเจ้าควรจะไตร่ตรองดูให้ดี หากพวกเจ้าไม่รับข้อเสนอนี้ ถึงเวลานั้นข้าจะลงมือกับพวกเจ้าให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างอนาถ พวกเจ้ายอมนอนติดเตียงอยู่เป็นแรมเดือนเพื่อยาวิญญาณเม็ดเดียว ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
ล่อเหยื่อเช่นนี้ มีเหรอที่พวกเขาจะไม่ใจเต้น
อีกอย่าง ในความรู้และความเข้าใจของพวกเขา ผู้ที่ให้พวกเขาลงมือก็คือเย่ยุ่นผู้ที่ไร้ความรู้ ไม่ใช่สาวงามอันดับหนึ่งอย่างซู่ซินเซี่ยสักหน่อย
ระหว่างเย่ยุ่นกับอัจฉริยะผู้วิปริตอย่างมู่เฉียนซี พวกเขามีแนวโน้มที่จะอยู่ฝั่งมู่เฉียนซี อีกอย่าง ยาระดับหกสามเม็ดเชียวนะ! นี่มันกำไรชัด ๆ
“ตกลง พวกข้ารับปาก!”
“พวกข้าก็รับปาก!”
หลังจากที่แจกจ่ายยาวิญญาณเสร็จ ระหว่างทางก็ไม่มีผู้ใดมาขวางทางนางอีก ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
ตูม ตูม ตูม! หลังจากที่จัดการกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีตาแต่หามีแววไม่เสร็จสิ้น มู่เฉียนซีก็ขึ้นไปถึงยอดเขาชิงซวนสำเร็จ
ตอนนี้ ซู่ซินเซี่ยได้ยินอยู่บนลานประลองแล้ว
ไม่มีผู้ใดท้าประลองกับนาง บางคนก็อดใจที่จะต่อสู้กับสาวสวยเช่นนี้ไม่ได้ บางคนก็ชื่นชอบนาง บางคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ดังนั้นนางจึงได้ยืนอยู่บนลานประลองอย่างมั่นคง
โม่ซางคงกล่าว “ข้าจะไปท้าประลองแล้ว”
“เจ้าไปเถอะ! ข้ามีเป้าหมายของข้าแล้ว”
สายตาของมู่เฉียนซีจับจ้องไปที่ซู่ซินเซี่ย ทันทีที่ซู่ซินเซี่ยเห็นมู่เฉียนซีนางก็ตกใจจนผงะไป นางขึ้นมาเร็วเช่นนี้ได้ยังไง เป็นไปได้ยังไง?