“ไร้สาระสิ้นดี ข้าว่าเจ้าคงเบื่อเกินไป! อย่าทิ้งข้าในช่วงคับขันล่ะ มิเช่นนั้นข้าจะให้สุ่ยจิงอิ๋งส่งเจ้าไปหาจิ่วเยี่ย” มู่เฉียนซีกล่าว
“ฮึ่ม! ข้าจะทิ้งเจ้ากลางทางได้อย่างไร เจ้าคิดมากเกินไปแล้วกระมัง!”
ปฏิกิริยาของปลายกระบี่ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มู่เฉียนซีเห็นไกลๆว่าอารองของตนก็มาด้วย
ด้านหน้ามีอารอง และด้านหลังมีเฟิงอวิ๋นซิว มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “ช่างบังเอิญนัก!”
นางเพียงต้องการหาตัวกระบี่มังกรเพลิงให้พบเพียงลำพัง จากนั้นก็จากไปโดยไม่มีใครรู้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะขัดกับความปรารถนาถึงเพียงนี้
เฟิงอวิ๋นซิวรีบวิ่งไปหามู่เฉียนซีและมองไปที่หลิงอย่างระมัดระวัง
มู่เฉียนซีกล่าว “นายน้อยอวิ๋นซิว ใช้หินเทพอัคคีตรวจสอบพื้นที่นี้หน่อยสิ!”
“ได้!”
ในขณะเดียวกัน อวี้จีก็ถือหินเทพอัคคีเช่นกัน พลังวิญญาณโคจรขึ้นมา ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้น
พลังวิญญาณของเฟิงอวิ๋นซิวก็โคจรออกมาเช่นกัน เปลวเพลิงทั้งสองลูกมาบรรจบกัน
มู่เฉียนซีตะลึงงัน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง?
ปฏิกิริยาตอบสนองของปลายกระบี่มังกรเพลิงจะผิดพลาดไปได้อย่างไร!
ในเวลาต่อมา ธาตุไฟอีกสายหนึ่งก็ได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า!
บึ้ม!
พลังอันทรงพลังนี้ต้านทานพลังของหินเทพอัคคีเอาไว้ได้
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นซิวกับหลิงและพรรคพวกได้เปล่งประกายแวววาว ธาตุไฟที่ทรงพลังเช่นนี้ต้องเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อย่างแน่นอน
พวกเขาเก็บหินเทพอัคคีเอาไว้ เมื่อพลังนั้นหายไป ท่ามกลางไฟที่ลุกโชนพวกเขาเห็นกองกระดูกสีขาวที่กองเป็นเนินภูเขาอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ที่นั่น
หลิงและเฟิงอวิ๋นซิวเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป จากนั้นทั้งสองคนก็ถูกกำหนดให้เข่นฆ่ากันอย่างเป็นตาย จากนั้นผู้ชนะจะได้คว้ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไป
เงาร่างสีแดงสดพุ่งเข้ามาพร้อมเปลวเพลิงที่พลิ้วไหว อวี้จีกล่าวว่า “สาวน้อย ในที่สุดข้าก็จับเจ้าได้ วันนี้ข้าจะเผาหน้าเจ้าให้ได้”
ชิงอิ่งดึงมู่เฉียนซีหลบเปลวเพลิงของนาง พรู่! และเสื้อผ้าของเขาก็ได้ถูกเผาด้วยเปลวเพลิงของอวี้จี
“ครั้งนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่มาขวางทางเด็ดขาด!” อวี้จีมองไปที่ชิงอิ่งด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
การที่จะจัดการกับมู่เฉียนซีนั้นง่ายมาก แต่ทุกครั้งก็มักจะมีชายชุดเขียวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมาขัดขวาง
หลิงต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นซิว แต่คนของอวี้จีกลับมาล้อมมู่เฉียนซีไว้
“บ้าเอ๊ย!” ในเวลานี้หลิงไม่สนใจที่จะแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้ว ความปลอดภัยของซีเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สีหน้าของหลิงเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เขามองไปที่อวี้จีและกล่าวว่า “อวี้จี เจ้าลงมือโดยพลการ เจ้านี่มันรนหาที่ตายแท้ๆ!”
กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งออกไป เลือดสดๆไหลรินออกมา คนเหล่านั้นก็ล้มลงไปทีละคน
ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายนี่มันเรื่องอะไรกัน? แม้แต่ตัวเขาเองก็ถูกฆ่า
อวี้จีเบิกตากว้าง “หลิง นี่เจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่? เจ้ากลับฆ่าคนของเจ้า เจ้า…”
“ผู้อาวุโสสูงสุดและหัวหน้าตำหนักจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้ากล้าที่จะทรยศตำหนักเป่ยหาน!”
อวี้จีคิดว่าหลิงถูกตำหนักตงจี๋ซื้อตัวไปแล้วแน่ แต่นางไม่คิดเลยว่าหลิงจะฆ่านางเพียงเพื่อปกป้องมู่เฉียนซีเท่านั้น
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่นางไม่ควรมายุ่งกับมู่เฉียนซี
“ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย เจ้า…”
คนอื่นๆก็ยืนอยู่ข้างอวี้จีเช่นกัน
มู่เฉียนซีรู้สึกจนปัญญา ทำไมอารองถึงไม่อดทนไว้!
บึ้ม! ในเวลานี้ เฟิงอวิ๋นซิวได้ดึงกระบี่ยาวที่ปล่อยเปลวเพลิงเล่มนั้นออกมาจากในกองกระดูกนั่น
นี่ไม่ใช่เพียงตัวกระบี่อย่างเดียวอย่างที่มู่เฉียนซีได้คิดไว้ แต่นี่กลับเป็นกระบี่ที่สมบูรณ์เล่มหนึ่ง!
อาถิงกล่าวว่า “กระบี่เล่มนี้เป็นธาตุไฟและมีกลิ่นอายของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่กลับไม่ใช่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์”
“แค่มีกลิ่นอายเล็กน้อยก็จำผิดแล้ว ปลายกระบี่นั่นไม่น่าเชื่อถือเสียจริงๆ!”
มันไม่ใช่กระบี่มังกรเพลิง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงมันแล้ว!
เฟิงอวิ๋นซิวก็ไม่เข้าใจ ตำหนักเป่ยหานเกิดความโกลาหลขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำให้เขาสามารถคว้ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้สำเร็จ
มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็หามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้นางได้แล้ว นางคงจะต้องดีใจมากเป็นแน่!
สายตาของเขาจับจ้องไปที่มู่เฉียนซี เขาทําได้เพียงขอโทษเฉียนซีเท่านั้น มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นสิ่งที่นางอยากตามหาให้พบมาโดยตลอด แต่เขาไม่สามารถเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้ใครได้
ประกายอันตรายปรากฏขึ้นในดวงตาของหลิง เขาเตรียมที่จะแย่งกระบี่กลับมา
มู่เฉียนซีดึงหลิงไว้และกระซิบข้างหูเขาว่า “ท่านอารอง นี่ไม่ใช่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เพื่อความปลอดภัยของท่าน กําจัดคนอื่นๆเสียก่อนดีกว่า”
เฟิงอวิ๋นซิวตกตะลึง นางอยู่ใกล้หลิงมากขนาดนี้ และ…
ซวนอีกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าสาวน้อยผู้นี้แปลกๆ นางเป็นคนของหลิง”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวว่า “ถ้านางเป็นคนของหลิง ตอนนี้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์คงจะไม่ได้อยู่ในมือของข้าแล้ว”
อวี้จีกล่าวด้วยความประหลาดใจ “หลิง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีสัมพันธ์กับสาวน้อยผู้นี้จริงๆ แม้แต่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็ยอมสละได้เพื่อนาง ข้านั้นนับถือเจ้าเสียจริงๆ! ขอแค่คนสวยไม่ต้องการแม่น้ำภูเขา ผู้พิทักษ์หลิงที่เย็นชาและไร้ความปรานีเพื่อสตรีผู้หนึ่งถึงกับสามารถทรยศตำหนักเป่ยหานของเราได้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
“รนหาที่ตายนัก!” หลิงโบกมือและกระบี่ยักษ์ก็พุ่งเข้าหาอวี้จีพร้อมกับลมสังหารที่กระโชกแรง
อวี้จีกล่าว “ถ้าอยากฆ่าปิดปาก ก็ต้องดูว่าเจ้าจะมีความสามารถนี้หรือไม่ หลิง!”
ชายชราผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลังของอวี้จีอย่างกะทันหัน เขามีพลังระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ด”
“หลิง ผู้อาวุโสสูงสุดได้ส่งเสริมเจ้ามาโดยตลอด แต่เจ้ากลับทรยศเพียงเพื่อสตรีผู้หนึ่ง ชั่งดีจริงๆ! วันนี้ข้าจะชำระสะสางแทนผู้อาวุโสสูงสุดเอง!”
บึ้ม! ชายชราผู้นี้แข็งแกร่งมาก หลิงทำได้เพียงฝืนต้านทานมันเท่านั้น
“สาวน้อย เจ้าคิดจริงๆหรือว่าหลิงปกป้องเจ้าแล้วเจ้าจะสามารถรอดพ้นจากความตายในวันนี้ไปได้? ฝันไปเถอะ!”
ในตอนนี้อวี้จีได้เข้ามาใกล้มู่เฉียนซีด้วยจิตใจชั่วร้ายที่ไม่เลิกรา กระบี่ของเฟิงอวิ๋นซิวได้พุ่งเข้าไป
อวี้จีหลบอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าพลางยิ้มและกล่าวว่า “น้องชายอวิ๋นซิว เจ้าก็อยากเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามเหมือนกันกับหลิงเหรอ? อย่าเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งเลย อย่างไรเสียน้องอวิ๋นซิวก็ยังเด็กมาก ”
ซวนอีกล่าว “นายน้อย ฝ่ายตรงข้ามมีระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ด พวกเราทําภารกิจสําเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตสู้กับพวกเขา รีบไปกันเถอะ!”
“นายน้อย…”
ถ้าจะไป ก็ต้องพาเฉียนซีไปด้วย!
เนื่องจากหลิงทรยศ เวลานี้ทุกคนในตำหนักเป่ยหานจึงเชื่อฟังคำสั่งของอวี้จี
“ขวางพวกเขาเอาไว้! แย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาให้ได้ ส่วนสาวน้อยผู้นี้ ข้าจะจัดการเอง!”
ชิงอิ่ง เฟิงอวิ๋นซิว ซวนอีกับพรรคพวก และเสี่ยวหงได้พัวพันอยู่กับตำหนักเป่ยหาน ตอนนี้อวี้จีเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่ห้า การจะจัดการกับมู่เฉียนซีนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก!
อวี้จีเพียงยกนิ้วเรียวยาวของนางขึ้นมาเบาๆ เชือกเปลวเพลิงขนาดใหญ่เส้นหนึ่งก็พันธนาการมู่เฉียนซีเอาไว้ในทันที
อวี้จีเดินไปตรงหน้ามู่เฉียนซี เล็บคมกริบราวกับมีดตกลงบนใบหน้าของมู่เฉียนซี “ใบหน้าของน้องสาวสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ ช่างยั่วยวนใจเสียจริง ผู้ที่สูงส่งอย่างหลิงและน้องอวิ๋นซิวของพวกเราต่างก็ปกป้องเจ้าเช่นนี้! มันทำให้ข้าอิจฉายิ่งนัก เจ้าว่าถ้าข้าทำลายใบหน้านี้ของเจ้า จะยังมีใครมาชอบเจ้าอีกหรือไม่!”