หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกับผู้อาวุโสอีกหลายท่านมีเรื่องที่เป็นเรื่องลับต้องการจะปรึกษากับมู่เฉียนซี อาจารย์ใหญ่หวงฝู่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อและได้ให้มู่เฉียนซีไปกับหัวหน้าหุบเขาเวินเหริน
นี่เป็นความลับของหุบเขาโอสถ การพูดคุยในครั้งนี้จึงเป็นความลับอย่างมาก
มู่เฉียนซีได้นำสูตรยาสวรรค์ว่านหลิงออกมาแล้วกล่าวขึ้น “นี่เป็นยาระดับสวรรค์เต็มขั้นของขั้นที่เก้า ข้านั้นมิอาจที่จะสกัดมันออกมาได้เลย มิทราบว่าพวกท่านหัวหน้าหุบเขาเวินเหรินมีหนทางใดบ้างหรือไม่?”
พวกเขาสูดลมหายใจเข้าแล้วกล่าว “ยาสวรรค์ว่านหลิงเป็นยาขั้นเก้าที่เต็มขั้นจริง ๆ”
นับตั้งแต่หลังจากที่หอโอสถมาอยู่ในหุบเขาโอสถ ก็ไม่เคยมีใครเจอยาว่านหลิงเทียนในตำนานอีกเลย
พวกเขาเพียงแค่รู้จักยาระดับขั้นสวรรค์นี้จากตำราโบราณบางตำราเท่านั้น แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าเต็มขั้น
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “สาวน้อย ข้าคาดว่าเจ้าก็คงจะรู้ว่าหอโอสถมีความสำคัญต่อระดับของการปรุงยาสำหรับหุบเขาโอสถและสำหรับทั้งแดนใต้มากขนาดไหน”
“ในเรื่องของการปรุงยาของเมื่อก่อนนี้ แดนใต้นั้นมิอาจที่จะเทียบกับแดนตะวันออกและแดนเหนือได้เลย อีกทั้งนักปรุงยาก็มีจำนวนน้อยเป็นอย่างมาก”
สถานการณ์เช่นนี้มันเหมือนกับสถานการณ์ของทวีปเซี่ยโจวในปัจจุบันมิมีผิด มู่เฉียนซีตะลึงไปเล็กน้อย
“ตั้งแต่ที่หอโอสถปรากฏตัวขึ้นมา ถึงแม้คนทั่วไปจะฝ่าขึ้นไปในหอโอสถได้เพียงสองหรือสามชั้น แต่นั่นก็ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมทดสอบได้รับผลประโยชน์กันถ้วนหน้า นั่นจึงทำให้จำนวนของนักปรุงยาในแดนใต้มีมากขึ้นเรื่อย พลังความสามารถเองก็เพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถเทียบกับแดนตะวันออกและแดนเหนือได้ก็ตามที แต่มันก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าอีกก้าวหนึ่ง”
“ทันทีที่หอโอสถเข้าสู่ภาวะหลับใหลหากสามารถคงสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างดีที่สุดก็คือวิทยาการโอสถแดนใต้ของพวกเราจะหยุดอยู่ ณ ช่วงปัจจุบันและไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้ แต่หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็คือถอยหลังย้อนกลับไปเป็นเช่นยุคเก่า”
มู่เฉียนซีกล่าว “หอโอสถนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แต่จากนี้ไปนักปรุงยาแดนใต้จะพึ่งพาหอโอสถมากเกินเหตุต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”
“หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “พึ่งพาบ้างบางส่วน แต่นอกจากเรื่องของทรัพยากรแล้ว ในโลกทั้งสี่ทิศ แดนใต้ของพวกเรานั้นมิอาจเทียบกับแดนอื่นได้เลย ถ้าหากว่าพวกเราไม่มีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือ ต่อให้พวกเราขยันและพยายามมากกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่มีทางตามผู้อื่นได้ทัน”
“บางครั้งสภาพแวดล้อมก็สร้างความแตกต่างเป็นอย่างมาก จนกำลังของมนุษย์เรามิอาจจะไปทดแทนความแตกต่างนั้นได้ ถ้าหากว่าเจ้าได้เดินทางออกไปนอกแดนใต้แล้วก็จะเข้าใจ แต่แน่นอนว่าเจ้ามีความวิปริตที่เป็นข้อยกเว้น” หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าวพลางมองมู่เฉียนซีอย่างพิจารณา
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “พวกเราหุบเขาโอสถจะทำอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยเจ้าเพิ่มพลังความสามารถ เจ้ามีสมุนไพรอะไรที่เจ้าต้องการก็สามารถบอกกับพวกเราได้ หวังว่าเจ้าจะได้กลายเป็นยอดปรมาจารย์นักปรุงยาขั้นสูง และสกัดยาขั้นสวรรค์ระดับที่เก้าออกมาได้โดยไว”
พวกเขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ บางทีระยะเวลาถึงร้อยปีก็อาจจะถือได้ว่าเร็ว หรือบางทีมันอาจจะนานไปกว่านั้น!
การทุ่มเทครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เพื่อหอโอสถแล้วพวกเขาจึงจำต้องทุ่มเทลงไป
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ามิอาจรับรองได้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลากี่ปีกว่าจะไปถึงขั้นนั้น แต่ข้าสามารถพูดได้เพียงว่าข้าจะทำให้เต็มความสามารถ”
ถ้าหากว่านิรันดร์สามารถตื่นขึ้นมาได้โดยเร็ว อาจจะมีวิธีอะไรดี ๆ ก็ได้ บางทีอาจจะไม่ต้องรอนานขนาดนั้น
“ดี! แค่มีเพียงคำพูดของเจ้าประโยคนี้ก็เพียงพอแล้ว”
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “สิ่งแวดล้อมที่สำนักศึกษาซวนเสียแห่งทวีปเสียโจวนั้นมิได้ดีเท่าที่หุบเขาโอสถ ข้าอยากจะให้เจ้าอยู่ที่หุบเขาโอสถเพื่อที่จะตั้งใจฝึกฝน แต่ถ้าหากเจ้าปฏิเสธ พวกเราก็จะไม่ฝืนบังคับ”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน อยู่ที่หุบเขาโอสถเพื่อที่ตั้งใจสกัดยา!
นางนั้นรักในการปรุงยา แต่ทว่าโลกในวันนี้นั้นไม่เหมือนเก่า นอกจากการปรุงยาแล้วนางยังจะต้องฝึกบำเพ็ญและฝึกยุทธ์เพื่อที่จะเพิ่มพลังความสามารถ
ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะปฏิเสธ ในตอนนี้ก็ได้มีเสียงคนรายงานเข้ามาว่า “ท่านหัวหน้าหุบเขา ท่านผู้อาวุโส คุณชายอวี้ฟื้นขึ้นมาแล้วและบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับพวกท่าน!”
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเด็กนั่นตื่นมาแล้วก็ไปเสีย มีอะไรที่ต้องคุยกันอีก?”
“พวกเราไปดูกันเถอะ ว่าเขาจะทำเรื่องอะไรอีกกันแน่ จากนั้นค่อยมาคุยกันเรื่องที่แม่สาวน้อยจะอยู่ที่หุบเขาโอสถหรือไม่นี่ต่อในภายหลัง!”
ในตอนนี้หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินมิได้เห็นมู่เฉียนซีเป็นคนนอก และได้พานางไปด้วยกัน
แต่มู่เฉียนซียังไม่ได้ก้าวเข้าไปในประตูก็พลันกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เข้าไปดีกว่า เพื่อที่จะได้ไม่ให้เจ้าหมอนั่นเห็นข้าแล้วเกิดไฟเผาใจจนต้องกระอักเลือดและเป็นลมไปอีกครั้ง มิเช่นนั้นแล้วพวกท่านต้องให้เขาพักอยู่ที่นี่อีกหลายวัน”
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “เช่นนั้นเจ้ารออยู่ที่ด้านนอกนี่เสียสักครู่ เจ้าเด็กนั่นคงไม่มีเรื่องที่สลักสำคัญอะไรมากมาย”
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินได้เดินเข้าไป ส่วนคำพูดทิ้งท้ายของหัวหน้าหุบเขานั้น มู่เฉียนซีไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไร
มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเพราะดูเหมือนว่าอวี้เหลียนชิงจะรู้แล้วว่าหอโอสถนั้นเกิดปัญหาบางอย่าง
“เจ้าหนูอวี้ เจ้าเรียกหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?” หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินถามขึ้น
อวี้เหลียนชิงมองไปที่หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินแล้วกล่าว “ในเมื่อท่านหัวหน้าหุบมาแล้ว เช่นนั้นข้าผู้เป็นชนรุ่นหลังก็จะพูดตรง ๆ เลยแล้วกัน”
“พลังของหอโอสถของพวกท่านคงใกล้จะหมดลงแล้ว!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” นี่เป็นความลับของพวกเขาชาวหุบเขาโอสถและไม่ได้มีการแพร่งพรายออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน
“พวกเราหุบเขาหมอเทวดาต้องการที่จะรู้เรื่องใดสักเรื่องหนึ่ง ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร พวกท่านหุบเขาโอสถคิดว่าได้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นอย่างดี แต่ที่จริงมันมีรอยรั่วให้ความลับแพร่กระจายออกไปนับร้อยรูตั้งนานแล้ว”
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “วันนี้เจ้ากล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา มีเป้าหมายอะไร?”
“ข้านั้นนำคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ที่ฝากมาบอกว่า อาจารย์ของข้าอาจจะมีวิธีที่สามารถจะช่วยหอโอสถเอาไว้ได้ แต่อาจารย์ของข้าก็มีเงื่อนไข นั่นก็คืออยากที่จะยืมหอโอสถมาใช้เป็นเวลาหนึ่งพันปี”
การยืมของหุบเขาหมอเทวดา มีสิทธิ์ที่จะเป็นการยืมไปแต่ไม่ได้คืน
ในระยะเวลาหลายพันปี การที่หุบเขาหมอเทวดาแสดงความโลภในหอโอสถของพวกเขานั้นมิใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
และแต่ละครั้งนั้นไม่เคยประสบความสำเร็จอยู่ร่ำไป แต่ในคราวนี้พวกเขานั้นได้ใช้ลูกเล่นในจังหวะที่พวกเขากำลังย่ำแย่
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “ข้าจะเอาอะไรไปเชื่อว่าอาจารย์ของเจ้านั้นจะสามารถทำได้ หุบเขาโอสถของเรานั้นมีผู้อาวุโสตั้งหลายท่านแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะของหอโอสถได้ อาจารย์ของเจ้านั้นเป็นใครมาจากไหนกันที่จะสามารถ”
“ถ้าหากบอกว่า พวกเราหุบเขาหมอเทวดามีข่าวคราวของหม้อเทพนิรันดร์เล่า?” อวี้เหลียนชิงกล่าว
“อีกไม่นานพวกเราหุบเขาหมอเทวดาก็จะสามารถหาหม้อเทพนิรันดร์ได้พบแล้ว นอกจากการขึ้นไปบนชั้นที่เจ็ดของหอโอสถแล้ว บนโลกนี้ก็ยังมีหนทางอื่นที่สามารถช่วยหอโอสถเอาไว้ได้อีก นั่นก็คือราชันย์แห่งหม้อทั้งปวง หม้อเทพนิรันดร์! หัวหน้าหุบเขาเวินเหริน สิ่งที่ข้ากล่าวมานั้นมิผิด!” อวี้เหลียนชิงนั้นมีท่าทีของคนต่ำช้าที่กำลังได้ใจ
มู่เฉียนซีที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็แทบอดไม่ได้อยากที่จะหัวเราะออกมา นี่พวกหุบเขาหมอเทวดาคิดที่จะจับหมาป่าขาวด้วยมือเปล่าหรืออย่างไร?
อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้หม้อเทพนิรันดร์มา พวกเขายังกล้าพูดออกมาได้ นี่มันฝันไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจชัด ๆ รอจนหุบเขาหมอเทวดาของพวกเขาถึงกาลพินาศก็จงอย่าได้หวังว่าจะได้ครอบครองหม้อเทพนิรันดร์
เมื่อได้ยินชื่อของหม้อเทพนิรันดร์ นั่นทำให้หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินเบาใจลงไปบ้าง
มู่เฉียนซีนั้นเก่งกาจเป็นอย่างมาก แต่ว่าหนทางที่นางจะต้องเดินให้ถึงนั้นยังอีกยาวไกลและยังไม่รู้อีกว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่
แน่นอนว่าเขาคงไม่ตอบตกลงไปในทันทีด้วยความใจร้อน เพราะเขานั้นรู้ดีว่าพวกหุบเขาหมอเทวดาวางแผนอะไรอยู่
ถ้าหากว่าพวกนั้นได้หอโอสถไป เช่นนั้นพวกมันก็จะทำให้โอสถเป็นสมบัติโดยเฉพาะของหุบเขาหมอเทวดาและทำประโยชน์ต่าง ๆ นานาให้พวกนั้น จนกระทั่งพวกนั้นได้เป็นใหญ่ในทั้งแดนใต้
อวี้เหลียนชิงกล่าว “ถึงแม้ว่าหอโอสถจะเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพชิ้นหนึ่ง แต่ว่าหอนั้นก็เป็นเหมือนกับอาจารย์ของพวกท่าน พวกท่านจะยอมเห็นมันหลับใหลและค่อย ๆ ตายไปอย่างเงียบ ๆ หรือ สิ่งที่พวกเราหุบเขาหมอเทวดาขอไม่ได้เกินเลยไปเลย ก็แค่เพียงยืมมาใช้หนึ่งพันปีเท่านั้นเอง หลังจากผ่านไปหนึ่งพันปีพวกเราก็จะคืนให้แก่พวกท่านหุบเขาโอสถ”
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “ให้ข้าคิดทบทวนดี ๆ เสียหน่อย เจ้าพักผ่อนเสีย!”
“ข้าจะรอคำตอบจากท่านหัวหน้าหุบเขา!”
หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินเดินออกจากประตูมาก็กล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ตามข้ามา!”
เขาพานางกลับไปยังสถานที่ที่ได้คุยค้างกันไว้ก่อนหน้า หัวหน้าหุบเขาเวินเหรินกล่าว “สาวน้อย เรื่องเมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว!”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “หัวหน้าหุบเขา คำพูดของอวี้เหลียนชิงท่านเชื่อหรือ?”