ซู่ซินเซี่ยอุตส่าห์นำยาทั้งหมดที่มีอยู่ในคลังไปใช้ซื้อตัวผู้คนให้ขวางทางและถ่วงเวลามู่เฉียนซี ถึงต่อให้มู่เฉียนซีมีพลังความสามารถไม่เลว เมื่อเจอคนมากมายมาขัดขวาง นางก็ต้องเหนื่อยบ้างไม่ใช่หรือไง ? และถึงแม้คนเหล่านั้นจะมิอาจเอาชนะนางได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ มู่เฉียนซีนางควรเหนื่อยหอบหมดแรงอะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ยังดูฮึกเหิมดีเช่นนี้
นางไม่นึกเลยว่ามู่เฉียนซีจะขึ้นมาถึงยอดเขาได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ซู่ซินเซี่ยสุดแสนเซ็ง นางยังไม่ทันยืนอยู่บนแท่นหินชิงซวนได้อย่างมั่นคงเลยด้วยซ้ำ นี่จะมีคนอื่นมาแย่งชิงแล้วรึ ?
ซู่ซินเซี่ยพยายามทำท่าทางให้ดูน่าสงสารก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “สหายมู่เฉียนซี เจ้าต้องการท้าสู้กับข้ารึ ? ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะรักษาตำแหน่งบนแท่นหินชิงซวนนี้เอาไว้ได้ เจ้าไปท้าสู้กับผู้อื่นได้ไหมเล่า ?!”
มู่เฉียนซีเอ่ยเสียงใส “เจ้าวางใจได้ ตอนนี้ข้ายังไม่ท้าสู้กับเจ้าหรอก”
ซู่ซินเซี่ยรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย เหตุไฉนใยมู่เฉียนซีถึงปล่อยนางไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
แม้มู่เฉียนซีจะไม่ได้ท้าประลองกับซู่ซินเซี่ย แต่ก็มิได้ไปท้าประลองกับผู้อื่นเช่นกัน นางยังยืนบนยอดเขาอยู่เช่นนั้น นี่ทำให้ในใจของซู่ซินเซี่ยเกิดความวิตกจนแทบรับไม่ไหว
ไม่นานนัก บนยอดเขามีคนหนาตาขึ้น เห็นได้ชัดว่าศิษย์หลายคนขึ้นมาถึงยอดได้เป็นจำนวนไม่น้อย และแท่นหินชิงซวนทั้งสิบก็มีผู้ยืนอยู่บนนั้นครบทั้งสิบแท่นแล้ว เหล่าบรรดาผู้ที่เพิ่งขึ้นมาถึงล้วนลังเลว่าจะท้าสู้กับผู้ใดดี
ในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีเอ่ยปากขึ้น “ทุกคนฟังทางนี้ ถ้าหากมีใครท้าประลองกับซู่ซินเซี่ย ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ข้าก็จะมอบยาเม็ดระดับแปดให้”
“ระดับแปด! ยะ… ยาเม็ดระดับแปดเลยเชียวรึ ?”
“สวรรค์! หากสามารถได้มาซึ่งยาเม็ดระดับแปด ถึงต่อให้ในเดือนนี้สอบไม่ผ่านก็คุ้มค่ามากโขอยู่” ศิษย์คนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ใช่ ๆ ๆ” หลายคนเห็นด้วย พวกเขาแทบเก็บกุมอาการตื่นเต้นกันไว้ไม่ได้
ในตอนนี้เอง ซู่ซินเซี่ยตะลึงงัน นางนึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกเกทับซึ่ง ๆ หน้า นางใช้ยาเม็ดเพื่อซื้อตัวเหล่าสหายร่วมชั้นเรียนไปขัดขวางมู่เฉียนซี แต่มาตอนนี้มู่เฉียนซีกลับใช้อุบายเดียวกันมาเล่นงานนางกลับเสียแล้ว
ซู่ซินเซี่ยน้ำตาคลอหน่วย กล่าวตะกุกตะกัก “สะ… สหายมู่ ข้า… นี่ข้าทำผิดอะไรไปกันแน่เจ้าถึงได้ทำเช่นนี้กับข้า ?”
มู่เฉียนซีตอบพร้อมหยอดแววตาหยอกล้อ “หืม เจ้าก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เพียงแต่ว่าข้ามียาเม็ดอยู่ค่อนข้างมาก และพอใจที่จะใช้มันเช่นนี้ก็เท่านั้น”
หน้าตาซู่ซินเซี่ยในเวลานี้บูดเบี้ยวแทบดูไม่ได้ แค้นใจนัก! ทั้งห้องเรียนระดับกลางจะมีใครมียาเม็ดมากกว่านางผู้เป็นบุตรสาวของรองอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักย่อยการปรุงยา
“สหายมู่เฉียนซีเจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่นไปเลย เมื่อเจ้ายื่นข้อเสนอมาเช่นนี้พวกเขาก็ต้องอยากมาลองท้าสู้กับข้าอยู่แล้ว แต่ยาเม็ดระดับแปดนั้นยากที่จะหาได้อย่างยิ่ง หากถึงตอนนั้นแล้วเจ้าไม่สามารถนำมันออกมาให้คนอื่น ๆ ได้ ทุกคนจะโกรธเคืองเจ้าเอานะ”
“อ้อ เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” มู่เฉียนซียังคงมีท่าทีสบาย ๆ นางหยิบเอาขวดหยกออกมาขวดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ทุกคนดูนี่ ในขวดนี้มียาเม็ดระดับแปดอยู่ยี่สิบเม็ด พวกเจ้าอยากได้มันหรือไม่ ก็อยู่ที่การตัดสินใจของพวกเจ้า”
“เฮ้ย! ยาเม็ดนั่นมันเป็นของจริง” ครานี้เป็นเสียงหลายคนอุทาน ศิษย์หญิงบางคนถึงกับเอามือปิดปากด้วยความตกใจ ยาเม็ดระดับแปดเช่นนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ แต่มู่เฉียนซีกลับหยิบออกมาให้ดูทีเดียวถึงยี่สิบเม็ด
ยี่สิบเม็ด!
ยี่สิบเม็ดเลยเชียวนะ!
ทุกคนคึกคักขึ้นมาทันที บัดนี้ ผู้กล้าคนหนึ่งก้าวออกมาแล้ว เขาพุ่งไปทางแท่นหินชิงซวนที่ซู่ซินเซี่ยยืนอยู่อย่างมั่นใจ
“แม่นางซู่ ข้าขออภัยด้วยที่ต้องล่วงเกินเจ้า…” เขากล่าวเสียงเจือความประหม่าเล็กน้อย ทว่าแววตากลับมุ่งมั่นเต็มสิบส่วน
เขาเชื่อว่าตัวเขาและสหายบุรุษคนอื่น ๆ อีกหลายคนล้วนแต่มีจิตใจที่รักในความสวยงาม ทว่ายาเม็ดระดับแปดในมือแม่นางมู่ผู้นั้นมันช่างมีแรงดึงดูดมากมายจริง ๆ เขาจึงได้เลือกท้าสู้กับซู่ซินเซี่ย
ซู่ซินเซี่ยโกรธจนสีเลือดขึ้นแดงไปทั้งใบหน้า ปกติแล้วคนเหล่านี้เคารพนางเป็นอย่างมาก มาตอนนี้กลับคิดหักหลังพลิกผันหันมาลงมือกับนางเพียงเพราะอยากได้ยาเม็ดระดับแปดหนึ่งเม็ดไปครอบครอง
นางอยากควักเอายาเม็ดระดับแปดออกมาให้พวกเขาจริง ๆ จะได้หยุดคิดเข้ามาสู้ ทว่าเวลานี้นางไม่มียาเม็ดอยู่เลย
ซู่ซินเซี่ยตัดสินใจปรับสีหน้าท่าทางใหม่หมด ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าเช่นนั้นก็… ขอให้พวกเจ้าอย่าได้ออมมือกับข้า ทุกคนจงต่อสู้อย่างเต็มกำลังเถิด”
“ได้!”
ซู่ซินเซี่ยพยักหน้า ที่ผ่านมานางแสดงตนสร้างภาพในแบบของสตรีผู้อ่อนโยนมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่จะลงมือสู้กับผู้อื่น
สำหรับทุกคนในที่นี้รู้กันแค่ว่าซู่ซินเซี่ยมีบิดาเป็นรองอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักย่อยการปรุงยา แน่นอนว่านางมิขาดแคลนค่าพลังวิญญาณจึงไม่ได้ไปลงชื่อเพื่อเข้าร่วมการประลองจัดอันดับ
นางเป็นคมในฝัก ไม่มีใครรู้ว่านางมีความแข็งแกร่งขั้นใดระดับใด ทว่าวันนี้ พวกเขาได้รู้แล้วว่าแม่นางซู่หรือซู่ซินเซี่ยผู้เต็มไปด้วยความน่าเสน่หานั้นมีพลังอยู่ในขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่ เมื่อนางเริ่มลงมือต่อสู้ กระบวนท่าที่นางใช้รุนแรงโหดร้ายอย่างมาก มันไม่เหมือนกับลักษณะท่าทางอันอ่อนโยนของนางเลยแม้แต่น้อย
— ปัง! —
ผู้ท้าชิงคนแรกถูกนางซัดกระเด็นลงมาเสียแล้ว
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก พยักหน้าและมอบยาเม็ดจำนวนสามเม็ดตามตกลงให้แก่เขาคนนั้นพร้อมกล่าวขึ้น “รับไป เพราะเจ้าเป็นผู้เข้าท้าชิงผู้แรก อีกสองเม็ดที่ข้าให้เพิ่มไปถือว่าเป็นการมอบรางวัลให้แก่เจ้า”
มู่เฉียนซีสร้างความประหลาดใจด้วยการมอบยาเม็ดเพิ่มให้ชายคนแรกที่เข้าไปท้าสู้กับซู่ซินเซี่ยอีกสองเม็ด นั่นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก
การกระทำนี้เรียกสายตาอิจฉาริษยาจากคนอื่น ๆ ที่เหลือได้เป็นอย่างดี หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาเองก็คงชิงพุ่งเข้าไปท้าสู้แม่นางซู่ซินเซี่ยเป็นคนแรกแล้ว
ทว่าสหายมู่เฉียนซีนั้น นางทำเช่นนี้เหมือนเป็นการเอาแต่ใจเกินไปกระมัง มอบยาเม็ดระดับแปดเพิ่มไปอีกสองเม็ด ช่างใจกว้างเสียจนเกินควร
ซู่ซินเซี่ยกัดฟันแน่นพลางคิดในใจอย่างเผ็ดร้อน ‘บ้าจริง! นางมู่นั่นมันไปเอายาเม็ดจำนวนมากมายเช่นนั้นมาจากไหน ?!’
เมื่อมีผู้เข้าไปท้าชิงคนแรก แน่นอนว่าจะต้องมีคนที่สองตามมา หากซู่ซินเซี่ยต้องเผชิญการโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ แม้ว่าในท้ายที่สุดนางสามารถอยู่บนแท่นหินชิงซวนได้อย่างมั่นคงไม่มีใครชิงไปได้ แต่นางคงเหนื่อยล้ามาก
ในครั้งแรกนางใช้อุบายทำตัวน่าสงสารเพื่อปลุกระดมให้เหล่าสหายหญิงชายทั้งหลายที่อยู่ในสนามประลองขั้นปฐพีเข้าโจมตีมู่เฉียนซีด้วยกลยุทธ์หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้าสู้เพื่อสร้างความเหนื่อยล้า มาครั้งที่สองในการสอบรอบเดือนครั้งนี้ นางเอายาเม็ดมาหลอกล่อเพื่อให้เหล่าสหายที่เข้าร่วมสอบตั้งตนเป็นคู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซี นางคิดว่ามันจะได้ผลแต่ไม่เลย ตรงกันข้ามฮวงจุ้ยกลับเปลี่ยนทิศ
ผู้ที่ควรตกเป็นเป้าหมายของการสู้แบบหมุนเวียนนั้นเปลี่ยนมาเป็นนางเสียแล้ว
การต่อสู้ที่จบลงและเกิดขึ้นวนเวียนอย่างต่อเนื่อง ซู่ซินเซี่ยเหนื่อยเหลือเกิน หน้าผากขาวของนางเปียกไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมา
‘เจ้ามอบรางวัลเป็นเม็ดยาให้แก่ผู้กล้าเข้าท้าสู้กับข้า คนส่วนมากที่ขึ้นมาถึงยอดเขาจึงเลือกที่จะต่อสู้กับข้า มู่เฉียนซีเจ้านี่มันร้ายนัก! ข้าเกลียดเจ้า!!!’ ซู่ซินเซี่ยได้แต่คิดในใจวนอยู่อย่างนั้น
มู่เฉียนซีนั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ใต้ร่มไม้อย่างเกียจคร้าน นั่นทำให้ไฟโกรธในใจของสู้ซินเซี่ยปะทุแรงยิ่งขึ้น
ซู่ซินเซี่ยต่อสู้กับผู้อื่นอย่างบ้าคลั่ง ในใจก็คิดไปว่า ‘ข้าไม่เชื่อว่ายาของเจ้าจะมีแจกอย่างไม่รู้จักหมดสิ้น รอข้าสู้จนเจ้าแจกยาหมดเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะไม่มีผู้ใดเข้ามาท้าสู้กับข้าอีก’
แต่ปรากฏว่าสิบคนผ่านไปแล้ว ยี่สิบคนผ่านไปก็แล้ว ยาเม็ดที่มู่เฉียนซีมีก็ยังคงมีจำนวนมากอยู่
จนผ่านไปถึงหนึ่งร้อยคน…
ซู่ซินเซี่ยเหนื่อยแทบขาดใจ การต่อสู้ปกป้องแท่นในการสอบรอบเดือนเช่นนี้มิอาจปฏิเสธผู้ที่เข้ามาท้าชิงได้ จะเลือกไม่สู้ก็ได้ แต่ก็มีเพียงต้องลงจากแท่นหินสละให้คนอื่นไปเท่านั้น
ทว่านางอุตส่าห์ได้มายืนอยู่ที่ตรงนี้ทั้งที จะไปให้ผู้อื่นมาดันตกรอบไปได้เช่นไร นางไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน
ศิษย์คนอื่น ๆ ก็ตระหนักแล้วเช่นกันว่าจำนวนยาเม็ดที่มู่เฉียนซีมีติดตัวอยู่นั้นมากเสียจนน่าหวั่นเกรง ราวกับหลุมลึกจนไม่มีที่สิ้นสุดก็มิปาน
เดิมทีพวกเขานึกว่ายาเม็ดที่ซู่ซินเซี่ยมีติดตัวอยู่มีมากจนทำให้ผู้อื่นอิจฉา ทั้งสำนักศึกษาไม่อาจมีใครมาเทียบได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่ายังมีผู้ที่มียาเม็ดอย่างเหลือเฟือเช่นนี้อีกคนหนึ่ง อันที่จริงดูเหมือนจะมีมากกว่าซู่ซินเซี่ยเสียอีก
— ปัง! —
ในที่สุดซู่ซินเซี่ยก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว พลาดท่าถูกถีบลงมาจากแท่นจนได้
ร่างของนางล้มลงไปในโคลน อาภรณ์ผ้าพลิ้วสีขาวสว่างทั้งตัวของนางเปื้อนโคลนไปไม่น้อยเลย ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงรุงรัง ที่น่าขันคือชายผู้ซึ่งถีบนางลงมาเป็นผู้ที่เมื่อก่อนเคารพนางยิ่งกว่าอะไรดี
ทั้งหมดเป็นเพราะนางบ้ามู่เฉียนซี ความซวยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนางบ้านั่นคนเดียว!
ซู่ซินเซี่ยคับแค้นใจ
…
ซู่ซินเซี่ยพ่ายแพ้ไปแล้ว คนที่เหลือที่ยังไม่ได้ท้าสู้กับนางพากันรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อยเพราะไม่มีโอกาสที่จะได้รับยาเม็ดระดับแปดแล้ว และในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีเริ่มลงมือ นางเหาะไปจากใต้ต้นไม้ไปยังแท่นที่ซู่ซินเซี่ยเคยยึดเอาไว้แท่นนั้นก่อนจะกล่าวกับผู้ที่ยืนอยู่บนแท่นคนปัจจุบันว่า “เอาล่ะ ข้ากับเจ้าเรามาเริ่มการต่อสู้ชิงแท่นนี้เถอะ”
คนผู้นั้นกล่าวกับมู่เฉียนซี เขาไม่ได้ตื่นตระหนกเท่าที่ควร “หึ ๆ ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่มู่เฉียนซี เห็นแก่การที่ข้าทำความดีความชอบให้เจ้า เจ้าเบามือกับข้าหน่อยแล้วกัน”
“สบายใจได้ ข้าลงมืออย่างอ่อนโยนกับคู่ต่อสู้มาโดยตลอดแหละ” มู่เฉียนซีว่าพลางขยิบตา
พวกเขาหลายคนที่ยืนกันอยู่ตรงนั้นแสยะยิ้มมุมปาก ‘อ่อนโยนรึ… ตอนนี้เจ้าฮั่วเฟยยังนอนติดเตียงอยู่เลยนะนั่น เส้นผมก็ยังไม่งอกออกมา เนี่ยน่ะรึอ่อนโยน ?’
หลังจากประมือกันมาหลายกระบวนท่า ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ถีบคนผู้นั้นลงไปจากแท่นหินชิงซวนได้สำเร็จ ทว่าแน่นอน หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาท้าประลองอีก…
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นมาบนยอดเขาได้สำเร็จ การท้าประลองเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
มู่เฉียนซีเองมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมาย ยาเม็ดที่ช่วยฟื้นฟูพลังวิญญาณนางก็มีมากพอ ดังนั้นแล้วจึงสู้กับผู้ท้าประลองกลุ่มใหญ่ได้อย่างเบากายสบายตัวกว่าซู่ซินเซี่ยไม่น้อยเลย
เวลาล่วงมาถึงยามอาทิตย์อัสดง แท่นหินชิงซวนที่มู่เฉียนซียึดครองเอาไว้อยู่นั้นยังมิได้ถูกใครแย่งชิงไป ทว่าทันใดนั้น คนผู้หนึ่งม้วนตัวเข้ามา
เป็นซู่ซินเซี่ยนั่นเอง นางแสยะยิ้มก่อนจะกล่าวอย่างสะใจ “เหอะ! เจ้าคงนึกไม่ถึงล่ะสิว่าข้าจะฟื้นตัวได้ไวเช่นนี้”