เดิมทีนางคิดจะหาตัวการสำคัญที่ทําให้นางพลาดดอกกล้วยไม้หงส์ดำมาชําระบัญชี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางไม่จําเป็นต้องคิดบัญชี สวรรค์ก็ได้จัดการให้นางเรียบร้อยแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ไปดูซิว่าเจ้าหมอนี่ตายหรือไม่ ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยอดยุทธขั้นสูงสุด! เท่าที่ข้ารู้ ทั่วทั้งโลกสี่ทิศ แทบจะนับนิ้วได้เลย”
เงาร่างสีม่วงพุ่งออกไป มู่เฉียนซีไปยังที่ที่คนผู้นั้นตกลงมา
ทั่วร่างกายถูกฟ้าผ่าจนมีบาดแผลเต็มไปหมด มู่เฉียนซีผลักเขาและกล่าวว่า “นี่!”
ตุบ!
ร่างของเขาพลิกกลับมา
ผมสีดําที่ยุ่งเหยิง แต่กลับไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่สมบูรณ์แบบราวกับงานศิลปะใบนั้นได้ คิ้วของเขาเหมือนดั่งดวงจันทร์ที่หนาวเย็นแม้หมดสติแต่ร่องรอยของความหนาวเย็นก็ยังคงแผ่ออกมา
กล้ามเนื้อที่แข็งตัวและจมูกที่ตั้งตรง รูปร่างที่งดงามเช่นนี้ หาได้ยากในโลก
มู่เฉียนซีกล่าว “ยังไม่ตาย!”
อู๋ตี้กล่าว “นายท่าน หากไม่ตายท่านก็ซ้ำไปสักสองสามดาบ ชายผู้นี้มีหน้าตางดงามเช่นนี้นับเป็นหายนะอย่างหนึ่ง นายท่านยังไม่ทันที่จะได้พบกับเขาก็ทำให้นายท่านต้องเสียสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพี ลักษณะเป็นปัญหาเช่นนี้ยังไม่รู้จะพาความวุ่นวายอะไรมาให้อีก!”
“แต่ว่า…” สายตาของอู๋ตี้มองสํารวจชายผู้นั้น
“แต่ชายผู้นี้งดงามนัก นายท่านช่วยเขาเอาไว้ เมื่อถึงเวลาเอาเจ้านี่ไปทำให้ผู้ชายบัดซบนั่นโกรธแทบตายก็ดี”
ชายผู้นี้ดูเย็นชาและสง่างาม แต่รูปลักษณ์ของเขาด้อยกว่าบุรุษปีศาจที่เย็นชาและงดงามนั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แกร๊ง!
เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งและเหรียญเงินเหรียญหนึ่งก็หล่นลงมาจากเอวของเขา
มู่เฉียนซีเหลือบมองไป ลวดลายอื่น ๆ นางไม่รู้จัก แต่คําว่า “ตําหนักเป่ยหาน” กลับชัดเจนอย่างมาก
มู่เฉียนซีก้มลงหยิบเหรียญนั่นขึ้นมา “หยกเย็นเยือกมันถูกสร้างขึ้นจากหยกน้ำแข็งหมื่นปีที่หาได้ยากจากดินแดนโลกสี่ทิศ เจ้าหมอนี่มีเหรียญตราตําหนักเป่ยหานเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ดูจากอายุของเขาแล้ว อย่างน้อยเขาก็คงอยู่ในระดับสูงกว่าเฟิงอวิ๋นซิว”
“เมื่อรู้สถานะของเจ้าหมอนี่ ข้าค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าอู๋ตี้ที่ต้องซ้ำอีกสักสองสามดาบ”
ดวงตาดําขลับของมู่เฉียนซีฉายแววเย็นยะเยือก
ตำหนักเป่ยหาน เป็นกองกําลังที่ควบคุมอารอง แม้ว่าอารองจะไม่เกี่ยวข้องกับชายผู้นี้ แต่มู่เฉียนซีก็อดที่จะโกรธไม่ได้
มู่เฉียนซีกล่าว “คนผู้นี้มีสถานะไม่ธรรมดา หากฆ่าเขาทันที่ ก็ช่างน่าเสียดายนัก”
นางไม่ได้หุนหันพลันแล่น การที่อารองจะได้รับการช่วยเหลือก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น บางทีนางอาจจะต้องเข้าไปด้านในของตําหนักเป่ยหาน เพื่อสืบหาว่าใครกันแน่ที่ได้ควบคุมอารองไว้ และหาวิธีปลดผนึกไม่ให้อารองเกิดเรื่อง จึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เมื่อต้องเผชิญหน้า ทุกคนก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย บางทีอาจทําให้อารองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากขึ้น
อู๋ตี้กล่าว “หน้าตาดีขนาดนี้ ถ้าต้องตายก็ช่างน่าเสียดายนัก นายท่านอยากช่วยก็ช่วย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็สนับสนุนการตัดสินใจของนายท่าน!”
เสี่ยวหงได้จดบัญชีไว้ให้อู๋ตี้แล้ว ยุยงส่งเสริมนายท่านช่วยชายผู้งดงามคนหนึ่ง หากท่านจิ่วเยี่ยรู้เข้า อู๋ตี้เจ้าได้ตายแน่แล้ว
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าร่างกายของชายผู้นี้ย่ำแย่มาก ยังมีชีวิตอยู่ได้นั้นถือว่าโชคดีมาก เส้นลมปราณถูกสายฟ้าฟาดทำลาย หากมีชีวิตรอดก็เกรงว่าเส้นเอ็นกับเส้นลมปราณอาจจะแตกขาดและพลังทั้งหมดก็หมดลง
แม้ว่าจะมีวิธี แต่มู่เฉียนซีก็ไม่อยากช่วยฟื้นฟูเส้นลมปราณของผู้ที่มาจากกองกําลังศัตรูของนาง ช่วยเขาให้ได้สติก่อนแล้วกัน
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง มู่เฉียนซีตั้งค่ายเพื่อเตรียมพักผ่อน ส่วนเจ้าหมอนี่ทิ้งเขาไว้ด้านนอกก็ได้แล้ว อย่าถูกสัตว์ศิลาดํากลืนกินก็พอ
ฟึ่บ!
มู่เฉียนซีจุดไฟขึ้นมาย่างเนื้อ เพิ่งจะย่างเนื้อเสร็จก็เห็นเงาร่างสีขาวที่นอนอยู่นั้นกําลังขยับตัว
กู้ไป๋อีลืมตาขึ้น เขายังไม่ตาย!
สายฟ้าฟาดลงมาเก้าครั้ง เขากลับยังไม่ตาย!
มู่เฉียนซีค่อย ๆ ลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวอย่างเผด็จการว่า “วันนี้ข้าได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ หลังจากนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ ได้ยินหรือไม่!”
กู้ไป๋อีตะลึงงัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกชี้หน้าสั่ง
ถึงจะอย่างนั้น แต่ใบหน้าของเขาก็มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่มีอารมณ์ใด ๆ เด็กสาวผู้นี้งดงามยิ่งนัก
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในทุ่งศิลาดำนั้นงดงามมาก แต่ดวงตาสีดําคู่นั้นกลับเปล่งประกายเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าดวงดาวที่อยู่ด้านหลังนางเสียอีก
รูปลักษณ์ที่โดดเด่นมีดวงตาที่สวยงาม แต่อารมณ์กลับไม่ได้ดีนัก?
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจะมอบของขวัญขอบคุณให้แก่เจ้า”
เสียงที่ไพเราะแฝงไว้ด้วยความเย็นชาราวกับหิมะที่หนาวเหน็บบนยอดเขา
มู่เฉียนซีหัวเราะ “ของขวัญขอบคุณ? แหวนมิติของเจ้าถูกสายฟ้าฟาดจนขาดสะบั้นแล้ว! และยังจะมาบอกว่ามีของขวัญขอบคุณให้ข้า อย่ามาพูดอะไรที่ทำไม่ได้เลย จากนี้ไปเจ้าก็คือคนรับใช้ของข้า ถ้าหากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็”
กู้ไป๋อีตรวจสอบของใช้ส่วนตัวพบว่าแหวนมิติของเขาถูกผ่าจนขาดจริง ๆ และของที่เขาพกติดตัวมาทั้งหมดล้วนอยู่ในแหวน
ตอนนี้ทั้งตัวมีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่บนร่างกายนั่นก็คือ…
เขาลูบคลำเหรียญตรานั่น มีเพียงเหรียญตราแผ่นนี้เท่านั้นที่ไม่หวาดกลัวสายฟ้าสวรรค์ แต่เหรียญตรานี้ไม่สามารถมอบให้แก่ผู้อื่นได้ตามใจชอบ
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเพราะเขาพบว่าตัวเองไม่มีพลังความแข็งแกร่งใด ๆ
หากไม่มีความแข็งแกร่ง เขาก็คงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ไม่ว่าที่ใด ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือทุ่งศิลาดำ หากสัตว์วิญญาณศิลาดําระดับต่ำออกมาตัวหนึ่งก็สามารถเอาชีวิตเขาไปได้แล้ว เขาทุ่มเทสุดตัว ไม่เพียงแต่ไม่สําเร็จ แต่กลับทําให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เขาก็ไม่เสียใจ
แม้ว่าจะรู้ว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ใบหน้าของเขากลับไม่มีอารมณ์ใด ๆ มู่เฉียนซีสงสัยว่าเขาใบหน้าอัมพาตมาโดยกำเนิดเลยหรือไม่
มู่เฉียนซีก้มลงมองเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นกังวลเกินไปแล้ว ข้าเห็นแก่ที่เจ้าหน้าตาดีถึงเพียงนี้ ต่อให้เจ้าไม่มีระดับวรยุทธ์แม้แต่น้อย ขอเพียงเจ้าทําผลงานได้ดี ไม่แน่ว่าอาจจะให้เจ้ามาเป็นสามีน้อยคนที่สิบแปดของข้า เมื่อถึงตอนนี้แล้วข้ารับรองว่าเจ้าจะอยู่ดีกินดีไม่มีใครสามารถรังแกเจ้าได้!”
มู่เฉียนซียื่นมือที่เรียวบางออกมาและตั้งใจจะทดสอบเจ้าหมอนี่
ผู้ที่สูงส่งผู้นี้ยังคงสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม แต่ทว่าดวงตาทั้งคู่นั้นเหมือนกับศิลาดำก็มิปานที่ได้แผ่ความเย็นยะเยือกอันน่าตะลึงออกมา ทำให้รู้สึกเหมือนดั่งหิมะที่ตกหนักจนทับถมลงมาก็มิปาน
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!”
เพราะคุ้นเคยกับความหนาวเย็นของจิ่วเยี่ยมาเป็นเวลานานแล้ว จิตสังหารนี้ไม่ได้เท่าไรเลยจริง ๆ?
มู่เฉียนซีกล่าว “หยิ่งยโสนักนะ? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจับเจ้าถอดเสื้อผ้าให้หมดสิ้นแล้วโยนไปตากแดดอยู่บนยอดศิลาดำนั่น?”
มือเรียวบางของมู่เฉียนซีชี้ไปยังศิลาก้อนใหญ่นั้นที่อยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้ากล้าดียังไง!”
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เขาราวกับภูเขาหิมะที่ผู้คนได้แต่มองขึ้นไป แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง!
กลับคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะตกไปอยู่ในมือของสตรีอันธพาลที่หยิ่งยโส และยังต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้อีก
มู่เฉียนซีหัวเราะ “ข้ายังไม่รู้เลยว่าในโลกนี้มีสิ่งที่ข้าไม่กล้าทําด้วยหรือ?”
พูดจบมู่เฉียนซีก็ยื่นกรงเล็บมารออกมา!