ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่ามารบกวนข้า ?”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านรู้จักมู่เฉียนซีหรือไม่ ?”
“มู่เฉียนซี!” เห็นได้ชัดว่ามีภาพความทรงจำที่เลือนรางอยู่เล็กน้อย “นักเรียนใหม่ที่ทำการทดสอบสำเร็จในร้อยหลอมผู้นั้น ในฐานะที่เป็นนักเรียนใหม่ที่ได้เข้าเรียนมา คะแนนนางอยู่ที่อันดับหนึ่ง เดือนแรกที่เข้ามานางเข้าสู่ชั้นเรียนระดับกลางได้ เดือนที่สองเข้าสู่ชั้นเรียนระดับสูง เดือนที่สาม นางกลายเป็นผู้ที่มีคะแนนอันดับหนึ่ง เข้าสู่สำนักส่วนในได้แล้ว”
“เมล็ดพันธุ์ที่ดีเช่นนี้ หากท่านผู้อาวุโสสูงสุดไม่ลงมือทำสิ่งใดเลย เกรงว่าจะถูกอาจารย์ท่านอื่นแย่งตัวไปนะขอรับ!”
ตอนนี้ดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดได้เบิกกว้างขึ้น ดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นพลันเปล่งประกายขึ้นทันที
“นี่เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบหมื่นปี ข้าจะต้องคว้าตัวมาให้ได้”
มู่เฉียนซีไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตนเองนั้นได้ถูกตาเฒ่าผู้หนึ่งโหยหาเข้าให้แล้ว นางมองดูกระบี่ที่หักอยู่ในมือตนเองแล้วก็อดที่จะคิดถึงอารองผู้ที่เย็นชาและเลือดเย็น ชอบปฏิบัติตัวเหมือนนางเป็นเด็กอายุสามสี่ขวบผู้นั้นไม่ได้
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้คำสาปต้องห้ามเช่นนั้นทำให้อารองกลับมามีชีวิต เช่นนั้นก็คงจะไม่ยอมปล่อยอารองไปง่าย ๆ แน่ สำหรับเรื่องความปลอดภัยของเขานั้น นางค่อนข้างที่จะวางใจ
“อาจารย์ใหญ่ซวน! อาจารย์ใหญ่ซวน เดิมทีข้าก็ไม่คิดจะมารบกวนท่านหรอก แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้เห็นทีจะต้องขุดท่านออกมาถึงจะได้!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา
ถึงอย่างไรเสีย วันพรุ่งก็ต้องเข้าไปสำนักส่วนในแล้ว ต้องขุดอาจารย์ใหญ่ผู้นั้นออกมาให้จงได้
“ใช้กระบี่ที่ใช้แล้วทิ้งต่อไปก่อนก็แล้วกัน!” หลังจากที่เก็บตัวกระบี่ที่หักนั้นมาแล้ว มู่เฉียนซีก็เตรียมที่จะหลอมกระบี่ต่อไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก! หลังจากที่หลอมกระบี่เสร็จ นางก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
ทันทีที่นางเปิดประตูออกมาก็ได้เห็นกับร่างชุดเขียวร่างหนึ่ง และร่างที่สูงใหญ่กำยำร่างหนึ่ง นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นนี้แล้วพวกเจ้ายังไม่พักผ่อนกันอีกเหรอ!”
โม่ซางคงกล่าว “ได้ยินมาว่าเจ้ามีคุณสมบัติได้รับเข้าเรียนสำนักส่วนในแล้ว ก็เลยตั้งใจจะมาแสดงความยินดีกับเจ้าหน่ะ”
ฉินป้ากล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าไม่รู้อะไร เจ้าได้สร้างปาฏิหาริย์ให้กับสำนักศึกษาซวนเสียแล้ว ข้านับถือในตัวเจ้าจริง ๆ”
เสียงของฉินป้าดังก้องขึ้น และได้ทำลายคำพูดที่อ่อนโยนนั้นของโม่ซางคงไปเสียสิ้น โม่ซางคงก็จนปัญญาเช่นกัน
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ข้าก็อยากฉลองสักหน่อย อาหารมื้อดึกคืนนี้ข้าเลี้ยงเอง เหล้าข้าก็เลี้ยงด้วย!”
อาหารมื้อดึกแน่นอนว่าได้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบที่ในสวน และได้เริ่มย่างเนื้อ ส่วนเหล้าก็เป็นเหล้าสมุนไพรที่มู่เฉียนซีปรุงขึ้นมาพิเศษ
โม่ซางคงกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าเข้าไปในสำนักส่วนในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก”
กว่าเขาจะเข้าสู่ชั้นเรียนระดับสูงมาได้นั้นไม่ง่ายเลย คิดไม่ถึงว่าจะพลาดโอกาสอีก
ในฐานะที่เป็นนายน้อยแห่งสำนักระดับหนึ่งอย่างตำหนักโม่อวี่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดจะพยายามตามผู้ใดเลย ครั้งนี้คิดจะตามแต่กลับตามไม่ทัน ความรู้สึกนี้ช่างทำให้คนจนปัญญายิ่งนัก
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “การที่พวกเราได้เข้ามาในสำนักศึกษาซวนเสียด้วยกันก็นับว่าเป็นโชคชะตาสวรรค์ลิขิตแล้ว หากมีโอกาสต้องได้เจอกันแน่นอน หมดจอก!”
ฉินป้ากล่าว “หมดจอก!”
“หมดจอก!”
กิ๊ง! จอกเหล้าชนกัน ไฟในกองไฟก็ไหวสั่น
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้ที่มีคุณสมบัติได้เข้าเรียนในสำนักส่วนในทั้งสิบคนต่างก็มารวมตัวกันที่ลานนัดหมายแล้ว ผู้อาวุโสของสำนักส่วนในกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสิบ ตามข้ามาเถอะ!”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
พวกเขาเดินตามผู้อาวุโสเข้าไปในค่ายกลของสำนักส่วนใน จากนั้นก็ได้มาถึงสำนักส่วนในได้อย่างปลอดภัย
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ของสำนักส่วนใน ด้านในห้องโถงนั้นมีคนยืนเรียงแถวกันแถวหนึ่ง พลังความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นอย่างน้อยก็เป็นขั้นมหาจักรพรรดิ อีกอย่างไม่ใช่มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งแน่ ๆ แต่เป็นเหล่ามหาจักรพรรดิยอดยุทธ์
ตอนนี้สายตาของคนเหล่านี้ต่างก็จับจ้องไปที่มู่เฉียนซี หนึ่งในคนผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็คงจะเป็นมู่เฉียนซีกระมัง! มู่เฉียนซีผู้ที่คนร่ำลือกัน ต้องการเป็นนักเรียนของข้าหรือไม่ ข้าสามารถให้สมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีกับเจ้าได้ อีกทั้งยัง…”
“เจ้าไสหัวไปให้พ้น! วันนี้ข้าไม่รับนักเรียน แต่จะสอนเจ้าเป็นพิเศษคนเดียวเท่านั้น ข้ามียาวิญญาณ หยกวิญญาณ เจ้าต้องการเท่าไหร่ก็ย่อมได้”
“ส่วนข้า…”
มู่เฉียนซีได้กลายเป็นคนเนื้อหอมที่ถูกตาเฒ่าเหล่านี้รุมแย่งชิง จิ่วเยี่ยได้ทำข้อตกลงกับอาจารย์ใหญ่ของสำนักส่วนนอกไว้เท่านั้นเพื่อเป็นอาจารย์พิเศษของนาง แต่ไม่ได้รวมถึงสำนักส่วนใน
ในสำนักส่วนใน นางยังต้องมีอาจารย์อีกท่านหนึ่งเป็นผู้ฝึกฝน และคอยชี้แนะให้กับนาง
ชั่วครู่หนึ่งทั้งห้องโถงใหญ่ก็กลายเป็นตลาดขายผักไปแล้ว อาจารย์เหล่านี้พยายามเพื่อจะได้นักเรียนผู้วิปริตผู้นี้มา
ในตอนนี้เอง เสียงของชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้าหุบปากกันได้แล้ว นับจากนี้ไปมู่เฉียนซีจะเป็นนักเรียนของข้า”
อาจารย์ที่เอะอะโวยวายเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะถูกกดปุ่มหยุดชั่วคราวก็มิปาน หุบปากแล้ว!
มู่เฉียนซีหันไปมอง ชายชราดูราวกับเทพเซียนผู้หนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พลังของเขานั้นช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
ท่าทางของคนเหล่านั้นทั้งดูเคารพและเกรงกลัวชายชราผู้นี้มาก หรือว่าเขาจะเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาซวนเสีย
ผลสุดท้ายคำเรียกขานของอาจารย์เหล่านี้ทำให้มู่เฉียนซีผิดหวังแล้ว…
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านผู้อาวุโสสูงสุดท่านออกมาแล้ว”
“นักเรียนอัจฉริยะอย่างมู่เฉียนซี หากได้รับการสอนและคำชี้แนะจากท่านผู้อาวุโสสูงสุด จะต้องยอดเยี่ยมแน่นอนขอรับ”
“……”
ถึงแม้ว่าก้นบึ้งของหัวใจจะกระอักเลือด แต่ใบหน้าของพวกเขากลับจำต้องเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา เพราะผู้อาวุโสสูงสุดนั้นแข็งแกร่งมาก
ไม่ว่าจะเป็นพลังความแข็งแกร่ง หรือว่าตำแหน่งในสำนักศึกษา พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะแก่งแย่งนักเรียนกับท่านผู้อาวุโสสูงสุด! นอกจากอาจารย์ใหญ่แล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักศึกษาซวนเสีย
ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางกล่าว “สาวน้อย ตามอาจารย์มาเถอะ!”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อืม!”
ได้ยินมาว่าสำนักส่วนในของสำนักศึกษาซวนเสียนั้น นอกจากอาจารย์ใหญ่แล้ว ก็มีผู้อาวุโสสูงสุดผู้นี้ที่แข็งแกร่งที่สุด เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับอาจารย์ใหญ่ บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าอาจารย์ใหญ่อยู่ที่ไหน เมื่อได้เป็นนักเรียนของเขาแล้ว สอบถามเรื่องราวต่าง ๆ สักหน่อยก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกกระมัง
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีก็ได้กลายเป็นนักเรียนของผู้อาวุโสสูงสุด ส่วนอาจารย์ท่านอื่นต่างก็เลือกนักเรียนต่อไป
ผู้อาวุโสสูงสุดก็เป็นอาจารย์ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมมากเช่นกัน หลังจากที่ได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของมู่เฉียนซีแล้ว เขากล่าวว่า “ถึงแม้ว่าทักษะพลังวิญญาณจะแข็งแกร่งมาก แต่พลังวิญญาณภายในต่างหากล่ะถึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริง”
“แต่เจ้าเพิ่งจะสิบหกปี ฝึกฝนพลังวิญญาณมาถึงขั้นนี้ได้ก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้ว จะรีบร้อนไม่ได้ ต้องให้มีรากฐานที่มั่นคงเสียก่อน!”
“นับจากนี้ต่อไป ข้าจะฝึกฝนเจ้าด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นแล้วเจ้าก็อย่าได้กลัวความยากลำบากเอาซะหล่ะ!”
“อืม!” มู่เฉียนซีพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ท่านอาจารย์ ในเมื่อข้าเป็นศิษย์ของท่านแล้ว ท่านจะบอกเรื่องเรื่องหนึ่งกับข้าได้หรือไม่ ?”
“เจ้ามีเรื่องใดจะถามข้างั้นเหรอ!” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวถาม
“ข้าอยากรู้ว่าอาจารย์ใหญ่อยู่ที่ไหน ?”
“ตาเฒ่าซวน เจ้านั่นได้ขาดการติดต่อกับข้าไปนานหลายปีแล้ว ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน เจ้าถามหาเขามีอะไรเหรอ ?”
“กระบี่ของข้าหักแล้ว นักหลอมอาวุธธรรมดาทั่วไปไม่สามารถหลอมได้ ทั้งเสียโจวมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถนี้!” มู่เฉียนซีตอบตามความเป็นจริง
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “เจ้าตั้งใจฝึกฝนให้ดีเถอะ ขอเพียงแค่เขากลับมา อาจารย์จะให้เขาช่วยหลอมกระบี่ให้กับเจ้า คำขอเพียงเล็กน้อยแค่นี้ เขาไม่ปฏิเสธหรอก”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านอาจารย์มาก!”
ต่อมา การฝึกฝนของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นยากลำบากมาก แต่หากเปรียบเทียบกับการฝึกฝนของจิ่วเยี่ยแล้วก็ยังแย่กว่าไปหน่อย ในทุก ๆ วัน มู่เฉียนซีได้ฝึกฝนเนื้อหาจนสำเร็จโดยไม่กล้าปริปากบ่นว่าเหน็ดเหนื่อยเลย และสิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดยิ่งชื่นชมนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมทีคิดว่าเป็นแค่สาวน้อยที่มีพรสวรรค์ดีไม่สามารถทนต่อความยากลำบากได้ กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะมองผิดไป
หลังจากที่ฝึกฝนมาเป็นเวลาสามเดือนครึ่งก็ไม่ได้มีข่าวเกี่ยวกับอาจารย์ใหญ่เลย มู่เฉียนซีจึงเตรียมที่จะเข้าไปหาเบาะแสในห้องของอาจารย์ใหญ่ ในยามรัตติกาล เงาร่างร่างหนึ่งได้แวบผ่านไป แอบย่องเข้าไปในห้องตำราของอาจารย์ใหญ่