ไม่มีทักษะวิญญาณที่งดงาม มู่เฉียนซีแค่แทงเข้าไปโดยตรง
แม้แต่ว่านอู่เทียนเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่ามู่เฉียนซีจะใช้กระบวนท่านี้ เขารีบหลบอย่างรวดเร็ว บนแขนปรากฏรอยกรีดเล็ก ๆ ขึ้น
เป็นเพียงแค่รอยแผลที่เล็กกว่ายุงกัดเสียอีก ไม่ได้ระแคะระคายแต่อย่างใด
ส่วนมู่เฉียนซี เมื่อทำสำเร็จแล้ว นางก็ได้รับการโจมตีกลับจากว่านอู๋เทียนอีกครั้ง
ตูม!
กระบวนท่านี้แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
ร่างของมู่เฉียนซีกระเด็นลอยไปติดขอบลานประลองจนเกือบจะร่วงลงไปจากลานประลอง
และที่มู่เฉียนซีไม่ได้ร่วงลงไปจากลานประลองก็เป็นเพราะว่าว่านอู๋เทียนขัดขวางเอาไว้
“ว่านอู๋เทียนช่วยมู่เฉียนซีเอาไว้!”
“เจ้าหมอนี่เป็นคนจิตใจอำมหิตลงมืออย่างโหดเหี้ยมมาโดยตลอด ตอนนี้ลงมือช่วยแม่นางน้อยผู้นี้เอาไว้ ต้องมีเจตนาร้ายเป็นแน่”
“……”
ว่านอู๋เทียนนั้นมีเจตนาร้าย ในเมื่อเขาฆ่ามู่เฉียนซีไม่ได้ เขาก็ต้องทำให้นางเป็นคนไร้ประโยชน์ หากปล่อยให้นางร่วงลงไปจากลานประลองเช่นนี้ นั่นคงเป็นปัญหาแน่
ตอนนี้มู่เฉียนซียกกระบี่มังกรเพลิงขึ้น คมกระบี่ก็สั่นขึ้นเล็กน้อย
ถึงแม้ไม่มีวิญญาณกระบี่อยู่ แต่มู่เฉียนซีก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของกระบี่มังกรเพลิง และคล้ายกับรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองบางอย่าง
นางได้ค่อย ๆ สูดดมกลิ่นอายของเลือดที่อยู่บนคมกระบี่นั้น แววตาก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น
ทุกคนต่างก็งุนงง “มู่เฉียนซีกำลังทำอะไร ?”
“มัวแต่จ้องมองกระบี่ที่เปื้อนเลือดนั้นอยู่ได้ มันมีอะไรให้น่ามองหนักหนา”
“ว่านอู๋เทียนจะเข้ามาฆ่าแล้ว รีบหลบเร็วเข้า!”
ปัง! ในขณะที่ว่านอู๋เทียนพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง มู่เฉียนซีก็รีบหลบอย่างจนตรอก
แต่หลังจากที่นางได้หันหลังกลับมา พลังวิญญาณของนางก็โคจรขึ้น และได้ลงมือกวัดแกว่งกระบี่ลงมือฆ่าไปสามกระบวนท่าอย่างไร้ความปรานี
“มังกรเพลิงสังหาร!”
“มังกรเพลิง…”
“มังกร…”
สามกระบวนท่านี้คล้ายกับว่าลงมือไปในเวลาเดียวกัน มังกรเพลิงสามตัวพุ่งทะยานออกไป และได้ห้อมล้อมว่านอู๋เทียนไว้
ตูม ปัง ปัง!
แต่ถึงกระนั้น ว่านอู๋เทียนก็ยังคงต้านทานเอาไว้ได้
อาจารย์ใหญ่ซวนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “สามกระบวนท่า ลงมือไปสามกระบวนท่าในคราเดียวเช่นนี้มันสิ้นเปลืองจนเกินไป นั่นก็หมายความว่า ยังเหลือสองครั้งสุดท้ายแล้วน่ะสิ!”
“หากกระบี่ของนางหักลง นางต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ แย่แน่!” อาจารย์ใหญ่ซวนก็รับรู้ได้ว่าว่านอู๋เทียนนั้นมีเจตนาร้ายต่อมู่เฉียนซี
“ใช่!” ซวนอี้และผู้อาวุโสสูงสุดก็เห็นพ้องต้องกัน
จากนั้นทั้งสองก็ได้ปะทะกันอีกครั้ง และนั่นเป็นการต่อสู้ที่อันตรายถึงความตาย
กระบวนท่าสังหารที่ใช้ล้วนแต่เป็นกระบวนท่าที่ถึงแก่ความตายทั้งสิ้น การโจมตีนี้ไม่ใช่การประลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์แล้ว ทว่า เป็นการต่อสู้แห่งความเป็นความตาย
จินซ่านซ่านยิ่งดูก็ยิ่งหวาดกลัวจนใจไม่เป็นสุข เขาตะโกนขึ้นว่า “พวกเจ้าหมดแรงกันแล้วหรือไง รีบตะโกนให้กำลังใจพี่ใหญ่เร็วเข้า พี่ใหญ่มู่ต้องชนะ!”
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่จินซ่านซ่านก็ยังคงคิดว่าพี่ใหญ่มู่ของตนเองนั้นชนะแน่นอน
“มังกรเพลิงสังหาร!”
“มังกรเพลิงสังหาร!”
“มังกรเพลิงสังหาร!”
มู่เฉียนซีโจมตีไปด้วยสามกระบวนท่านี้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะเกินกว่าจำนวนเดิม แต่นั่นเป็นเพราะสามกระบวนท่านี้ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก นึกไม่ถึงว่าจะสำเร็จแล้ว
อาจารย์ใหญ่ซวนกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “สิบสามครั้ง! นึกไม่ถึงว่าจะเกินมาครั้งนึง หากได้มากกว่านี้ก็คงจะดี”
ทว่า นี่เป็นความหวังที่มากเกินไป!
ในขณะที่ว่านอู๋เทียนโดนกำลังถูกมังกรเพลิงทั้งสามตัวพัวพันอยู่นั้น กระบี่มังกรเพลิงในมือมู่เฉียนซีก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
“แกร๊ง!”
ทุกคนต่างก็ตกใจนิ่งอึ้งไป “กระบี่ของมู่เฉียนซีหักแล้ว”
“มาหักเอาตอนนี้เนี่ยนะ แย่แล้ว!”
“สำนักศึกษาซวนเสียสมกับที่เป็นอันดับสุดท้ายจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะโชคดีที่ปรากฏอัจฉริยะเช่นนี้ขึ้น แต่อาวุธวิญญาณที่ให้นักเรียนก็เป็นอาวุธธรรมดางั้น ๆ และนึกไม่ถึงว่าจะหักลงไปเช่นนี้”
อาจารย์ใหญ่ซวนรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก อยากจะตะโกนด่าจริง ๆ!
อาวุธวิญญาณธรรมดา งั้น ๆ อะไรกันล่ะ คมกระบี่ของกระบี่เล่มนี้เป็นคมกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เชียวนะ ต่อให้เป็นดินแดนสี่ทิศก็ไม่มีกองกำลังใดที่สามารถเอาของล้ำค่าเช่นนี้ออกมาได้
พวกคนไร้ความรู้!
ส่วนอาจารย์ใหญ่เหลยตอนนี้ก็ตกใจนิ่งอึ้งไปเช่นกัน เขารู้ว่ากระบี่ของมู่เฉียนซีนั้นไม่ธรรมดา สามารถใช้กระบวนท่ากระบี่อันทรงพลังได้
แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากระบี่เล่มนี้ใช้ได้ไม่ยั่งยืน นึกไม่ถึงว่าจะหักลงในขณะที่ต่อสู้อยู่เช่นนี้
เขากล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจว่า “ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ ก็คงจะมอบกระบี่ให้สาวน้อยไปสักเล่มแล้ว”
ต่อให้เป็นกระบี่หัก แต่นั่นก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะหักไป
ดูเหมือนว่ากระบี่มังกรเพลิงใช้ไปเช่นนี้ก็หักลง ทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นเพราะคุณภาพของมันจึงได้หักลง ไม่มีผู้ใดคาดการณ์เป็นอย่างอื่นเลย
ร่างของว่านอู๋เทียนตอนนี้ถูกเผาจนเสื้อผ้าปรากฏรูหลายรู เขากล่าวเสียงขรึมว่า “มู่เฉียนซี กระบี่ของเจ้าก็หักแล้ว คราวนี้ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะขัดขืนความตายเช่นไร!”
กระบี่มังกรเพลิงกับพลังระดับห้าตอนนี้ของมู่เฉียนซี ทำให้นางต่อสู้ข้ามระดับถึงระดับแปดระดับเก้านั้นไม่มีปัญหา ว่านอู๋เทียนใช้ความเร็วหลบหลีก และกระบี่มังกรเพลิงก็ได้สร้างความลำบากที่แตกต่างกันให้กับว่านอู๋เทียน
ในที่สุดตอนนี้ก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับกระบวนท่ากระบี่พลังธาตุอัคคีนั้นแล้ว ว่านอู๋เทียนคิดว่าการจัดการกับมู่เฉียนซีนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
ร่างชุดดำเคลื่อนไหวไป ตอนนี้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่งของเขาได้เข้าไปใกล้มู่เฉียนซีแล้ว
มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวหลบอย่างรวดเร็ว ตูม!
พวกเขาปะทะกันอีกครั้ง ในขณะที่ปะทะกันนั้นร่างของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก
เพล้ง! และในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีได้ทุบขวดผลึกใสขวดหนึ่ง
หมอกสีขาวขุ่นได้ตลบไปทั่วทั้งลานประลอง
ปัง! ในตอนนี้อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหมอเทวดาได้ทุบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ “อาจารย์ใหญ่เหลย มู่เฉียนซีวางยาพิษ”
อาจารย์ใหญ่เหลยกล่าว “จะใช่พิษหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่อาจสรุปได้ หรือว่า อาจารย์ใหญ่ไป๋จะไปลองดูที่ลานประลอง ว่าตกลงแล้วมันคือพิษหรือไม่”
ตอนนี้มู่เฉียนซีเดินออกมาจากกลุ่มหมอกควันนั้น นางกล่าว “ใช่ ข้าวางยาพิษ วางยาพิษอย่างโจ่งแจ้ง”
ในการประลอง แน่นอนว่านางมีวิธีวางยาพิษโดยไม่ให้ผู้ใดรู้และทำให้ผู้อื่นจับไม่ได้ แต่ตอนนี้วางยาพิษอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่เป็นไร
อาจารย์ใหญ่ไป๋กล่าว “อาจารย์ใหญ่เหลย จะต้องยกเลิกการแข่งขันของมู่เฉียนซีครั้งนี้ และคะแนนการแข่งขันของสำนักศึกษาซวนเสียครั้งนี้ นับจากนี้ต่อไปสำนักศึกษาซวนเสียไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันใหญ่ร้อยสำนักอีก”
อาจารย์ใหญ่เหลยขมวดคิ้วพลางกล่าว “นี่ตกลงว่าข้าหรืออาจารย์ใหญ่ไป๋กันแน่ที่เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันในครั้งนี้”
อาจารย์ใหญ่ไป๋รีบหุบปากลงทันใด ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะแม้กระทั่งสำนักศึกษากุ่ยหยู้ตอนนี้ยังไม่ได้เอ่ยปากกล่าวสิ่งใดเลย!
สำนักศึกษาหมอเทวดาจะเดือดเนื้อร้อนใจไปเพราะเหตุใด ว่านอู๋เทียนก็ไม่ใช่นักเรียนสำนักศึกษาของพวกเขาสักหน่อย ต่อให้ชนะ สำนักศึกษาของพวกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด
ในตอนนี้ควันสีขาวขุ่นก็ได้จางหายไปแล้ว พวกเขามองไปที่คนผู้นั้นที่ยืนหน้าขรึมอยู่บนลานประลอง
ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหล “คนผู้นี้เป็นใครกัน ?”
“ว่านอู๋เทียนไปไหนแล้วล่ะ นี่มู่เฉียนซีเล่นตลกอะไรกับพวกเรา”
“ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ควันสีขาวนั่นทำให้ว่านอู๋เทียนเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง”
คนตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่ว่านอู๋เทียนจริง ๆ รูปร่างหน้าตาของว่านอู๋เทียนนั้นดูธรรมดา และดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบสามสิบปี
ทว่า คนผู้นี้ รูปร่างหน้าตานับว่าไม่เลวเลย และดูเหมือนจะมีอายุสามสิบกว่าปีก็มิปาน
และแน่นอนว่ามีคนที่มั่นใจในตัวเองได้พบถึงความผิดปกติเข้าแล้ว “แต่เสื้อผ้าบนร่างกายนั่นเป็นของว่านอู๋เทียนหนิ!”
“เสื้อผ้าที่เป็นรูปรอยไหม้นั่น เป็นการโจมตีของมู่เฉียนซีไม่ใช่เหรอ ?”
“……”
พวกเขาเข้าใจในทันทีว่าว่านอู๋เทียนผู้นี้เกรงว่าจะไม่ใช่ว่านอู๋เทียน
มู่เฉียนซีกล่าว “ที่ข้าทำผิดกฎวางยาพิษลงไป ก็เป็นเพราะว่าข้ารู้ว่ามีคนทำผิดกฎอย่างน่ารังเกียจ คนผู้นั้นก็คือว่านอู๋เทียนที่ยืนอยู่บนลานประลองผู้นี้”