มู่เฉียนซียื่นขวดยาให้เฟิงอวิ๋นซิวแล้วกล่าวว่า “ชิงอิ่งของข้าลงมืออย่างไม่ควร นายน้อยอวิ๋นโปรดอภัยด้วย”
เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงงัน “ข้าขอโทษ! เป็นข้าเองที่หมกมุ่นมากเกินไป!”
ซวนอีและพรรคพวกก็ตกใจเช่นกัน นายน้อยขอโทษผู้อื่นเช่นนี้ติดต่อกันถึงสองครั้ง!
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ต้องขอโทษแล้ว”
มู่เฉียนซียังคงดูแลร่างกายของเฟิงอวิ๋นซิว แต่คํากล่าวนั้นของนายน้อยอวิ๋นซิวได้ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างพวกเขาแล้ว
และก็เริ่มหิวมากแล้ว ครั้งนี้มู่เฉียนซีส่งเนื้อย่างไปให้ซวนอีและพรรคพวกอย่างกระตือรือร้น
ซวนอีมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างมาก ทำดีผิดปกติจะต้องมีอะไรแฝงเป็นแน่แต่เมื่อได้กลิ่นเนื้อย่าง พวกเขาก็อดใจไม่ไหวจริงๆ!
ไม่ว่าอย่างไรสาวน้อยผู้นี้ก็คงไม่กล้าวางยาพิษพวกเขาในอาหารรสเลิศที่พวกเขากำลังกินเข้าไปหรอกกระมัง
แต่สุดท้าย…
“ปวดท้อง!”
“ปวดจะตายแล้ว!”
“……”
ซวนอีและพรรคพวกอีกสามคนท้องเสียกันทั้งวัน
“เจ้า…” ซวนอีและคนอื่นๆโกรธจัด จนแทบอยากจะบีบคอมู่เฉียนซีให้ตาย
“เจ้าวางยาระบายกับพวกเรา!” พวกเขากัดฟันนั่นพลางกล่าว
ชิงอิ่งยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของมู่เฉียนซี เพราะกลัวว่าคนเหล่านี้ที่ถูกมู่เฉียนซีวางยาพิษจะลงมือกับมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าว “กล้าลงมือกับคนของข้า วางยาระบายเล็กน้อยแก่พวกเจ้านี่ถือว่าข้าเมตตามากแล้วนะ อย่าคิดว่าความแข็งแกร่งของข้าอ่อนแอแล้วจะมองไม่ออก เมื่อครู่พวกเจ้าได้ลงมือจะสังหารแล้ว”
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่พิเศษของชิงอิ่ง อย่างน้อยก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
ซวนอีกล่าว “นี่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นไรหรอกหรือ?”
เมื่อครู่ที่เขาลงมือ ก็ลงมือจริงๆ ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดกล้าอัดหน้านายน้อย
แต่คนผู้นี้ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นอะไร แต่เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย อีกทั้งคนผู้นี้ไม่มีคลื่นพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ
“แม้ว่าเขาจะไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าพวกเจ้าลงมือได้”
ซวนอีกล่าวว่า “พวกข้าขอโทษ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ”
มู่เฉียนซีเข้าใจดีว่านี่เป็นสัญชาตญาณของพวกเขาในการปกป้องเจ้านายของพวกเขา ถ้ามีคนตบหน้านาง ชิงอิ่งก็คงจะบีบคอคนผู้นั้นจนตายอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าว “คงไม่มีครั้งหน้าแล้ว”
“อื้ม!”
หลังจากพื้นที่เขตทางทิศตะวันออกจบลง พวกเขาก็ตรงไปที่พื้นที่เขตทางทิศใต้ แต่หินเทพอัคคียังคงไม่มีการตอบสนอง
เมื่อพวกเขาเตรียมจะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เขตทางตะวันตกของสนามรบที่ห้า พวกเขาก็ได้พบเข้ากับคนของตำหนักเป่ยหานในทันที
อวี้จียิ้มและกล่าวว่า “น้องอวิ๋นซิว ไม่ทราบว่าพวกเจ้าได้อะไรมาบ้าง?”
“ถึงแม้ว่าข้าจะได้มา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า!”
“แต่ข้าอยากที่จะขอคำชี้แนะจากน้องอวิ๋นซิวมาก และความแข็งแกร่งของน้องอวิ๋นซิวล่ะ!” เงาร่างสีแดงสดนั้นเข้ามาใกล้เฟิงอวิ๋นซิว
ในขณะที่เฟิงอวิ๋นซิวกำลังจะลงมือ มือของนางกลับคว้าไปที่มู่เฉียนซี “หรือข้าควรจะขอคําชี้แนะในความแข็งแกร่งของสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างน้องสาวผู้นี้ก่อนดี!”
“อวี้จี! ใครอนุญาตให้เจ้ากระทำโดยไม่ได้รับอนุญาต”
หลิงเห็นอวี้จีลงมือกับมู่เฉียนซี จึงพุ่งเข้าใส่ทันที
เฟิงอวิ๋นซิวคิดว่าหลิงจะจัดการกับมู่เฉียนซี ดังนั้นเขาจึงลงมือจัดการหลิง
“ไสหัวไป!” หลิงเองก็โกรธขึ้นมาแล้ว
“……”
ชิงอิ่งขวางอวี้จีไว้ เพื่อไม่ให้มู่เฉียนซีถูกนางทำให้ได้รับบาดเจ็บ
อวี้จียิ้มและกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งของสาวน้อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้นั้นดูไม่ได้เลย! แค่จักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สอง หรือว่าสตรีจากตําหนักตงจี๋จะโดดเด่นเพียงแค่หน้า ความแข็งแกร่งนี้อ่อนแอราวกับมดปลวกก็มิปาน”
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านป้าความแข็งแกร่งของท่านก็ไม่ได้เท่าไร? อายุก็มากแล้ว และก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่านายน้อยอวิ๋นซิวและผู้พิทักษ์หลิง”
อวี้จีกล่าว “สาวน้อย เจ้าอย่าได้ถือว่าเจ้ามีองครักษ์ที่ร้ายกาจแล้วจะทำตัวโอหังได้ หากว่าข้าจะจัดการกับเจ้านั้น มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่เปลืองแรงนัก!”
“เสี่ยวหง ออกมา!” มู่เฉียนซีเรียกเสี่ยวหงออกมาแล้ว
“งั้นเจ้าก็ลองดู!”
ความแข็งแกร่งของอวี้จีคือมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่ห้า ซึ่งอ่อนแอกว่าเฟิงอวิ๋นซิวและพวก แม้ว่าพวกเขาทั้งสามคนรวมตัวกันรับมือ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
การโจมตีหลักยกให้เป็นหน้าที่ของชิงอิ่ง มู่เฉียนซีและเสี่ยวหงเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการลอบโจมตี
ตอนนี้สิ่งที่อยู่บนร่างของนางมีเพียงพิษเท่านั้นที่สามารถส่งผลกระทบนางได้!
หลิงร้อนรนเหมือนถูกไฟเผาใจ ตอนนี้หลานสาวของตนเองตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง ส่วนเจ้าเฟิงอวิ๋นซิวที่อยู่ตรงนี้ก็ขวางหูตานัก
เขาจงใจที่จะเผยพิรุธออกมา ส่วนเฟิงอวิ๋นซิวเองก็เป็นห่วงมู่เฉียนซี ทันใดนั้นกระบี่ที่คมกริบก็ได้พุ่งเข้ามา!
หลิงหลบหลีกไปอย่างรีบร้อน และปรากฏว่ากระบี่นั้นได้พุ่งไปทางเฟิงอวิ๋นซิวโดยตรง
อวี้จีรู้สึกหนาวที่แผ่นหลังและอันตรายก็ได้ใกล้เข้ามาแล้ว นางรีบหลบไปในทันที
“พรวด แม้ว่านางจะหลบได้ แต่ใบหน้าของอวี้จีก็ถูกกรีดเป็นรอยแดงและมีเลือดสดๆไหลออกมาจากบาดแผล
“ใบหน้าของข้า!” อวี้จีกล่าวด้วยความหวาดกลัว
“เฟิงอวิ๋นซิว เจ้า…”
“หลิง เจ้าจงใจ แม้แต่เจ้าเด็กหัวขนอย่างเฟิงอวิ๋นซิวก็มิอาจจัดการได้ เจ้าทำร้ายข้า…”
หลิงกล่าวว่า “สมควรแล้ว!”
“ทางเหนือและตะวันตกก็ได้ตรวจสอบจนหมดแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวและพรรคพวกก็ไม่ได้รับอะไร พวกเราควรไปกันดีกว่า ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลา”
อวี้จีตอบ “ไปกันเถอะ! ออกไปจากที่นี่ ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บ! ถ้าหากข้าเสียโฉม ข้าก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ”
อวี้จีที่ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าไม่กล้าที่จะรอช้าและยอมที่จะจากไป
แต่ทว่าก่อนที่นางจะจากไปนั้นได้จ้องมองมู่เฉียนซีอย่างโหดร้าย “เจ้าสาวน้อยสารเลวเอ๊ย กลับกล้าทำให้ข้าบาดเจ็บหนัก ครั้งต่อไปจะต้องกรีดบนหน้านางสักร้อยแผล ทำให้นางนั้นทรมาณอย่างอยู่มิสู้ตาย!”
มุมปากของมู่เฉียนซีโค้งขึ้นเล็กน้อย การยืมมือผู้อื่นจัดการของอารองนั้นไม่เลวเลย ในที่สุดสตรีที่อันตรายผู้นี้ก็จากไปแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนซี เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!”
“ขอบคุณนายน้อยอวิ๋นซิวที่เป็นห่วง ข้าปกป้องตัวเองได้”
ซวนอีถามว่า “นายน้อย ยังจำเป็นต้องไปสำรวจพื้นที่อื่นอีกหรือไม่?”
“ผู้พิทักษ์หลิงไม่เคยโกหก ในเมื่อเขาบอกว่าไม่มี เช่นนั้นก็ไม่น่าจะมี และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีกต่อไป ออกไปกันเถอะ…”
เขารู้สึกว่า คำพูดสุดท้ายของหลิง ไม่จำเป็นต้องพูด!
แต่เขากลับพูดราวกับว่าจงใจที่จะเตือนพวกเขา
มันแปลกมาก หลิงผู้เป็นดาบเล่มที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักเป่ยหานมาตลอด เขาที่ไม่อาจทรยศต่อตำหนักเป่ยหานได้ แต่เขาเตือนพวกเราเช่นนี้มันเป็นเพราะอะไรกันแน่?
เฟิงอวิ๋นซิวคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า ที่หลิงกล่าวออกมาเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้หลานสาวของเขาเสียเวลาที่นี่
คนของตําหนักเป่ยหานจากไปแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวก็พาคนออกไปเช่นกัน
หัวหน้าสำนักหลัวเทียนส่งแขกทั้งหลายนี้ออกจากสำนักอย่างระมัดระวัง ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ต่อไป เป้าหมายของพวกเขาคือการควบคุมหอโม่ปิงในสนามรบโบราณที่สอง และหอโม่ปิงยังเป็นกองกําลังสำนักนิกายระดับสองอันดับหนึ่งแห่งทวีปเหลยโจว
พวกเขายังไม่ทันจะมาถึงหอโม่ปิง หอโม่ปิงก็ส่งคนมารอต้อนรับพวกเขาก่อนแล้ว และเชิญพวกเขาไปที่หอโม่ปิงอย่างนอบน้อม
ไม่มีใครที่อยากจะเดินซ้ำรอยกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรกับสำนักนิกายระดับสาม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกนับเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งระดับสองแห่งทวีปเหลยโจว แต่ก็มิอาจที่จะไปล่วงเกินสำนักนิกายระดับสามได้ เฟิงอวิ๋นซิวและหลิงยังไม่ทันที่จะได้ยื่นข้อเสนออกมา หัวหน้าหอโม่ปิงกลับกล่าวขึ้น “พวกเราหอโม่ปิงกำลังจะเปิดสนามรบโบราณแห่งที่สองอยู่พอดี เพื่อที่จะให้เหล่าลูกศิษย์ของหอโม่ปิงได้เข้าไปฝึกฝน ไม่ทราบว่าท่านแขกผู้สูงส่งทุกท่านสนใจในสนารบโบราณแห่งที่สองหรือไม่? พวกเราหอโม่ปิงยังมีจำนวนรายชื่อที่สามารถเข้าร่วมได้เหลืออยู่บ้าง”
มู่เฉียนซีบ่นกล่าวกับตนเองอยู่ในใจ “หัวหน้าหอโม่ปิงนี่ช่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งเสียจริง! และฉลาดกว่ากองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรและเจ้าสำนักหลัวมากนัก มิน่าล่ะหอโม่ปิงถึงได้กลายเป็นกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสองที่แข็งแกร่งเป็นที่หนึ่งในทวีปเหลยโจว”