“ทวีปอวิ๋นโจว!” อาจารย์ใหญ่ตะลึงตาค้าง เขาดึงมู่เฉียนซีไว้ “เจ้าหนูมู่ เจ้าก็เข้ามาด้วยสิ”
ผู้อาวุโสหลายคนมารวมตัวกัน ชั่วขณะนั้น ข่าวหนึ่งถูกปล่อยออกไป
การท้าประลองของหอแห่งหุบเขาโอสถกำลังจะเริ่มขึ้น ทางหอได้ส่งสารเชิญไปยังกลุ่มกองกำลังต่าง ๆ ในแดนใต้ แค่เพียงเป็นนักปรุงยาอายุไม่เกินกว่าสามสิบปีล้วนแล้วแต่สามารถเข้าร่วมการท้าประลองของหอแห่งหุบเขาโอสถในครั้งนี้ได้
ที่ตั้งของหุบเขาโอสถนั้นอยู่ ณ ทวีปอวิ๋นโจว
ที่แห่งนั้นไม่ได้ถูกจัดอันดับว่าอยู่ในสำนักนิกายระดับที่เท่าไร แต่มันกลับมีอิทธิพลอยู่ในแดนใต้ไม่น้อยเลย
เพราะในหุบเขาโอสถนั้นมีนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงอยู่จำนวนไม่น้อย พวกเขาคอยปกป้องหอโอสถซึ่งเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพที่สามารถทดสอบนักปรุงยาและฝึกฝนนักปรุงยาได้
อาจารย์ใหญ่ถามขึ้น “ในครั้งนี้หุบเขาโอสถให้เราเข้าร่วมได้กี่คนรึ ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “จะมีกี่คนได้เล่า ? ได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
“หืม คนเดียวงั้นรึ ?!” คิ้วของอาจารย์ใหญ่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เพราะการปรากฏตัวของมู่เฉียนซี ทำให้ศิษย์ห้องเจ็ดทั้งห้องล้วนแต่เป็นมารร้ายกันไปหมด ถ้าหากว่าสามารถเลือกผู้เข้าร่วมได้หลายคนนั่นก็ยังพอทุเลา แต่ว่านี่สามารถเลือกได้แค่เพียงคนเดียว…
ผู้อาวุโสสูงสุด “ในทวีปเสียโจวมีเพียงแค่พวกเราสำนักศึกษาซวนเสียเท่านั้นที่ได้รับเชิญจากหุบเขาโอสถ ทุกครั้งที่ได้รับเชิญจะมีเพียงแค่หนึ่งรายชื่อ และทุกครั้งก็มักอยู่รั้งท้ายอยู่ร่ำไป”
“ว่าไปแล้วมันก็น่าขายหน้านัก แต่ด้วยทรัพยากรของพวกเราชาวเสียโจว ไม่มีอะไรที่จะไปสู้กับคนอื่นได้นี่นา”
“ในครานี้ หน่วยสำนักปรุงยาของพวกเราเพิ่งผงาดขึ้นมา ไม่อยากอยู่อันดับต้น ๆ เมื่อนับจากเลขท้ายแถวอีกแล้ว เจ้าหนูมู่ เจ้าว่าส่งใครไปดีรึ ?”
อาจารย์ใหญ่กล่าวขึ้น “เราอ่านดูรางวัลสักหน่อยสิ”
“รางวัลที่หนึ่งจะได้สมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ ไขกระดูกสีม่วง”
“ซี้ด! พวกเจ้าเฒ่าหุบเขาโอสถพวกนั้นมีของล้ำค่าที่ไม่เบาเลยนี่!” ผู้อาวุโสที่สามสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกาย ไขกระดูกสีม่วง… มีไขกระดูกสีม่วงอยู่ในหุบเขาโอสถ!
นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่จำเป็นในการปรุงยาหยินหยางอนันต์ นอกจากสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ที่ลึกลับสองชนิดนั้นแล้ว ไขกระดูกสีม่วงนับเป็นสมุนไพรวิญญาณที่ทรงคุณค่าอย่างมากอีกชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้
อาจารย์ใหญ่กล่าวขึ้น “ต่อให้ของรางวัลสำหรับผู้ที่ได้สิบอันดับแรกจะดีไปกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ สำนักศึกษาซวนเสียของพวกเราไม่อาจเอาชนะเขาได้”
“อาจารย์ใหญ่เองก็จะไม่เชื่อในลูกศิษย์ของสำนักเราแม้แต่น้อยเลยมิได้ ตอนนี้พวกเขาก้าวหน้าไปอย่างมากแล้ว”
“ก้าวหน้าไปมาก แต่ระยะเวลาในการปรุงยาก็สั้นมากเช่นกันจึงทำให้ไม่สามารถสู้อัจฉริยะที่อื่นจากแดนใต้ได้”
“ตอนนี้แม้แต่เลือกผู้ที่จะไปเข้าร่วมยังไม่ได้เลือกเลย หรือว่าจะให้ซูเซิงไป”
“ตอนนี้ซูเซิงสกัดยาได้ดีมากและเขาเองก็ยังปรุงพิษได้ยอดเยี่ยมด้วย ส่วนเจ้าเด็กน้อยจี้เหินปรุงยาแบบที่ใช้ฉีดได้เก่งกาจนัก แต่ที่หุบเขาโอสถนั้นยังไม่สามารถจัดแข่งการประลองเรื่องยาแบบเข็มได้ ส่วนคนอื่น ๆ…”
เมื่อมีอัจฉริยะจำนวนมากมายก็เลือกยาก เวลานี้ใจพวกเขาเองก็ร้อนรนอยู่บ้าง
อาจารย์ใหญ่มองมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าหนูมู่ เจ้าเป็นอาจารย์ของห้องเจ็ด เจ้าคิดว่าเหมาะสมที่จะส่งใครไปหุบเขาโอสถรึ ?”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว “ฮืม… มีอยู่ผู้หนึ่งที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่ศิษย์ห้องเจ็ดและมิใช่คนของสำนักย่อยการปรุงยา เช่นนี้มิทราบว่าจะได้หรือไม่ ?”
อาจารย์ใหญ่หวงฝู่กล่าว “ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นสำนักย่อยการปรุงยาหรือไม่ ขอแค่เพียงเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเราก็พอแล้ว”
ผู้อาวุโสสูงสุดเบิกตากว้างก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหมายถึง เจ้าสาวน้อยมู่เฉียนซีนั่นน่ะรึ ?”
อาจารย์ใหญ่พยักหน้า “ใช่ แต่นางจะยินยอมหรือเปล่านั้นข้าก็ไม่แน่ใจ”
“อาจารย์ใหญ่ ท่านลืมของรางวัลของผู้ได้อันดับหนึ่งไปแล้วหรือไร ?” มู่เฉียนซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไขกระดูกสีม่วง สาวน้อยผู้นั้นต้องการสิ่งนั้นมากอย่างนั้นรึ ?”
“อันดับที่หนึ่ง นั่น…”
“ฮ่า ๆ ๆ ทำไมข้าถึงลืมเด็กสาวนั่นไปได้กันนะ” ผู้อาวุโสที่สองหัวเราะร่วน
มู่เฉียนซี “เพราะนางไม่ใช่คนของสำนักย่อยการปรุงยา หากให้นางไปยังหุบเขาโอสถ ท่านคิดว่าศิษย์พวกนั้นจะยินยอมเรื่องนี้ไหมล่ะ ? เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ยุติธรรม ข้าจึงขอเสนอให้มีการท้าประลองภายในของเราขึ้น”
ผู้อาวุโสสูงสุดกุมศีรษะอย่างจนปัญญา “เจ้าหนูมู่เฉียนซีนั่นได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเจ้า เจ้าให้พวกนั้นไปประลองกับนาง นี่ไม่ใช่การทำร้ายจิตใจพวกเขารึ ? มีอาจารย์ที่หลอกลวงศิษย์อย่างไร้จิตสำนึกที่ดีเช่นเจ้าด้วยรึ ?”
มู่เฉียนซี “ช่วงเวลาหลังจากนี้ช่วงหนึ่งข้าจะค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย อาจไม่ได้มาที่สำนักศึกษาเพื่อเฝ้าดูพวกเขาบ่อย ๆ เช่นนั้นจึงต้องใช้ยาแรงในการกระตุ้นพวกเขา ให้พวกเขาสู้ตายจะดีที่สุด”
“เช่นนั้นก็เอาตามนั้น ทั้งหมดเอาตามที่เจ้าว่า”
“อืม” มู่เฉียนซีพยักหน้า
อาจารย์ใหญ่และเหล่าผู้อาวุโสมองไปยังศิษย์เหล่านั้นแล้วแสยะยิ้ม ก่อนจะเงียบงันไปครู่หนึ่ง
เมื่อต้องเจอเข้ากับอาจารย์ผู้ใจจืดใจดำเช่นนี้ พวกเจ้าจะต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากเข้าไว้
……
ไม่นานนัก ข่าวนี้ก็ถูกกระจายออกไป
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการท้าประลองจากหอโอสถ ทวีปอวิ๋นโจวเริ่มขึ้นแล้ว สำนักศึกษาของพวกเราได้สิทธิ์ส่งรายชื่อผู้เข้าร่วมไปหนึ่งคน”
“หนึ่งรายชื่อ ครั้งนี้จะมอบให้ใคร ? ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนหน้านี้ให้สิทธิ์แก่รุ่นพี่ไป๋แห่งสำนักย่อยการปรุงยาไปในคราวนั้น เสียดายที่ในตอนที่เขาท้าประลองกับหอโอสถ คะแนนเขาออกมาไม่ดีเท่าไหร่”
“แต่คราวนี้จะมิใช่คนจากสำนักย่อยการปรุงยาของเรา แต่เป็นผู้ที่อาจารย์มู่ซีเลือกตัวมา”
“ไม่ใช่คนของสำนักย่อยการปรุงยา นั่นจะเป็นไปได้ยังไง ?”
“ผู้ที่อาจารย์มู่ซีชี้ตัวไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นั้นเป็นอัจฉริยะนักปรุงยาผู้หนึ่ง และความสามารถในการปรุงยาก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าอาจารย์มู่ซีเลย”
“นั่นเป็นไปไม่ได้!”
ในตอนนี้เอง เกิดการประชุมของพันธมิตรหอหมอปีศาจอยู่ในห้องเรียนที่เจ็ด
“ฮืออออ! อาจารย์มู่มีศิษย์รักคนใหม่และไม่ต้องการพวกเราแล้ว”
“นั่นเป็นศิษย์รักเก่าของอาจารย์มู่ซีแน่ ๆ!”
“นั่นก็ขี้โม้เกินไป ที่ว่ามีฝีมือพอ ๆ กับอาจารย์ มันผู้นั้นเป็นใครกัน ?”
“มีคนโผล่มาแย่งความรักจากพวกเราไป ช่างน่าคาใจนัก!”
“ข้าจะต้องดูให้ได้ว่ามันแน่สักแค่ไหน”
หวงฝู่จี้เหินยังคงสงบนิ่ง เขากล่าวขึ้น “ในเมื่อเป็นสิ่งที่อาจารย์เลือก จะต้องมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้นแน่ บางทีความสามารถของคนผู้นั้นอาจแกร่งกล้ากว่าข้า”
“ไม่! เราต้องไม่ยอม”
“ไม่ได้เห็นความสามารถของมัน พวกเราจะไปยอมได้ยังไง ?”
“ใช่ ข้าจะไปท้าประลองกับมัน!”
ห้องเจ็ด พันธมิตรหอหมอปีศาจนั้นมีทั้งเพลิงแห่งความพิโรธและอารมณ์ของความหวงแหนในอาจารย์ของตนปะปนกันอยู่
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเป็นลูกรักที่อาจารย์มู่โปรดปราน แต่จู่ ๆ ก็มีเจ้างั่งจากที่ใดก็ไม่ทราบได้โผล่มากลางทางและแย่งความรักของอาจารย์ไป ช่างน่าโมโหเสียจริง
ปรากฏว่ามู่เฉียนซีได้รับคำท้าจากเหล่าศิษย์ของนางเอง อาจารย์ใหญ่ยิ้มตาหยีก่อนจะกล่าว “ไอ้พวกเจ้าหนูเหล่านี้ติดกับแล้วจริง ๆ ในตอนนี้เหมือนว่าเขาอยู่ที่สำนักส่วนใน จะส่งคนไปแจ้งข่าวสักหน่อยไหมล่ะ ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “มิต้องหรอก ข้าไปบอกเขาเองก็ได้ บอกพวกเขาไปว่าพรุ่งนี้มู่เฉียนซีจะมารับคำท้า”
เหล่าศิษย์ที่น่าสงสารนั้นไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าอาจารย์มู่ซีที่พวกเขาทั้งรักและเคารพ อีกทั้งยังเกรงกลัว เป็นคนเดียวกันกับที่พวกเขากำลังโกรธเกรี้ยวและหวงแหน พวกเขาไปท้าประลองกับผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขา เตรียมตัวถูกตีตายได้เลย
…
อรุณรุ่ง
ศิษย์สำนักย่อยการปรุงยามากันเกือบทั้งหมด ผู้ที่มีความมั่นใจในความสามารถการปรุงยาของตนเองล้วนรวมตัวกันมาเป็นกองทัพที่จะมาท้าสู้ จำนวนคนของกองทัพผู้ท้าสู้นั้นมีมากจนน่าหวั่นพรึง
มู่เฉียนซีมาสาย ทำให้ทันทีที่เหล่าศิษย์มองเห็นเงาร่างของคนแปลกหน้า จิตสังหารของพวกเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาและโจมตีนางไปทางสายตา
เงาร่างสีม่วงอ่อนย่างกรายเข้ามาใกล้ ร่างกายและใบหน้าที่งดงามเมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดแลดูเจิดจ้าอย่างหาสิ่งใดเทียบเทียมไม่ได้ ทำให้บริเวณโดยรอบอับแสงลงในทันใด
พวกเขาล้วนตะลึงงัน เดิมทีพวกเขาคิดว่าอาจารย์มู่ซีมีรูปร่างหน้าตาละเอียดงดงามราวกับภูตอยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางผู้นี้จะถึงขั้นที่ว่าไม่แพ้ให้แก่อาจารย์มู่ซีเลย
นางดูสงบ สง่า สูงส่ง ทว่าก็ดูเกียจคร้านอยู่ในที นั่นทำให้พวกเขามิอาจละสายตาไปจากนางได้เลย
“โอ้! นี่เป็นสตรีนางหนึ่ง”
“แต่นางเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก…”
จ้านเทียนอวี้กล่าวขึ้นอย่างเศร้าโศก “ซูเซิง เสี่ยวเหิน เราจะทำเช่นไรดี ถ้าหากว่านางเป็นคนที่มีความสามารถระดับอาจารย์แม่ แล้วพวกเราไปท้าทายนางเช่นนี้ เราจะโดนอาจารย์มู่เชือดหรือไม่ ?”