อายุของปรมาจารย์นักปรุงยาระดับกลางทั้งหลายเทียบได้กับผู้อาวุโสหลายคนในสำนักศึกษาและดูเหมือนจะอายุมากกว่ามู่เฉียนซีถึงสิบเท่า
แต่เมื่อครู่มู่เฉียนซีสู้กับคนยี่สิบคนติดต่อกันแล้วพลังจิตยังดีถึงเพียงนี้ ทําให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในสายตาของพวกเขา เด็กตรงหน้าผู้นี้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดเฒ่าที่สวมหนังเด็กหนุ่ม แท้จริงแล้วอายุคงจะมากกว่าพวกเขาเสียอีกแน่ ๆ
พวกเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “อาจารย์มู่ได้โปรดชี้แนะด้วยเถอะ”
มู่เฉียนซียิ้มพึงพอใจ “ได้สิ”
เมื่อปรมาจารย์นักปรุงยาระดับกลางคนแรกหยิบเอาสูตรยาออกมาเพื่อปรุง มู่เฉียนซีก็บอกได้อีกครั้งว่าเขาต้องการปรุงยาอะไร
สีหน้าของนักปรุงยาผู้นั้นหม่นคล้ำลง เขาอุตส่าห์ปรุงยาที่หาได้ยากแล้ว เจ้าเด็กนี่กลับยังมองออกได้อีกรึ ? หรือว่าในใต้หล้านี้ ไม่มียาที่เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักแล้วจริง ๆ
มู่เฉียนซีมีข้อได้เปรียบอยู่ นางรับมรดกมาจากหม้อวิญญาณนิรันดร์ซึ่งครอบคลุมสูตรยาทั้งหมดตั้งแต่สมัยโบราณ กอปรกับได้อ่านสูตรยามามากมายและเรียนรู้กับจวินโม่ซีผู้เป็นอัจฉริยะของตระกูลยา มีน้อยสูตรมากจริง ๆ ที่นางจะไม่รู้
สุดท้าย ปรมาจารย์นักปรุงยาระดับกลางทั้งเจ็ดคน พ่ายแพ้ไปอย่างสมบูรณ์!
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องลงมือเองแล้ว!”
คนสุดท้ายคือปรมาจารย์นักปรุงยาระดับสูง เขาผู้นี้กับผู้อาวุโสทั้งห้าต่างไม่ลงรอยกัน ในตอนนั้นก็แย่งชิงตําแหน่งผู้อาวุโสของสํานักศึกษาไว้มิได้
เมื่อรู้ว่ามู่เฉียนซีถูกผู้อาวุโสทั้งห้าเข้าข้างก็ต้องการมาโจมตีมู่เฉียนซีเพื่อทําให้ผู้อาวุโสทั้งห้ารู้สึกอึดอัดคับใจ
“เจ้าหนู ชัยชนะที่ติดต่อกันของเจ้า มาถึงตรงนี้ก็เป็นอันหยุดได้แล้ว” ผู้อาวุโสอวิ่นกล่าว เขาหยิบสมุนไพรวิญญาณของตัวเองออกมาอย่างแข็งขันก่อนจะกล่าวต่อ “ณ ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้ดีว่าข้าประสงค์ปรุงยาอะไรแล้วกระมัง”
มู่เฉียนซียักไหล่ “แน่นอนว่าข้ารู้ ยาระดับปฐพีขั้นที่เก้า เม็ดยาพยัคฆ์ ในบรรดายาระดับปฐพีขั้นที่เก้ามันค่อนข้างยากที่จะหลอมออกมาได้ หากเจ้าหลอมเม็ดยาชนิดนี้ ต่อให้ข้าหลอมเม็ดยาระดับเก้าก็ยากที่จะเอาชนะ”
“เหอะ ๆ ในเมื่อเจ้ารู้เช่นนี้แล้วก็จงยอมแพ้ไปซะ!” ผู้อาวุโสอวิ่นยืดอกอย่างอวดโอ่
มู่เฉียนซีตอบกลับ “แต่เม็ดยาพยัคฆ์เมื่ออยู่ต่อหน้ายาโบราณ มันไม่สามารถเทียบได้กับยาโบราณเลย”
“หืม ? นี่เจ้า… เจ้าสามารถหลอมปรุงยาสูตรโบราณได้งั้นรึ ? เป็นไปไม่ได้แน่!”
“เป็นไปไม่ได้ จำคำเจ้าไว้และรอดูเอาแล้วกัน!” ไม่พูดเปล่า มู่เฉียนซีเก็บหม้อเทพปาฮวางชิงมู่แล้วหยิบเอาหม้อวิญญาณนิรันดร์ออกมา
เม็ดยาที่จวินโม่ซีมอบให้ ทำได้เพียงช่วยให้นางมีพลังวิญญาณมากพอที่จะหลอมปรุงเม็ดยาระดับต่ำเท่านั้น แต่สูตรยาที่นางมีอยู่ในมือย่อมบดขยี้เม็ดยาพยัคฆ์ของผู้อาวุโสอวิ่นได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความมั่นใจจึงควรใช้หม้อวิญญาณนิรันดร์เสียจะดีกว่า
หม้อวิญญาณนิรันดร์นั้นสามารถช่วยหลอมยาออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เริ่มปรุงยาได้!
นี่เป็นการประลองรอบสุดท้าย เป็นช่วงเวลาในยามจื่อแล้วแต่ทุกคนยังคงจดจ่ออยู่กับการเฝ้าดู พวกเขาไม่อยากพลาดไปแม้แต่นิดเดียว
การกระทําของมู่เฉียนซีในร่าง ‘อาจารย์มู่ซี’ ราวกับสายน้ำที่ไหลผ่าน ทําให้ผู้คนมองไม่ออกว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางหลอมเม็ดยาระดับปฐพีขั้นที่เก้า
การปรุงยาอย่างข้ามระดับขั้นที่ตนเองอยู่ไปหนึ่งขั้นเต็ม ๆ มิใช่เรื่องง่าย ทว่าในตอนนี้นางนั้นเชื่อมั่นในตัวเองอย่างที่สุด และมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
“สําเร็จแล้ว!” ผู้อาวุโสอวิ่นยกยิ้มมุมปาก เขาชายตามองผู้อาวุโสทั้งห้าอย่างภาคภูมิใจ ในเมื่อเขาสามารถหลอมเม็ดยาระดับเก้าที่แข็งแกร่งได้สําเร็จ ก็เป็นอันว่าเขาไม่ด้อยไปกว่าตาเฒ่าหงำเหงือกเหล่านี้
ในขณะนั้น ดวงจันทร์บนท้องนภาถูกบดบังด้วยเมฆสีดํา สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนไป
ลมเมฆเปลี่ยนไป เป็นอันทราบกันว่าเม็ดยาระดับสวรรค์ถูกหลอมออกมา!
พวกเขายังไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าของหอหมอปีศาจในครั้งก่อนเลย เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วทวีปเสียโจว ตอนนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หรือว่ายาเม็ดระดับสวรรค์จะปรากฏออกมาอีกครั้ง
ผู้อาวุโสที่สองกล่าว “เจ้าเด็กนี่ไม่ได้พูดถึงการปรุงยาระดับปฐพีหรอกหรือ ? เขาปรุงยาระดับสวรรค์ออกมาได้ยังไง ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดส่ายศีรษะก่อนจะกล่าว “ไม่ ไม่ใช่เม็ดยาระดับสวรรค์ เขาหลอมเม็ดยาระดับปฐพีขั้นที่เก้า แต่ด้วยเพราะคุณภาพดีเกินไปและใกล้กับยาระดับสวรรค์อย่างไร้ขีดจำกัดจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นบนท้องฟ้า ผู้อาวุโสอวิ่นมีอันต้องหุบยิ้ม
ต่อให้ไม่ใช่เม็ดยาระดับสวรรค์ เขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าเด็กนี่น่ากลัวเกินไปแล้ว
มู่เฉียนซีหลอมเม็ดยามังกรระดับเก้าออกมาได้สําเร็จพลางส่งให้ผู้ตัดสินทั้งหลายแล้วกล่าวว่า “สามารถตรวจสอบผลลัพธ์ได้”
“ผู้อาวุโสอวิ่นหลอมเม็ดยาพยัคฆ์ระดับเก้าออกมา อะ… โอ้ คุณภาพระดับสูงเลยเชียวรึ ?!”
“มู่ซีหลอมเม็ดยามังกรโดยดูสูตรยาโบราณที่ตอนนี้ไร้ผู้สืบทอด เม็ดยาระดับเก้า คุณภาพเหนือชั้นระดับเก้าทั่วไป เยี่ยมยอด!”
“ครั้งนี้มู่ซีก็เป็นฝ่ายชนะ”
การประลองต่อเนื่องยี่สิบแปดครั้ง สามารถเอาชนะได้ติดต่อกันทั้งยี่สิบแปดครั้ง!
แววตาอันเลื่อมใสของเหล่าศิษย์ทุกคนต่างมองมู่เฉียนซี จะไม่ให้เลื่อมใสได้อย่างไร ท่านอาจารย์มู่ซีหรือหมอปีศาจมู่ซีเก่งกาจนัก ชื่อเสียงสมกับความสามารถ แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ทักษะการปรุงยาของเขา ทั่วทั้งทวีปเสียโจวยังจะมีใครเทียบได้ แม้แต่อาจารย์ใหญ่และหัวหน้านักปรุงยาจากหอหมอปีศาจนั่นก็ยังเทียบไม่ได้
มู่เฉียนซียิ้ม “หึ ๆ การแข่งขันในครั้งนี้ข้าชนะแล้ว เช่นนั้นก็เป็นอันว่าข้าจะเปิดสมาคมแลกเปลี่ยนการปรุงยาในสํานักศึกษาตามที่ตกลง ขอรองอาจารย์ใหญ่อย่าได้เข้ามาก้าวก่าย”
“สํานักศึกษาจะจัดตั้งสมาคมแลกเปลี่ยนการปรุงยาขึ้นมา หากทุกคนสนใจในการปรุงยา รักชอบปรุงยา กระหายความรู้ด้านการปรุงยามากขึ้น ก็สามารถเข้าสมาคมแลกเปลี่ยนการปรุงยาแห่งนี้ได้ แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้เป็นศิษย์ของห้องเจ็ด แต่ตราบใดที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของสมาคมอย่างแข็งขันก็จะได้รับประโยชน์ไม่น้อยไปกว่าเหล่าศิษย์ห้องเจ็ด”
“ว่าแต่ชื่อของสมาคมยังไม่ได้ตั้ง ไม่ทราบว่าพวกเจ้ามีข้อเสนออะไรหรือไม่ ถ้ามีก็ว่ามาได้”
ศิษย์ห้องเจ็ดผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมากล่าวว่า “อาจารย์มู่ ข้าขอเสนอให้เรียกว่า สมาคมหมอปีศาจ ดีไหมขอรับ ?”
“จริงด้วย ใช้ชื่อท่านอาจารย์เป็นชื่อสมาคม นี่สิถึงจะน่าเกรงขาม” ศิษย์ห้องเจ็ดอีกคนกล่าวสำทับ
มู่เฉียนซีครุ่นคิด “พวกเจ้าอย่าได้ลืมไปว่าสมาคมเป็นของสํานักศึกษาซวนเสีย ไม่ใช่แค่ห้องเจ็ดของพวกเราเท่านั้น”
“พวกเราไม่มีความเห็น ชื่อสมาคมเป็นตัวแทนของอาจารย์มู่ เมื่อคิดถึงการประลองที่กล้าหาญของท่านในวันนี้ พวกเราจะต้องมีกําลังใจสู้อย่างแน่นอนขอรับ”
“ใช่ขอรับ อย่าว่าแต่สู้ติดต่อกันยี่สิบแปดคนเลย หากว่าข้าสามารถสู้กับคนอื่นติดต่อกันได้แปดคน ข้าก็คงโด่งดังในทวีปเสียโจวแล้ว”
“พวกเราเห็นด้วยให้เรียกว่าสมาคมหมอปีศาจนะขอรับ”
เหล่าศิษย์ห้องอื่น ๆ กล่าวขึ้น
เดิมทีสํานักย่อยการปรุงยาเป็นสํานักย่อยที่เงียบสงบมาก แต่การประลองกับนักปรุงยายี่สิบแปดคนติดต่อกันของมู่เฉียนซี ทําให้พวกเขารู้สึกกระตือรือร้นเหลือแสน
พวกเขาทราบดีว่าการปรุงยาไม่ใช่การเรียนอย่างเงียบ ๆ นอกจากการหลอมปรุงยาที่ดีออกมาแล้ว ความกระตือรือร้นและความรักในการปรุงยาก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เช่นนั้นก็เรียกว่าสมาคมหมอปีศาจเถอะ นับจากนี้เป็นต้นไป หัวหน้าสมาคมหมอปีศาจคือหวงฝู่จี้เหิน”
“อะไรกัน ? หวงฝู่จี้เหิน! เจ้าขยะนั่นน่ะรึท่านอาจารย์ ?!”
“อาจารย์มู่ นี่…”
แม้แต่หวงฝู่จี้เหินเองยังรู้สึกประหลาดใจ ถึงอย่างไรตำแหน่งหัวหน้าสมาคมก็ไม่ควรเป็นของเขา ซูเซิงแข็งแกร่งกว่าเขาไม่ใช่หรือ ?
มู่เฉียนซีกล่าว “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมีปัญหามาก หากไม่เห็นด้วยก็ประลองกับศิษย์ห่วงฝู่ได้ หากว่าเจ้าเอาชนะศิษย์หวงฝู่ได้ เจ้าจะเป็นหัวหน้าสมาคมก็ไม่มีปัญหา ลองคิดดูให้ดีก่อนล่ะ เจ้าไม่ควรท้าทายเขาเพราะเขาได้เรียนรู้วิชายาพิษจากข้าไปไม่น้อย”
“หวงฝู่จี้เหินเป็นขยะไร้ประโยชน์แต่กลับสามารถปรุงยาพิษที่ท่านอาจารย์มู่สอนได้ โอ้!”
“แต่เดี๋ยวก่อน นี่หมายความว่าไม่มีพลังจิตก็สามารถเรียนปรุงยาพิษได้รึ ?”
“ประสิทธิภาพของยานั่นคงจะไม่ต่างจากยาเม็ดทั่วไปกระมัง”
มู่เฉียนซีไม่สนใจการคาดเดาของศิษย์คนอื่น ๆ นางแต่งตั้งต่อ “ส่วนรองหัวหน้าสมาคมคือศิษย์ซูเซิง”
“พรุ่งนี้ห้องเจ็ดปิดภาคการเรียน การรับสมัครสมาชิกสมาคมตกเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว จงอย่าลืมว่าต้องเลือกอย่างระมัดระวัง คนใดไม่ดีก็ปฏิเสธการเข้าร่วมไปเสีย”
หวงชิงอู่กล่าวขึ้น “อาจารย์ ท่านวางใจได้เลยขอรับ”
“ท่านอาจารย์รีบพักผ่อนเถอะขอรับ พลังจิตในวันนี้ถูกใช้ไปไม่น้อยเลย”
รองอาจารย์ใหญ่มองผู้อาวุโสทั้งห้าคนแล้วกล่าวออกมาว่า “หึ! รอจนอาจารย์ใหญ่กลับมาเห็นทั้งสํานักศึกษาถูกเจ้าเด็กนี่ควบคุมไว้ก่อนเถอะ ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะอธิบายยังไง”
ผู้อาวุโสทั้งห้าคนกล่าวพร้อมกัน “นี่คงไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว”
— ปัง! —
ในตอนนั้นเอง แสงสีเขียวส่องประกายขึ้นทางทิศใต้ของสำนักศึกษา สีหน้าของอาจารย์ทั้งห้าคนเปลี่ยนไปทันที
“นี่คือสัญญาณขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับอาจารย์ใหญ่!”
ใบหน้าของหวงฝู่จี้เหินซีดลง เขาอุทานออกมาด้วยความกังวล “ท่านปู่!”