เมื่อวี้จีได้เห็นใบหน้านั้นที่คุ้นเคย นางก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง
นางตะโกนออกมา “มู่เฉียนซี เจ้ายังมีชีวิตอยู่! เป็นไปได้อย่างไร? นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ”
ตกลงไปในรอยแยกของมิติ ลมพายุในมิติที่น่ากลัวนั้น ถึงแม้ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดของมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้า ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถมีชีวิตรอดมาได้
เฟิงอวิ๋นซิวเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน เขามองไปทางเงาร่างสีม่วงนั้น ดวงตาสีเหลืองอำพันของเขาได้ฉายแสงออกมาแวบหนึ่ง
นางยังมีชีวิตอยู่ ดียิ่งนัก
ซวนอีถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา “สาวน้อยผู้นี้ช่างดวงแข็งเสียจริง!”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “แน่นอนว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ มิเช่นนั้นจะมาหาเจ้าเพื่อแก้แค้นได้อย่างไร!”
อวี้จียิ้มเยาะแล้วกล่าว “มู่เฉียนซี ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เจ้าที่เป็นเพียงระดับจักรพรรดิแห่งภูตคิดที่จะต่อกรกับข้า นั่นมันเป็นแค่ฝันไปจริงๆ”
“ข้ามิได้จะยืนหยัดสู้ตัวคนเดียวอย่างแน่นอน หรือเจ้าคิดว่าข้าจะรุมโจมตีไม่เป็น?” มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย
“เสี่ยวหง อู๋ตี้! ไปเล่นเป็นเพื่อนนางให้สนุก!”
ครืน!
หมูสีแดงตัวเล็กตัวหนึ่งและแมวสีขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง
ที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สามกับระดับที่สี่ สีหน้าของอวี้จีที่กำลังได้รับบาดเจ็บหนักอยู่ได้เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มขึ้นมา
คำพูดติดปากที่อู๋ตี้กล่าวเป็นประจำได้ถูกตะโกนออกมา “อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานหนึ่งเดียวในใต้หล้า! เจ้าผู้หญิงอัปลักษณ์กล้าลอบโจมตีเจ้านายของข้า คอยดูข้าจะเล่นงานเจ้าเสียให้ตาย!”
“เพลิงเผาสวรรค์!”
ปัง! การลงมือของชิงอิ่งได้เกือบทำให้หัวใจของอวี้จีแหลกสลายไปในคราวเดียว
การโจมตีจากทั้งสามทิศทางนั้นทำให้อวี้จีไม่อาจที่จะรับมือได้ทัน
“สาวน้อย สามรุมหนึ่งมันไร้ยางอายไปหน่อยหรือไม่! ในตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บหนักจนพลังความสามารถกลายเป็นอ่อนแอเสีย หากเจ้าแน่จริงจงสู้กับข้าตัวต่อตัว!”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วตอบกลับ “ตัวต่อตัว ได้สิ!”
ดวงตาของอวี้จีฉายแววอันเย็นยะเยือกออกมา ติดกับแล้ว!
แม้ว่าวันนี้นางจะต้องตาย ก็จะต้องลากเด็กสาวดวงแข็งผู้นี้ลงหลุมไปด้วยกัน
มู่เฉียนซีได้ก้าวออกมาอย่างช้าๆ และได้เรียกเอาตัวกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิงออกมาจากในมิติ นางรวบรวมพลังทั้งหมดและสะบัดกระบี่กวาดออกไปคราหนึ่ง
พลังกระบี่ของคนที่อยู่ระดับจักรพรรดิแห่งภูตผู้หนึ่งนั้นจะแข็งแกร่งสักเท่าไรกันเชียว ว่าแล้วอวี้จีก็ได้ใช้พลังผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟของนางห่อหุ้มตัวเอาไว้แล้วพุ่งเข้าไปหามู่เฉียนซี
“บัวแดงพิฆาต!”
บึ้ม! แสงของเปลวเพลิงนั้นกระจายออกไปราวกับดอกบัวที่เบ่งบานก็มิปาน และมันได้ห่อหุ้มร่างของอวี้จีเอาไว้ในทันที
“อ๊าก!” ภายใต้การถูกกุมขังด้วยกรงเพลิงที่ร้อนแรงนั้น อวี้จีดิ้นรนและร้องออกมาอย่างโหยหวน แต่กลับไม่เป็นผลแต่อย่างใด
ปัง! รอจนกระทั่งเปลวเพลิงหายไป อวี้จีนั้นได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว อีกทั้งเป็นการสิ้นลมหายใจไปตั้งแต่แรกแล้วด้วย
มู่เฉียนซีมองไปที่กระบี่ในมือตน ไม่เสียทีที่เป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เพียงแค่กระบวนท่านี้กระบวนท่าเดียว ก็โหดร้ายถึงขั้นพิฆาตฆ่าไปในการโจมตีครั้งเดียว
ซวนอีกล่าวด้วยความตกตะลึง “กระบี่เล่มนั้นมีพลังของธาตุไฟที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งมันยังเป็นกระบี่ที่ผุพังทรุดโทรมเล่มหนึ่งอีกต่างหาก สาวน้อยผู้นี้ช่างแปลกประหลาดนัก”
ถึงแม้ว่าจะได้เห็นถึงพลังของมันแล้วว่าแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ก็อดสงสัยมิได้ว่ากระบี่ที่ผุพังทรุดโทรมเล่มนี้คือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่พวกเขาตามหาอย่างยากลำบาก
“ปล่อยข้าไป….ปล่อยข้า…..” ในตอนนี้ผู้อาวุโสระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ดผู้หนึ่งกล่าวพร้อมมองร่างกายเลือดเนื้อของตัวเองที่กำลังสลายหายไป เขายังคงดิ้นรนขอร้องต่อไปเช่นเก่า
มู่เฉียนซีได้เดินมาที่ตรงหน้าของเขาแล้วกล่าว “ปล่อยเจ้าไปเหรอ? เจ้าคิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะให้ข้าปล่อยเจ้าไป”
“กล้าที่จะลงมือกับผู้ที่ไม่ควรจะลงมือด้วย ถ้าหากมิใช่เพราะจิ่วเยี่ยลงมือเร็วไปหน่อย ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานที่มากกว่านี้”
ในที่สุดผู้อาวุโสผู้นั้นก็ได้กลายเป็นโครงกระดูกที่แตกสลายและปลิวหายไปตามสายลม
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
การพบเจอกันโดยบังเอิญในครั้งนี้ ได้เจอเข้ากับนางผู้ลึกลับ
นางมีความสามารถในทางแพทย์สูง และไม่ว่าจะองครักษ์ของนางหรือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของนางนั้น แต่ละตัวแต่ละคนล้วนแต่ไม่ธรรมดา และนางยังรู้จักกับองค์ราชาจิ่วเยี่ยอีกต่างหาก
ซึ่งในข่าวลือบอกว่าเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นและไม่มีความรู้สึกอย่างมนุษย์เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งราชาจิ่วเยี่ยยังมิสนใจในสตรีเพศเลยแม้แต่น้อย
จะต้องรีบจากไป หากทันทีที่พวกเขาพบตัวเข้า คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดศึกขึ้น
เขาไม่อยากที่จะให้เกิดปัญหาขึ้นกับนาง อีกทั้งเขาเองก็มิใช่คู่ต่อสู้ของราชาจิ่วเยี่ยด้วย
“ขอรับ!”
หลังจากที่พวกของเฟิงอวิ๋นซิวได้ถอยกลับออกไปแล้วนั้น มู่เฉียนซีได้มองไปยังทิศที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่เมื่อครู่นี้
แม้ว่าพลังความสามารถของนางจะอ่อนแอ แต่พลังวิญญาณของนางนั้นมิอ่อนแอเลย แน่นอนว่านางนั้นรู้ว่าทุกคนนั้นอยู่ที่ใด
การพบเจอกันอย่างผู้ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ด้วยเพราะเหตุผลหลายประการจึงทำให้ได้คบค้าสมาคมกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
เขานั้นเข้ามาเสี่ยงเพื่อนางอีกทั้งยังได้ช่วยศัตรูผู้หนึ่งเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะมิได้ออกโรง แต่บุญคุณนี้นางได้จดจำเอาไว้แล้ว
ศัตรูของนางคือตำหนักเป่ยหานที่ควบคุมอารองของนางเอาไว้ และไม่แน่ว่าในที่สุดพวกนั้นอาจจะได้กลายเป็นศัตรูกับเฟิงอวิ๋นซิว
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครพบเห็นนางและการมาของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์
“อารอง….”
อาการบาดเจ็บภายนอกนั้นหนักหน่วงนัก ส่วนอาการช้ำในนั้นก็ไม่เบาเช่นกัน
บัดนี้ได้ทำการถอนรากถอนโคน ฆ่าคนปิดปากไปแล้ว ตำหนักเป่ยหานไม่มีใครรู้ว่าได้เกิดปัญหาขึ้นกับอารอง มู่เฉียนซีเองก็สามารถพาเขากลับไปรักษาอาการบาดเจ็บที่เมืองเหลยเฉิงได้อย่างสบายใจ
จิ่วเยี่ยนั้นเก็บตัวเพื่อผนึกแรงของคำสาปเอาไว้ก่อนจะมาพบมู่เฉียนซี ปรากฏว่ามู่เฉียนซีนั้นกลับจิตใจจดจ่ออยู่กับการรักษาอาการบาดเจ็บของหลิง ส่วนเขานั้นได้ถูกนางเมินเฉย
ในที่สุดหลังจากที่มู่เฉียนซีได้ทำให้อาการบาดเจ็บของหลิงนั้นคงที่ได้แล้ว จิ่วเยี่ยก็ได้ดึงตัวมู่เฉียนซีไป
“ซีใช้งานข้าเสร็จแล้วก็โยนข้าทิ้งไว้ทางนั้น เจ้าว่าข้าควรจะทำเช่นไรกับเจ้าดี?” จิ่วเยี่ยกระซิบเข้าที่ข้างหูของมู่เฉียนซี น้ำเสียงนั้นอันตรายเป็นที่สุด
“ข้าไม่มีความกล้านั้นที่จะใช้เจ้าเสร็จแล้วก็โยนทิ้งหรอก จิ่วเยี่ยเจ้าจะต้องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน ข้านั้นกลัวอาการของอารองเลวร้ายลง เลยไปดูเขาก่อน….”
“อาการบาดเจ็บของเขาไม่มีอะไรแล้ว แต่ข้าป่วยแล้ว! เจ้ามารักษาข้า…..”
“อื้อ!”
มู่เฉียนซีถูกจิ่วเยี่ยลากออกไป จิ่วเยี่ยนั้นได้อดทนมานานมากจนกระทั่งถึงขีดสุดแล้ว
ถ้าหากมิใช่เพราะว่าหลิงเป็นอารองของมู่เฉียนซีล่ะก็ เกรงว่าเขาคงจะได้หายไปอย่างชนิดที่ว่าไม่เหลือแม้กระทั่งซากกระดูกสักแท่งไปนานแล้ว
มู่เฉียนซีคำรามใส่จิ่วเยี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ “เจ้ามันบัดซบ!”
“ไม่ได้เจอซีนานเกินไปนัก คำสาปก็เลยควบคุมได้ไม่อยู่ไปบ้าง!” จิ่วเยี่ยทำสีหน้าเย็นชา และกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสา
หากจื่อโยวที่อยู่ที่คุกโลหิตได้ยินเช่นนี้เข้าละก็จะต้องอยากร้องไห้ออกมาอย่างแน่นอน ใครกันที่ได้ละทิ้งเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างไปเก็บตัวเพื่อสะกดคำสาป แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าควบคุมมันไม่อยู่
สวรรค์มองดูการโกหกตาใสเช่นนี้ได้ช่างดีเสียจริง
มู่เฉียนซีได้ใช้พลังวิญญาณตรวจดูร่างกายของจิ่วเยี่ย นางกล่าวขึ้น “ไม่มีนี่! ตอนนี้คำสาปยังถือว่าสงบนิ่งอยู่ เจ้าอย่าได้คิดที่จะหลอกข้า!”
จิ่วเยี่ยกอดตัวมู่เฉียนซีเอาไว้แล้วกล่าว “ต้องขอบคุณที่เมื่อคืนนี้ซีทำงานอย่างหนัก”
มู่เฉียนซีได้ผลักจิ่วเยี่ยออกไป “เจ้า….เจ้ายังกล้ามาพูดอีก!”
มู่เฉียนซีพบว่ามหันตภัยอันยิ่งใหญ่นั้นมิใช่การพัวพันของจิ่วเยี่ย หากแต่เป็นตอนที่หลังจากอารองของตนได้ตื่นขึ้นมา และได้เผชิญหน้ากับจิ่วเยี่ย
อารองมิใช่ท่านอาน้อยที่อ่อนโยนดั่งหยก ที่สามารถอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งอย่างได้
เขาเป็นผู้ที่อารมณ์ร้อนและพาล ทันทีที่เจอผู้ชายเข้าใกล้หลานสาวของตน เช่นนั้นเขาก็จะเหมือนกับภูเขาไฟที่ระเบิดออกมาก็มิปาน
ดวงตาทั้งสี่ข้างได้จ้องมองกัน แสงเพลิงนั้นกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ จนแทบกระจายไปทั่วทั้งเมืองเหลยเฉิง
หลิงกล่าวขึ้น “ราชาจิ่วเยี่ย ที่ช่วยเหลือกันในครั้งนี้ข้าขอขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่การในคุกโลหิตของท่านยิ่งใหญ่นัก อย่างไรก็รีบกลับไปเสียเถอะ! โลกทั้งสี่ทิศนี้คงไม่สามารถรองรับผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านได้”
ยังไม่ทันที่จะได้สะสางเจ้ามู่ซีนั่น ก็ได้มีเฟิงอวิ๋นซิวโผล่ออกมาอีกคนหนึ่ง และในตอนนี้แม้แต่ราชาจิ่วเยี่ยก็ได้โผล่ออกมาด้วย
เขารู้ว่าหลานสาวของเขานั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกนี้อย่างแน่นอน แต่ก็มิใช่ว่าใครก็ตามจะสามารถแย่งชิงไปได้
“ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องให้เจ้ากล่าวขอบคุณ เจ้าขอบคุณซีก็พอแล้ว” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาและเหี้ยมโหด
นอกจากมู่เฉียนซีที่เขานั้นตามใจอย่างเป็นที่สุดแล้ว กับผู้อื่นเขาล้วนแต่ทำหน้าตาเย็นชาใส่ด้วยกันทั้งสิ้น