“ข้าว่านะ”
“ข้า…”
ยาเม็ดระดับเจ็ดหาได้ไม่ยากนักในสำนักศึกษาส่วนใน ทว่าราคาของมันนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย การที่มีคนมาเสนอจะยกยาเม็ดระดับเจ็ดให้ง่าย ๆ เช่นนี้ พวกเขาอดถอนหายใจไม่ได้
บัดนี้สำนักส่วนในของพวกเขามีศิษย์น้องผู้ร่ำรวยผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้ว
“เจ้าพูดมาเถอะ” มู่เฉียนซีมอบขวดยานั้นให้แก่ผู้ที่เปิดปากกล่าวก่อนเป็นคนแรก
คนผู้นั้นรับขวดยาไปแล้วปริปากออกมาอย่างเคอะเขิน “ศิษย์น้อง ที่จริงแล้วหอรวมวิญญาณมีการจัดวางกระบวนอย่างง่ายดายยิ่งนัก ตั้งแต่หมายเลขหนึ่งถึงหมายเลขที่สี่สิบเก้า มีการเรียงลำดับตั้งแต่แข็งแกร่งที่สุดไปจนถึงอ่อนแอที่สุด การที่เจ้าไม่รู้ย่อมไม่แปลก นั่นเป็นเพราะเจ้าเพิ่งมาใหม่”
“แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นคนอ่อนแอที่สุดก็ยังเกรงว่าเอาชนะได้ยาก ศิษย์น้อง เจ้าล้มเลิกความตั้งใจเสียจะดีกว่านะ ถือซะว่าศิษย์พี่หวังดีเตือนเจ้า”
แต่การเกลี้ยกล่อมของเขานั้นสายเกินไป มู่เฉียนซีส่งคำท้าสู้กับผู้ที่ถือครองอันดับสี่สิบเก้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เดิมทีนั้นกำลังฝึกซ้อมอยู่ดี ๆ ใครเล่าจะนึกว่าศิษย์หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามายังสำนักส่วนในได้จะหาเรื่องตายมาท้าสู้ หงกวางโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขารีบรับคำท้าของผู้ท้าและไปยังเวทีประลองที่หอรวมวิญญาณด้วยสีหน้าดุดัน
น่าหงุดหงิดนัก สาวน้อยผู้หนึ่งที่ดูแล้วอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำกลับกล้ามาท้าทายเขาเช่นนี้
“ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ถ้าหากเจ้าเปลี่ยนใจในตอนนี้ยังทัน” หงกวางจ้องมู่เฉียนซีตาเขม็ง
มู่เฉียนซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่เปลี่ยนใจหรอก มาเริ่มกันเลยเถอะ”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”
เมื่อผู้ตัดสินประกาศเริ่มการประลอง หงกวางไม่รีรอ พุ่งกระโจนออกไปราวกับราชสีห์ตัวหนึ่ง
เหล่าบรรดาคน ณ ที่แห่งนั้นล้วนถอนหายใจ บางคนก็กล่าวขึ้นมา “เจ้าหงกวางนี่ก็จริง ๆ เลย จะอย่างไรเสียศิษย์หญิงหน้าใหม่ก็เป็นสาวงามผู้หนึ่ง จะอ่อนโยนกับนางหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไง”
— ตู้ม! —
เสียงดังเสียดหูเสียงหนึ่งลอยมาท่ามกลางกลุ่มควันสีเทาทะมึน ทุกคนล้วนเบิกตากว้างพลางโพล่งขึ้น “แย่แล้ว! แม่นางรุ่นน้องคนงามผู้นั้นจบเห่แน่แล้ว”
“ไม่… นางหายไปแล้ว”
ทว่าหลังจากที่กลุ่มควันเทาทะมึนจางหายไป มู่เฉียนซีก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านบนศีรษะของหงกวางอย่างไม่ทันตั้งตัว นางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเบา ๆ แล้วบรรจงกล่าวออกมาสี่คำ
“ทักษะเทียนซวน!”
— บึ้ม! —
หงกวางกลิ้งตลบไปบนลานประลองราวกับผลไม้ที่ตกพื้น และเหล่าบรรดาผู้ที่มาชมดูก็แทบจะลูกตาถลนทะลักออกจากเบ้า นั่นมัน…
หงกวางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ บางทีเหตุแห่งการแพ้คงจะมาจากความประมาทเป็นส่วนมากแน่ ๆ แต่อย่างไรเสียเขาก็พ่ายแพ้แล้ว
เขาแพ้ให้แก่ศิษย์น้องหน้าใหม่ในกระบวนท่าเดียว น่าขายหน้านัก!
“น่าขยะแขยงจริง ๆ!” หงกวางที่ตกไปด้านล่างเวทีประลองสบถออกมาอย่างไม่ยินยอม แต่เขาจะทำอะไรได้
“มู่เฉียนซีเป็นฝ่ายชนะ!” เสียงผู้ตัดสินการประลองดังขึ้น
และตามด้วยเสียงของอาจารย์ผู้ควบคุมดูแลหอรวมวิญญาณ “ห้องฝึกหมายเลขสี่สิบเก้าในชั้นที่หนึ่งเป็นของศิษย์นามว่ามู่เฉียนซีแล้ว เอาล่ะ ศิษย์มู่ เจ้าสามารถเข้าไปฝึกบำเพ็ญในนั้นได้”
มู่เฉียนซีหันหลังจากไปและไปยังห้องฝึกเพื่อลองดูผลของมัน ปรากฏว่าพลังวิญญาณไหลเวียนขึ้นมาไวกว่าเดิมอย่างที่คิดเอาไว้
มู่เฉียนซีนั้นเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนได้ไม่ถึงครึ่งเดือนแต่กลับสามารถครอบครองห้องฝึกเอาไว้ได้แล้ว แน่นอนว่าเช่นนี้จะต้องมีผู้ที่รู้สึกไม่อยากยอมและมาท้าสู้กับมู่เฉียนซี
ผลสุดท้ายคือผู้ที่มาท้าสู้นั้น กระอักเลือดและพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถกลับไปทุกราย
มู่เฉียนซีเริ่มฝึกจากห้องฝึกลำดับที่สี่สิบเก้าก่อน นางท้าสู้พร้อมเข้าฝึกที่ห้องอื่นต่อเรื่อยมาจนถึงห้องหมายเลขหนึ่งแห่งชั้นที่หนึ่ง
นางใช้เวลาไปเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น นั่นทำให้ผู้อื่นยากที่จะเชื่อได้
“มู่เฉียนซีนี่ก็วิปริตเกินไปแล้วกระมัง! ที่ชั้นหนึ่งนั้นไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้นางได้แล้ว”
“นางเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุด มิน่าล่ะถึงได้เก่งกาจเช่นนั้น”
ในตอนแรกเริ่มพวกเขาไม่ยอมรับมู่เฉียนซี แต่มาบัดนี้พวกเขากลับยอมรับในตัวของนางทั้งกายใจ
มู่เฉียนซีมีผลงานในการต่อสู้ดีมาก นั่นทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เวลาเพียงครึ่งเดือนนี้มันเหนือความคาดหมายของเขาอย่างแน่นอน
สำหรับอาจารย์ใหญ่ ไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับตัวเขาส่งมานานแล้ว มู่เฉียนซีเองก็สามารถฝึกอยู่ในห้องฝึกบำเพ็ญได้อย่างสงบ
ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร การมีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งนั้นจะทำให้ตนเองมีสิ่งคุ้มกันที่ดีกว่าได้
หลังจากที่ได้บุกตะลุยในชั้นที่หนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็เริ่มคิดที่จะไปท้าทายชั้นที่สองที่มีทั้งหมดยี่สิบแปดตำแหน่ง ความรวดเร็วในการฝ่าตะลุยของนางยังคงรวดเร็วจนน่ากลัวเหมือนเช่นชั้นก่อนหน้า นางยังคงไม่เคยพ่ายแพ้เลย
สำหรับเหล่าศิษย์เก่าแห่งสำนักส่วนใน ศิษย์น้องใหม่ผู้นี้แข็งแกร่งจนไม่มีจุดอ่อนเลยแม้แต่น้อย
ทั้งความเร็ว พลังกาย ทักษะวิญญาณ และความต่อเนื่องในทุกกระบวนท่า ด้วยพลังทั้งหมดของนางถือว่านางมีความสามารถมากพอที่จะฝ่าไปถึงชั้นบนสุดได้ นอกจากกระบี่ที่ไม่ได้เรื่องเพราะเมื่อใช้ครั้งหนึ่งก็หักครั้งหนึ่งแล้วนั้น นางไม่มีจุดอ่อนอันใดเลย
หลังจากที่ตะลุยฝ่าทั้งชั้นสองไปได้แล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นชั้นที่สาม…
ในเวลาเพียงเดือนเดียว มู่เฉียนซีสามารถฝ่าไปได้ถึงชั้นที่เจ็ด ชั้นที่เจ็ดแห่งนี้เปรียบเป็นชายแดนของหายนะเพราะด้านล่างของชั้นที่เจ็ดล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพลังความสามารถต่ำกว่าจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก แต่หากสูงขึ้นไปกว่าชั้นเจ็ดแล้วนั้น พวกอัจฉริยะที่อยู่บนนั้นจะเป็นพวกจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด
เวลานี้มู่เฉียนซีเองก็รู้สึกได้อย่างเบาบางถึงการบรรลุขั้นของทักษะเทียนซวน มันเป็นการบรรลุขั้นขึ้นไปอย่างสมบูรณ์แบบเสียด้วย เช่นนั้นแล้วการที่นางจะไปท้าสู้กับจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด นางมีความมั่นใจมากถึงเจ็ดส่วน
“ศิษย์น้อง ฝึกอยู่ที่ชั้นหกนั้นก็ไม่เลวอยู่แล้ว แต่เจ้ายังอยากขึ้นมาชั้นที่เจ็ด นี่เจ้าไม่รู้จักสำนวนที่ว่า ‘ปีนยิ่งสูงยิ่งร่วงไปอนาถ’ หรอกรึ ?” สตรีชุดสีแดงลูกท้อที่ยืนอยู่บนเวทีประลองกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา
“แต่ผู้ที่จะตกลงไปก็ไม่แน่ว่าจะเป็นข้ามิใช่หรือ ?” มู่เฉียนซีตอบอย่างท้าทาย
“ศิษย์น้องมั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้ว ข้านั้นไม่เหมือนกับชายเหล่านั้นที่ยอมออมมือให้แก่เจ้า!” สายตาของหวงหนีส่องประกายกล้า
ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน เด็กสาวผู้นี้กำลังเจิดจรัสอย่างที่สุดในสำนักศึกษาส่วนใน
เห็นกันอยู่ว่านางเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสำนักส่วนในได้ไม่นาน แต่กลับดึงดูดสายตาของผู้คนได้ไม่น้อยเลย และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือนางเพิ่งเข้ามาศึกษาได้ไม่นานก็กลายเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุด
ต้องทราบก่อนว่าผู้อาวุโสสูงสุดนั้นไม่ได้รับใครเป็นศิษย์มาเป็นเวลานานแล้ว ในตอนนั้นที่หวงหนีได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งในฐานะศิษย์สำนักส่วนนอกก็มิได้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดสนใจนางแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องออมมือหรอก เริ่มประลองเร็วเข้าเถอะ”
เวทีประลองในวันนี้มีผู้มาร่วมชมดูอยู่ไม่น้อย
“ศึกแห่งสาวงาม คราวนี้ก็มีอะไรสนุก ๆ ให้ดูแล้ว น่าสนุกจริง ๆ”
“ศิษย์น้องใหม่ผู้วิปริตเผชิญกับนางมารบุปผาจอมราชันย์ งานนี้สนุกแน่!”
“ใช่ ๆ ๆ…”
— ปัง! —
เงาร่างสีแดงและสีม่วงเริ่มการต่อสู้ขึ้นบนเวทีประลอง
อาวุธลับของหวงหนีคือแส้ที่เต็มไปด้วยหนาม มันกวัดแกว่งไปมาอย่างพลิ้วไหวอยู่บนเวทีประลอง ปัดเข้าโจมตีมู่เฉียนซีจากมุมต่าง ๆ อย่างไม่ลดละ
หวงหนียิ้มหยัน “ศิษย์น้องมู่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามียาดี ๆ อยู่ไม่น้อย ทำไมถึงไม่หาอาวุธดี ๆ ให้ตัวเองสักอย่างหนึ่งเล่า ?! หากเจ้ายังไม่ชักกระบี่เล่มแย่ ๆ นั้นที่หักแล้วตีใหม่แต่ตีใหม่แล้วหักอีก เช่นนั้นก็จะไม่เหลือโอกาสแล้วนะ”
เอวของนางบิดไปมาเหมือนกับแส้ของนาง ร่างนางก็พุ่งไปทางมู่เฉียนซี
ด้วยการที่มู่เฉียนซีต่อสู้ชนะบ่อยครั้งจนเลื่องชื่อขึ้นมา กระบี่มังกรเพลิงที่ใช้ได้คราวละครั้งก็ได้เป็นที่ลือนามขึ้นมาเช่นกัน
มู่เฉียนซียิ้มเยาะ “ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้มัน”
“มังกรวารีพิฆาต!”
เมื่อหวงหนีเข้ามาใกล้ มู่เฉียนซีก็ได้กลิ่นดอกไม้ลอยมาอย่างเข้มข้น กลิ่นหอมของดอกไม้นี้มีผลต่อการทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นรู้สึกสับสนและเสียพลังในการต่อสู้ไป แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปนั้นยากที่จะต้านทานต่อฤทธิ์ของมันได้
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิธีการเช่นนี้ของหวงหนีเหมือนกับการตีขวานให้ปรมาจารย์หลู่ปานชม (ปรมาจารย์หลู่ปานเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างอาวุธและกลไกอย่างที่สุดในยุคโบราณ เรียกได้ว่าไม่อาจหาผู้ใดเทียบเทียมได้)
— ฟึ่บ! —
มู่เฉียนซีปล่อยเข็มยาพุ่งออกไปอย่างมั่นใจ
— กึก! กึก! กึก! —
ทว่าหวงหนีสามารถปัดป้องมันไปได้ทั้งหมด นางยกยิ้มมุมปากอย่างเบาบางพร้อมกล่าวอย่างทะนงตน “ศิษย์น้อง อาวุธลับเล็กน้อยกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
“ทักษะตี้ซวน!” มู่เฉียนซีไม่มัวไปคิดถึงเข็มยาที่พลาดไป นางโจมตีต่อเนื่องทันที
— ปึก! ปึก! ปึก! —
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายตอบโต้ทัน ทั้งส่องฝ่ายยังคงต่อสู้กันต่อไปอย่างดุเดือดจนเหล่าผู้ที่มาร่วมชมแทบไม่มีจังหวะให้ได้กะพริบตา
“เดิมทีมู่เฉียนซีต่อสู้ข้ามขั้นไปสี่ขั้น นั่นก็ว่าวิปริตมากอยู่แล้ว มาบัดนี้ข้ามขั้นไปถึงห้าขั้นแต่นางยังสามารถต่อสู้ได้อย่างเบาสบายเช่นนี้อีก นางยังเป็นคนอยู่หรือเปล่านั่น!”
“ข้าก็รู้สึกว่ามู่เฉียนซีนั้นไม่เหมือนคนแล้ว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า”
…
“ทักษะเทียนซวน!”
พลังในคราวนี้ มู่เฉียนซีรวบรวมพลังวิญญาณใส่ลงไปด้วย นางต้องการใช้ทักษะเทียนซวนที่สมบูรณ์แบบในการโจมตีครั้งนี้ จะได้รีบ ๆ จบการประลองฝีมือกับแม่นางหวงหนีขี้โอ่นี่ซะ!