ผ้าไหมสีขาวปลิวไสว ทักษะวิญญาณถูกใช้ออกมาอย่างไม่อับจน แต่ทว่ามันกลับมิได้โจมตีถูกเป้าหมายเลย
มู่เฉียนซีรวดเร็วเป็นอย่างมาก ประสบการณ์ในการต่อสู้ของนางที่มีมานั้นมิใช่อะไรที่มู่หรูเหยียนจะสามารถเทียบได้
“สาวน้อยผู้นี้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดียิ่งนัก! ในสถานที่ที่มีพลังวิญญาณอย่างแห้งแล้งเช่นนี้ และอายุน้อยเพียงนี้กลับสามารถแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้”
“ทักษะวิญญาณของนางและร่างกายของนางนั้นสูงขั้นยิ่งนัก!”
“……”
เห็นได้ชัดเลยว่าองค์รักษ์ของนางนั้นกำลังด้อยค่านางแต่กลับไปชื่นชมมู่เฉียนซี นั่นทำให้มู่หรูเหยียนแทบจะโกรธจนเป็นบ้าไป
ตูม!
“เจ้าไปตายเสีย!”
จังหวะในการต่อสู้ของมู่หรูเหยีนนั้นยิ่งจะสับสนเข้าไปทุกที
มู่เฉียนซีกล่าว “มู่หรูเหยียน มันควรจบได้แล้ว!”
กระบี่มังกรเพลิงเปล่งแสงสีแดงเข้มราวกับเปลวเพลิงนิรันดร์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดและระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา!
บึ้ม!
ดอกบัวแดงเบ่งบานงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ผ้าไหมสีขาวของมู่หรูเหยียนได้ถูกเผาทำลายเสียสิ้น
ทั้งร่างของนางถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีแดง จากนั้นก็ได้ถูกอัดลงไปบนพื้นจนเกิดหลุมขนาดมหึมาขึ้นมาหลุมหนึ่ง
“พรวด!” มู่หรูเหยียนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ร่างกายของนางถูกทำให้บาดเจ็บอย่างหนักและมิอาจจะลุกขึ้นยืนได้เลย
การโจมตีเพียงครั้งเดียวกลับทำให้นางพ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นเชิง เห็นกันอยู่ว่านางนั้นเป็นเพียงจักรพรรดิแห่งภูตขันที่สามเท่านั้น!
พวกมู่อีเองก็ล้วนแต่ตะลึงงัน ผู้นำตระกูลมู่นับวันยิ่งจะวิปริตเข้าไปทุกที!
พวกตาเฒ่าเหล่านั้นเองก็ตะลึงงันเช่นกัน กระบี่เล่มนั้น!
สามารถที่จะทำให้เด็กสาวที่เป็นเพียงระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามใช้พลังดั่งมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามออกมาได้นั้น อย่างน้อยมันจะต้องเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพ
และมันจะต้องไม่ธรรมดาทั่วไป มิเช่นนั้นแล้วคงไม่มีพลังรุนแรงเช่นนี้
ในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีได้พุ่งไปทางมู่หรูเหยียน “คราวก่อนที่เจ้าร่วงลงไปในหุบเหวมิได้ฆ่าเจ้าอย่างจริงจัง จึงทำให้เจ้ามีโอกาสได้พลิกฟื้นคืนมาใหม่”
“ครั้งนี้ข้าจะส่งเจ้าลงไปนรกอย่างสมบูรณ์ด้วยมือของข้าเอง!”
“สาวน้อย เจ้ากล้าดีนัก!”
“หยุด!”
“………”
พวกเขาจะไม่ช่วยมู่หรูเหยียนลงมือฆ่า แต่ทว่ามีหน้าที่สำคัญในการปกป้องนางมิให้นางตาย มิเช่นนั้นแล้วคงยากที่จะหนีการต้องโทษได้
ในบรรดาคนเหล่านั้น ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็คือมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สาม ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นเป็นถึงมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หก
ในตอนที่พวกเขาจะลงมือนี่เอง เงาร่างสีดำเงาหนึ่งได้ขวางกั้นตรงหน้าพวกเขาเอาไว้
เดิมทีจิ่วเยี่ยมิได้เคลื่อนไหวและซ่อนกลิ่นอายของตนเองเอาไว้ พวกเขาจึงมิได้สังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของจิ่วเยี่ยได้
แต่เมื่อพวกเขาเริ่มที่จะลงมือ พวกเขาก็กลับสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก!
อันตราย!
พวกเขารีบถอยห่างจากจิ่วเยี่ย พลังอันมืดมิดได้ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วและระเบิดพุ่งไปทางพวกเขา
เมื่อพลังนั้นสัมผัสเข้ากับร่างกายของพวกเขา ร่างกายนั้นก็ได้เริ่มกลายเป็นกระดูกสีขาว!
พวกเขาตะลึงงัน “นั่นคือ…นั่นคือ….นั่นคือพลังแห่งความตายอันมืดมิด เจ้า….เจ้าคือราชาจิ่วเยี่ย”
เมื่อเดาตัวตนของจิ่วเยี่ยออก สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนก็เปลี่ยนสีเป็นขาวเหมือนดั่งกระดาษขึ้นมา
ราชาจิ่วเยี่ย เขานั้นเป็นตัวแทนแห่งความตายอย่างแน่แท้ เมื่อเผชิญกับเขาอย่าได้หวังว่าจะรอดชีวิตไป!
มีจิ่วเยี่ยรับมือกับพวกผู้อาวุโสเหล่านั้น ไม่มีใครที่จะสามารถหยุดนางมิให้ฆ่ามู่หรูเหยียนได้
มู่เฉียนซีกวัดแกว่งกระบี่เตรียมที่จะฆ่ามู่หรูเหยียน และให้กระบี่มังกรเพลิงกลืนกินวิญญาณของนางไป
มู่หรูเหยียนกล่าว “มู่เฉียนซี เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก ข้าจะต้องกลับมาอีกแน่ จะมาหาเจ้าเพื่อคิดบัญชี! จะให้เจ้ามิได้ตายดี!”
ลำแสงสีขาวลำแสงหนึ่งได้ห่อหุ้มตัวของมู่หรูเหยียนเอาไว้
ผู้อาวุโสเหล่านั้นตะลึงงัน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมากแล้วกล่าว “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ มิได้! มิได้! ท่านจะไปเพียงตัวคนเดียวมิได้! รีบนำพวกเราไปด้วย! เร็วเข้า!”
ราชาจิ่วเยี่ยอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องตายอย่างมิต้องสงสัย สิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยพวกเขาได้นั่นก็คือม้วนหนังสือส่งระยะไกล
แต่ทว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับใช้ม้วนหนังสือส่งระยะไกลเสียแล้ว และทิ้งพวกเขาเอาไว้ที่นี่!
กระบี่ของมู่เฉียนซีพลาดเป้า สีหน้าของนางเองก็เปลี่ยนเป็นหม่นคล้ำลง
“บ้าจริง! นางมีของแห่งมิติที่สามารถส่งระยะไกลได้ กลับปล่อยนางให้หนีไปได้!”
จิ่วเยี่ยสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของมู่เฉียนซี จึงได้ลงมือโหดเหี้ยมมากขึ้นกว่าเดิม
เงามืดแห่งความตายได้ปกคลุมไปทั่ว ยอดฝีมือเหล่านั้นได้กลายเป็นผงกระดูกสีขาวและมลายหายไปในพริบตาอย่างไม่ทิ้งร่องรอยเหลือเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
มู่หรูเหยียนหนีไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว
มู่เฉียนซีคืนความสงบนิ่งกลับมาอีกครั้งแล้วกล่าว “พวกเจ้ารีบรักษาอาการบาดเจ็บเร็ว!”
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก มู่เฉียนซีได้ไล่รักษาไปทีละคนทีละคน โชคดีที่นางมาได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บอย่างหนักแต่ก็ไม่ถึงกับอันตรายถึงชีวิต
นอกจากน่าหลานอวี้กับเยวี่ยเจ๋อแล้ว พวกเขาแต่ละคนล้วนคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พวกข้าทำให้ท่านผู้นำตระกูลผิดหวัง!”
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปทางซากปรักหักพังและกล่าวว่า “หาตัวเขาให้เจอ เขาต้องไม่เป็นไรแน่ จะต้องไม่เป็นไร….”
“ขอรับ!”
งูหลามทั้งสองตัวนั้นก็เต็มไปด้วยบาดแผล มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ลำบากพวกเจ้าเสียแล้ว”
หลังจากที่ได้จัดการกับน้ำแข็งที่พังทลายลงมาเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดก็ได้หาร่างของเชียนอ้าวเซี่ยพบแล้ว
หลังจากที่เชียนอ้าวเซี่ยได้ตายไปก็ได้ถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งอย่างแน่นหนา และมิได้ถูกการพังทลายของน้ำแข็งในครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด
น่าหลานอวี้กล่าว “เจ้าหมอนี่หลับอย่างสงบอยู่ที่แห่งนี้ และก็ไม่รู้ว่าพวกเราตกใจไปมากเพียงใดเพราะเขาคนนี้”
มู่เฉียนซีถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!”
สุสานของจักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ไม่สามารถที่จะเอาตัวเขาไว้ในสถานที่แห่งนี้ได้อีกต่อไป มู่เฉียนซีจึงได้นำร่างของเชียนอ้าวเซี่ยเก็บไว้ในมิติก่อน
มู่เฉียนซีกล่าว “ออกไปจากทุ่งน้ำแข็งก่อน มู่อีจงรายงานการปรากฏตัวขึ้นของมู่หรูเหยียนมา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
การปรากฏตัวของมู่หรูเหยียนในแคว้นจื่อเยี่ยครั้งนี้ ทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้นก็ได้ทำลายจวนตระกูลมู่เสีย แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นพวกเขาล้วนแต่มิได้อยู่ที่จวน
“ชิงอวิ๋นเล่า?” ด้วยลักษณะการกระทำของมู่หรูเหยียนแล้ว เกรงว่ากับผู้ที่นางให้ความสำคัญมู่หรูเหยียนคงจะไม่ยอมปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว
เยวี่ยเจ๋อกล่าวตอบ “ท่านอวิ๋นอ๋องเองก็ได้ออกไปฝึกฝนหลังจากที่ผู้นำตระกูลจากไปได้ไม่นาน พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่หนใด แน่นอนว่ามู่หรูเหยียนเองก็หาไม่พบ แต่ทว่า….”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “แต่ว่าอะไร?”
“ซวนหยวนหลี่เทียนได้ตกไปอยู่ในกำมือของมู่หรูเหยียน แล้วก็เป็นเขาที่ลอบส่งข่าวให้แก่ข้า ให้องค์รักษ์เงาและผู้ที่ท่านให้ความสำคัญไปหลบซ่อนเสีย มิเช่นนั้นแล้วมู่หรูเหยียนปรากฏตัวขึ้นพวกเราคงรับมือไม่ทัน บางทีพวกเราอาจจะวอดวายกันไปทั้งหมด!”
สำหรับคนผู้นี้แล้ว พวกเขานั้นไม่ชอบมาโดยตลอด เรื่องที่เขาได้กระทำไปเมื่อกาลก่อน พวกเขานั้นมิได้ลืมเลือนมันไป
แต่กับการกระทำในครั้งนี้ก็กลับทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่บ้าง!
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย!” มู่อีกล่าวตอบ
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “หอฉงโหลวบนเมฆาจงออกมา เดินทางไปที่พระราชวังแห่งแคว้นจื่อเยี่ย เร็วเข้า!”
ครืน!
หอฉงโหลวบนเมฆาปรากฏตัวขึ้นบนพื้นดินแล้วเปิดประตูออก
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเราไปกัน!”
ถึงแม้ว่านางและซวนหยวนหลี่เทียนจะได้เดินทางกันไปในเส้นทางของคนแปลกหน้ากันไปแต่แรกแล้ว แต่ครั้งนี้เขาได้ช่วยเรื่องที่ใหญ่หลวงเอาไว้ มู่เฉียนซีเองก็มิอาจที่จะพบความตายและไม่ช่วยเหลือได้!
หลังจากที่มู่เฉียนซีและคนอื่น ๆ ได้เข้าไปในหอฉงโหลวบนเมฆาแล้ว หอฉงโหลวบนเมฆาก็ได้ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดเดินทางไปถึงพระราชวังแคว้นจื่อเยี่ย
ทันใดนั้น ทั่วทั้งพระราชวังก็กลายเป็นมืดมิดไป
ขันทีและนางกำนัลในวังหลวงต่างหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ หรือว่าวันโลกาพินาศกําลังจะมาถึง?
จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นเงาร่างจำนวนหนึ่งลงมาจากกลางอากาศ หญิงสาวผู้ที่งดงามอย่างที่สุดได้พุ่งเข้ามาแล้วถามขึ้น “ฝ่าบาทของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ฝ่าบาท…”
“ผู้…..ผู้นำตระกูลมู่……”