“อืม! ลงมือ!” ซวนอี้กล่าวด้วยเสียงขรึม
พวกเขาที่อยู่ภายใต้การชี้นำของมู่เฉียนซี ได้โอกาสในการเป็นผู้ชิงลงมือก่อนและได้รับผลประโยชน์อย่างมากมาย
และในขณะเดียวกันนั้น การกระทำจากกลุ่มเล็กของพวกเขาก็ได้ดึงดูดความโกรธเกรี้ยวของผู้คนขึ้นมา ทำให้ทุกคนในกลุ่มนั้นค่อนข้างเป็นกังวลอยู่บ้าง
แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวขึ้นว่า “ต่อให้พวกเราไม่ชิงลงมือก่อน พวกนั้นจะล้มเลิกการที่จะมาปล้นชิงพวกเราเหรอ?”
“ก็ไม่! เช่นนั้นก็ลงมือเลย!” มู่เฉียนกล่าวพร้อมโบกมือ
จินซ่านซ่านนั้นถือเอาคำพูดของมู่เฉียนซีเป็นพระราชโองการมาโดยตลอด เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ใช่ เช่นนั้นก็ลงมือเลย ใครกลัวใครกันเล่า? ”
เพราะว่าพวกเขาปฏิบัติการอย่างอุกอาจ แน่นอนว่านั่นจึงทำให้ร่องรอยของพวกเขาถูกเผยออกมา แล้วตอนนี้มันก็เป็นเวลาที่การแข่งขันใหญ่ร้อยสำนักจะจบลงภายในเวลาอีกหนึ่งวันเท่านั้น แต่กลับมาถูกผู้อื่นล้อมวงเข้าไว้เสียแล้ว
“ในที่สุดก็หาพวกเจ้าพบเสียที”
“พวกเจ้านี่ช่างหลบซ่อนได้เก่งนักนะ ดูสิว่าทีนี้พวกเจ้าจะหนีไปอย่างไร ?”
“พลังความสามารถก็ไม่เท่าไรนี่? แต่กลับใช้วิธีการชั่วร้ายกับพวกเราไปทั่ว มาคอยดูกันว่าพวกข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร”
พวกนั้นจ้องมองพวกมู่เฉียนซีด้วยสายตาที่ประหนึ่งเสือและหมาป่า ซวนอี้ได้เดินมาที่ข้างตัวของมู่เฉียนซีและกล่าวขึ้น “เฉียนซี ข้ารู้ว่าเจ้านั้นรวดเร็วและยังสามารถใช้พิษได้อีก ถึงต่อให้พวกเขาล้อมเอาไว้แต่เจ้าเพียงตัวคนเดียวจะสามารถหนีไปได้อย่างแน่นอน และหลบซ่อนไปอีกหนึ่งวัน เมื่อถึงตอนนั้นก็จะสามารถผ่านรอบที่สองไปได้แล้ว”
จินซ่านซ่านกล่าว “หัวหน้าสบายใจได้! ทางนี้มอบให้ข้าจัดการ เจ้านำสมบัติทั้งหมดของพวกเราแล้วไปก่อน อันดับหนึ่งในการแข่งรอบที่สองนี้ ผู้ใดก็แย่งเอาไปไม่ได้”
นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่มู่เฉียนซีกลับปฏิเสธขึ้นอย่างทันควัน
“เจ้าคิดว่าข้าจะทิ้งเพื่อนเหรอ ? อีกอย่างข้าก็ไม่อยากที่จะหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนั้น และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร การต่อสู้ในครั้งนี้ข้านั้นไม่สามารถที่จะหลบหลีกไปได้ มันก็เป็นแค่การแข่งขันประลองระหว่างสำนักศึกษาเพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น พวกเรายังสามารถที่จะแพ้ได้” มู่เฉียนซีกล่าว
“พี่ใหญ่มู่กล่าวมาก็ถูกต้อง พวกเราได้บุกตะลุยวังใต้ดิน สมบัติเองก็ได้มาไม่น้อย อีกทั้งลอบกัดคนอื่นไปตั้งมากมาย ถึงต่อให้ต้องพ่ายแพ้ นั่นก็ถือว่าพวกเราเก่งพอตัวแล้ว” จินซ่านซ่านยิ้มพร้อมกล่าว
ซวนอี้พยักหน้ากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็เตรียมตัวออกศึก! ถึงแม้ว่าจะตกรอบแต่ลากพวกมันไปด้วยบ้างก็ไม่เลว”
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่มีผู้นำทัพ ในตอนที่ยืนเผชิญหน้ากันอย่างแข็งทื่อในช่วงเวลาสุดท้าย เหลยหมิงก็ได้ก้าวออกมา
เหลยหมิงกล่าว “กลุ่มเล็กของพวกเจ้านี้มีโชคไม่เลวเลย ของมีค่าทั้งวังใต้ดินล้วนแต่ได้เข้าไปอยู่ในมือของพวกเจ้า ส่วนพวกเรานั้นกลับไม่ได้อะไรเลย พวกเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ค้นพบวังใต้ดิน ประตูใหญ่นั้นก็ยังเป็นพวกเราที่เปิดมันออก ฉะนั้นแล้วพวกเราจะต้องเอาของพวกนั้นกลับมาบ้าง”
หัวหน้าของกลุ่มสำนักอันดับหนึ่งแห่งทวีปเหยียนโจวนามว่าเหยียนหลัวกล่าวขึ้น “โชคของพวกเจ้านั้นไม่เลว แต่พลังความสามารถของพวกเจ้านั้นอ่อนแอเสียจนไม่อาจต้านทานได้ไหว ทางที่ดีจงทำตัวให้ดีหน่อย”
“พวกเจ้าใช้วิธีการต่ำช้าลอบโจมตีพวกเรา แย่งชิงสมบัติที่พวกเรารวบรวมมา ช่างน่ารังเกียจ!” สำนักศึกษาจำนวนไม่น้อยล้วนแสดงออกกันเช่นนี้
ในตอนนี้ไป๋ชางเดินออกมาแล้วกล่าว “ตอนแรกข้าเชิญพวกเจ้าเข้ามาร่วมด้วยเจตนาดี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเนรคุณ หลังจากพบสมบัติมีค่าเข้าก็วางยาพิษลอบทำร้ายพวกเรา ทำให้พวกเราสลบไสลอยู่ที่วังใต้ดินนั้นไปตั้งนาน และแทบจะหลับใหลไปเสียจนถึงตอนจบของการแข่งกัน พวกเจ้านี่มันช่างน่าเกลียดนัก”
อย่างไรเสียการที่คนกลุ่มนี้ได้เริ่มการกล่าวคำครหาขึ้นมา แน่นอนว่ามันเป็นการหาข้ออ้างของพวกเขาให้มากเพียงพอ
สีหน้าของมู่เฉียนซีในยามนี้นิ่งสงบเป็นอย่างมาก นางกล่าว “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่? ถึงแม้ว่าพวกเราจะตกรอบ แต่ข้าก็จะไม่ให้พวกเจ้าได้อะไรไป พวกเจ้าอยากที่จะแย่งชิงของที่ข้าได้มา ไม่มีทาง”
“แต่ถึงแม้จะตกรอบไป แต่ลากพวกเจ้าสักครึ่งหนึ่งไปเป็นเบาะกันกระแทกก็มิใช่ว่าทำมิได้”
พวกกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่ถูกลอบโจมตีไปสีหน้าแกร็งตึงขึ้นมา พวกเขานั้นรู้ดีว่ามู่เฉียนซีมีพลังความสามารถที่อ่อนแอ แต่ทว่าพิษของนางนั้นมิได้อ่อนแอเลย
จะต่อสู้กันจริง ๆ เหรอ ? ถ้าหากว่าเอาจริง พวกเขาสักคนที่โชคไม่ดีต้องพิษเข้าหรือถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บหนักจะต้องตกรอบไป
ในตอนนี้สำนักศึกษาใหญ่สองสำนักคือซวนเสียและจินซินได้ถูกบีบมาจนถึงทางตันและพวกเขาจะสู้อย่างหัวชนฝา แต่อีกฝ่ายนั้นไม่สามารถที่จะไม่สนใจสิ่งใดได้ โดยเฉพาะนักศึกษาจากแต่ละสำนักใหญ่ของทวีปเหลยโจวและทวีปเหยียนโจว
ถ้าหากว่าพวกเขานั้นไม่สามารถเข้ารอบตัดสินสุดท้ายได้ เช่นนั้นจะเป็นที่อับอาย
แต่ถ้าหากว่าปล่อยพวกนางไป? มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?
“พวกเจ้าส่งมอบสมบัติออกมาเก้าในสิบส่วน พวกเราจะไม่ลงมือ” เหลยหมิงกล่าว
มู่เฉียนซีปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “นั่นเป็นไปไม่ได้ ของของพวกเราแม้เพียงหนึ่งส่วนก็จะไม่ให้ไป”
“เจ้าอย่าได้โอหังมากเกินไปนัก” เหยียนหลัวกล่าว
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด พวกเขาล้วนเป็นคนหนุ่มสาวเลือดลมเร่าร้อน และบางครั้งมันก็ไม่สามารถที่จะอดทนได้จริง ๆ
ในตอนนี้มู่เฉียนซีกล่าวอย่างช้า ๆ “การตะลุมบอนขนาดใหญ่นั้นไม่เป็นผลดีต่อทั้งฝ่ายเจ้าและข้า พวกเราสามารถจัดการประลองแบบบุคคลเดี่ยวขึ้นมาได้ เลือกตัวแทนออกมาสามคน อัตราชนะคือชนะสองในสามรอบ”
“หากฝ่ายของเราแพ้ สมบัติทั้งหมดที่พวกเราหาได้จะมอบให้พวกเจ้า ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าจะแบ่งกันอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของพวกเจ้า”
“ถ้าหากว่าพวกเราชนะ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรจะแยกย้ายไปเสีย! อย่าได้มาหาเรื่องพวกเรา”
ดวงตาของเหลยหมิงเปล่งประกายสว่างวาบออกมา นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
ด้วยความแข็งแกร่งเช่นพวกเขา ยังจะต้องกลัวแพ้สำนักศึกษาที่อ่อนแอจนไม่ไหวสองแห่งนี้อีกหรือ?
เหลยหมิงปรึกษากับทุกคนในพวกเขาอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบรับกลับมาว่า “ได้! งั้นเอาเช่นนั้น!”
ทางฝั่งของมู่เฉียนซีได้ส่งตัวมู่เฉียนซี ซวนอี้และจินซ่านซ่านออกมา
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งได้ส่งตัว เหลยหมิงผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มทวีปเหลยโจว เหยียนหลัวผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเหยียนโจว ส่วนจากที่แห่งอื่นนั้น ได้ให้ไป๋ชางจากสำนักศึกษาหมอเทวดาเป็นหัวหน้าและตัวแทน
ข้อมูลที่ได้มานั้นมาจากสำนักศึกษาหมอเทวดา แน่นอนว่าเพราะเหตุนี้จึงได้ให้ไป๋ชางเข้าร่วม ส่วนเหลยหมิงและเหยียนหลัวนั้นมีความมั่นใจกับการเอาชนะเป็นอย่างมาก
ไป๋ชางจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างดุดัน เขาต้องการที่จะแก้แค้น
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น แต่ว่าเขานั้นกลับได้รับบาดเจ็บหนัก อีกทั้งยังมีความรู้สึกถึงเลือนรางว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นคนทำ
เหลยหมิงและเหยียนหลัวมีพลังความสามารถที่เป็นถึงระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่แปด!
สำนักศึกษาซวนเสียและสำนักศึกษาจินซินนั้นไม่อาจที่จะชนะได้เลย ชัยชนะนั้นเป็นเพียงความหวัง
แน่นอนว่าเหลยหมิงนั้นได้ออกมาประลองเป็นคนแรก ส่วนทางสำนักศึกษาซวนเสียได้ส่งตัวซวนอี้ออกไป
มู่เฉียนซีกล่าว “ซวนอี้ แค่ลองดูเชิงก็พอ อย่าได้เอาเป็นเอาตายนัก รอบต่อไปยังมีข้าอยู่”
จินซ่านซ่านตบไหล่ซวนอี้ ซวนอี้ส่งเสียงตอบกลับจินซ่านซ่านไป “อืม!”
ทางฝั่งของมู่เฉียนซีได้ส่งตัวซวนอี้ซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาของพวกนางออกไป นี่ก็อยู่ในการคาดการณ์ของพวกนั้น แต่ทว่าพลังความสามารถของทั้งสองคนนี้ต่างกันมากมายนัก
ทันทีที่เหลยหมิงเริ่มลงมือ พลังแห่งสายฟ้านั้นก็ได้ฟาดลงมาที่ตัวของซวนอี้ นั่นจึงทำให้เขาชาไปทั้งตัว
และตอนนี้เหลยหมิงเองก็ยังมิได้ออกแรงอย่างเต็มที่
ปัก ปัก ปัก!
ยิ่งประมือกันมากเท่าไหร่ ใบหน้าของซวนอี้ก็ยิ่งหม่นหมอง
ห่างชั้นกันเกินไป! ก่อนที่มู่เฉียนซีจะปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศ เขานั้นเป็นผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งในคนรุ่นหนุ่มสาวของทวีปเสียโจว และมีชีวิตอยู่อย่างเป็นตำนาน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หลงทะนงในตนเอง แต่แน่นอนว่าตัวเขานั้นมีรัศมีของผู้เป็นอัจฉริยะที่ไร้เทียมทานแผ่ออกมา มาตอนนี้เขาได้ค้นพบว่าขอบฟ้าของทวีปเสียโจวนั้นช่างเล็กนัก เหนือภูเขายังมียอดเขา เหนือคนยังมียอดคน!
ปัง!
ซวนอี้พ่ายแล้ว พ่ายในสิบกระบวนท่าให้แก่เหลยหมิง
ในตอนนั้นมู่เฉียนซีก็เพียงแค่ชนะเขามาได้อย่างหวุดหวิดเท่านั้น แต่มาตอนนี้เหลยหมิงนั้นเอาชนะเขาได้อย่างเด็ดขาด นี่เป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
“จักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ดมีพลังในการต่อสู้เช่นเจ้านี้ก็นับว่าดีเป็นอย่างมากแล้ว แต่ว่าอย่างไรเสียก็มีพลังวิญญาณไม่เพียงพอ!” เหลยหมิงกล่าวประเมินซวนอี้
มู่เฉียนซีได้เดินไปมอบยาให้แก่ซวนอี้ที่ข้างกายเขา นางถามขึ้นว่า “อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักศึกษาซวนเสียของพวกเราโดนล้มเข้าแล้ว?”