ดวงตาของหลิงเปล่งประกายอันตรายออกมาและพุ่งโจมตีเข้าใส่เฟิงอวิ๋นซิว
เจ้าเด็กนี่กล้ามาแตะต้องซีเอ๋อร์
เฟิงอวิ๋นซิวรีบป้องกันการโจมตีของหลิงและทันใดนั้นก็ได้เกิดสงครามขึ้นในมิติ
มู่เฉียนซีกล่าว “หยุดนะ ต่อให้พวกเจ้าตีให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะยิ่งทำให้ผู้ที่แอบควบคุมทุกอย่างอยู่ลำพองใจหรอกรึ เขากำลังหลอกพวกเรา ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเกลียดอะไรกัน แต่ตอนนี้หยุดก่อน!”
คนอื่นๆคิดว่าคำพูดของสาวน้อยคนหนึ่งคงไม่มีน้ำหนักอะไร
เฟิงอวิ๋นซิวขมวดคิ้ว เขาเองก็รู้เหตุผลนี้ดี แต่กับหลิงนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่มีเหตุผล!
เขาจะยอมหยุดอย่างแน่นอน แต่หลิงนั้นไม่แน่
แต่หลิงกลับกล่าวว่า “ทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้!”
อวี้จีไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย “หลิง เจ้าว่าไงนะ?”
ปัง! ชิงอิ่งพุ่งออกไปและอัดหน้าอวี้จีทันที
ปัง! อวี้จีปะทะเข้ากับความแข็งแกร่ง นางลูบใบหน้าที่บวมแดงของตนเอง และใบหน้าของนางก็กลายเป็นดุร้ายขึ้นมา
“ข้าจะฆ่าเจ้า! ไอ้ระยำ…”
บึ้ม! พลังอันทรงพลังอีกพลังหนึ่งทำให้อวี้จีคุกเข่าลงกับพื้น!
“พรวด!” นางกระอักเลือดสีแดงสดออกมา
ลูกสมุนเหล่านั้นของอวี้จีกล่าวขึ้นมาว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ถึงกับลงมือกับผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา”
อวี้จีจ้องหลิงตาเขม็ง “หลิง เจ้าหมายความอย่างไรกันแน่? เจ้าถึงกับทําร้ายข้า”
“ภารกิจตามหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ข้าเป็นหัวหน้า หากไม่ฟังคําสั่งของข้า ก็มีเพียงความตายเท่านั้น!” หลิงกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้าอยากตายหรือ?” สายตาที่ไร้ความปรานีจับจ้องไปที่อวี้จี ทำให้อวี้จีรู้สึกหนาวสั่น
หลิงแข็งแกร่งและเอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผล ตอนนี้นางถูกเขาซัดจนฟันหักและทำได้เพียงกล้ำกลืนมันลงไป
นางไม่พอใจ! นางจ้องมู่เฉียนซีอย่างโหดเหี้ยมแล้วกล่าวว่า “หลิง เจ้าคงไม่ได้ชอบสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋หรอกนะ! เพียงเพื่อนางถึงกับฆ่าได้แม้กระทั่งคนของตัวเอง หากผู้อาวุโสสูงสุดรู้เรื่องนี้เข้าละก็ เขาไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ”
“ข้าแค่พลั้งมือไปชั่วขณะ!” หลิงกล่าวอย่างเย็นชา อวี้จีหัวเราะเยาะ “หึหึหึ! พลั้งมือ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าจะฆ่าคนแล้วพลั้งมือไปได้ หากชอบสาวน้อยที่งดงามราวกับดอกไม้ผู้นี้ แย่งชิงนางมาก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมถึงต้องปกปิดกันเช่นนี้ด้วย? ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตำหนักเป่ยหาน!”
“ถ้ายังไม่อยากตาย ก็หุบปากซะ!”
หลิงมองอย่างดุร้ายทำให้อวี้จีไม่กล้าพูดอะไรอีก
เฟิงอวิ๋นซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย การกระทำของหลิงดูแปลกๆ
มู่เฉียนซีกล่าวกับเฟิงอวิ๋นซิวว่า “พวกเราหาทางออกไปจากที่นี่กันเถอะ!”
“อื้ม!”
สายตาของหลิงเวลานี้แทบอยากจะฉีกเฟิงอวิ๋นซิวให้แหลกเป็นชิ้นๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีนักที่จะลงมือ
พวกเขาร่วมมือกันและทุกอย่างก็ราบรื่นขึ้นมาก
อีกฝ่ายคิดอยากที่จะรวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ต่อสู้กันเอง แต่กลับลืมไปว่ามีมู่เฉียนซีอยู่ด้วย
มีมู่เฉียนซีคอยถ่วงดุลอยู่ในนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแน่
หลังจากออกมาจากมิตินี้มู่เฉียนซีก็กล่าวว่า “ตำแหน่งของพวกเราตอนนี้อยู่ในหอสูงแห่งนี้ พวกเจ้าทั้งสองล้วนมีหินเทพอัคคี ใช้เปลวเพลิงเผาหอสูงและบีบบังคับให้เขาออกมา!”
เฟิงอวิ๋นซิวยิ้มและกล่าวว่า “ความคิดของเฉียนซีนี้ไม่เลวเลย!”
“ข้าเห็นด้วย!”
แววตาของอวี้จีเต็มไปด้วยความสงสัย
ตําหนักตงจี๋และตำหนักเป่ยหานร่วมมือกัน หอสูงทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
เนื่องจากธาตุไฟของหินเทพอัคคีนั้นรุนแรงอย่างมาก จึงต่อให้คนๆนั้นต้องการใช้พลังมิติเพื่อเคลื่อนย้ายเปลวเพลิงนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้
ในที่สุดเสียงคำรามเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าคิดจะทําลายหอมิติของข้ารึ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเราไม่ได้อยากทำลายหอมิติของเจ้า แค่เพียงต้องการบีบบังคับให้เจ้าปรากฏตัวเท่านั้น! ถ้าเจ้ายอมปรากฏตัวอย่างว่าง่าย พวกเราคงไม่ต้องลงมือ”
“พวกเจ้ามันโหดเหี้ยม! ดับไฟของพวกเจ้าซะ และข้าจะให้พวกเจ้าไป ”
มู่เฉียนซีกล่าว “เอาล่ะ หยุดได้แล้ว! ดูเขาก็คงไม่กล้าโกหก หากโกหกละก็จะทำให้ทั้งเมืองไหม้ไปหมดเลย”
ผู้ที่เดิมทีคิดจะส่งพวกเขาออกจากหอมิติแอบขบฟันแน่น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากละทิ้งแผนการเดิมและย้ายพวกเขาไปยังอาณาเขตของตน
ตอนนี้มู่เฉียนซีและคนอื่นๆอยู่ชั้นบนสุดของหอมิติ พวกเขาสามารถมองเห็นเมืองต่างแดนได้ทั้งหมด และในตอนนี้ที่ใจกลางของหอมิติมีหินหยกโปร่งใสฝังอยู่ในนั้น
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปหาและกล่าวว่า “พวกเรามากันหมดแล้ว เจ้าไม่คิดจะออกมาพบพวกเราหน่อยหรือ?”
แสงสีขาวสว่างวาบออกมาจากลูกกลมๆที่โปร่งใสนั่น เงาของชุดคลุมสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา “เจ้า… เจ้าสาวน้อย หาข้าพบแล้ว”
“เหลือแค่เศษเสี้ยววิญญาณอยู่ในลูกมิตินี้ เจ้านี่ช่างน่าสังเวชนัก” มู่เฉียนซีกล่าว
ไม่ใช่ว่านางค้นพบ แต่เป็นอาถิงที่จำได้ว่านี่คือลูกมิติ
ถ้าคนผู้นี้เป็นเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ละก็ วิญญาณของเขาจะต้องติดอยู่กับลูกนี้อย่างแน่นอน
“สาวน้อยอย่างเจ้าจะรู้อะไร? เจ้ารู้ไหมว่าสงครามนั้นน่ากลัวแค่ไหน? ถ้าไม่ใช่เพราะข้ามีลูกมิติ วิญญาณคงสลายไปนานแล้ว ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าจะไม่พูดคุยเรื่องนี้กับเจ้า เจ้าพูดไว้แล้วว่าถ้าใครหาเจ้าเจอ เจ้าก็จะรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
“ไม่! พวกเจ้าหาข้าพบด้วยกัน ข้าสามารถตอบสนองความต้องการของคนๆหนึ่งได้เท่านั้น ดังนั้น…” ชายชุดคลุมสีขาวกล่าว
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “กลอุบายแบบเดียวกัน เจ้าใช้สองครั้งแล้ว ผู้อาวุโสคิดว่าพวกเราโง่หรือไง? ”
“แต่ข้ารับปากว่าจะจัดการแค่เรื่องเดียว พวกเจ้าดูกันเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เรื่องนี้พูดกันง่าย เป้าหมายของพวกเราเหมือนกัน”
ชายชุดขาวมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีและกล่าวว่า “พวกเจ้าจะทําอะไร?” “กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เจ้าคงรู้จักกระบี่วิญญาณมังกรเพลิงพิฆาตดีกระมัง! มันอาจตกหล่นไปอยู่ในสนามรบทั้งเจ็ดของทวีปเหลยโจว เจ้าส่งพวกเราไปยังสนามรบที่มันถูกตกหล่น เจ้าเป็นจอมภูตธาตุมิติ อีกทั้งยังมีลูกมิติ ส่งพวกเราไปคงไม่ยากกระมัง! ”
ชายชุดคลุมขาวกระโดดขึ้นทันที “อะไรนะ? พวกเจ้าต้องการจะตามหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ดาวซวยตนนั้นกว่าจะเงียบสงบได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญ แล้วทําไมพวกเจ้าถึงจะตามหาออกมาให้เกิดหายนะต่อโลก ”
“ไม่! ไม่อย่างแน่นอน? เพื่อความสงบสุขของโลกนี้ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำให้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นบนโลกอีกครั้งหนึ่ง ”
มู่เฉียนซีกล่าว “หากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ถูกลิขิตให้ปรากฏออกมา ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถหยุดยั้งได้ ถ้าเจ้าไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ละก็ เช่นนั้นข้าจะบดขยี้ลูกมิติลูกนี้ให้แหลกละเอียด และเจ้าจะต้องแตกสลายไปในทันที”