ที่จริงแล้วมู่เฉียนซีมิได้มีความชอบในการทรมานผู้เป็นเชลย แต่เมื่อนางรู้ว่าเจ้าหมอนี่มาจากตำหนักเป่ยหานอีกทั้งยังมีตำแหน่งที่ไม่ต่ำเลย
เมื่อนึกถึงการที่อารองใช้ชีวิตอยู่ที่ตำหนักเป่ยหานอย่างกึ่งคนกึ่งผีมาสิบกว่าปี นางก็เกิดความอดไม่ได้ขึ้นมาบ้างที่จะทรมานเจ้าหมอนี่
ถ้าเขาอยากจะโทษ เขาก็ควรไปโทษพวกผู้อาวุโสและเจ้าตำหนักเป่ยหานที่เป็นต้นเหตุในการบีบบังคับอารอง!
แควก!
เสื้อผ้าของกู้ไป๋อีนั้นมีคุณภาพที่ดียิ่งนัก มิเช่นนั้นคงมิอาจทนต่อสายฟ้านั้นได้และคงได้กลายเป็นผุยผงไปแล้ว
แต่ทว่าเมื่อมู่เฉียนซีได้ออกแรงดึงก็กลับฉีกเสื้อผ้านั้นได้ขาดออกเสีย
ในตอนนี้เสี่ยวหงร้อนรนใจเข้าแล้ว!
แสงสีแดงกระพริบวาบ เสี่ยวหงกล่าว “นายท่าน ท่านอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามสิ! ถ้าหากว่าท่านจิ่วเยี่ยรู้เข้าละก็จะต้องฆ่าข้าอย่างแน่นอน!”
อู๋ตี้โกรธขึ้นมา “เจ้านี่มันไอ้คนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เจ้าอย่าได้มาขัดขวางเรื่องดี ๆ ของนายท่าน!”
ปัก ปัก ปัก!
“……….”
และแล้วปรากฏว่าทั้งสองก็ได้ต่อสู้กันขึ้นมา
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามกับระดับสี่ หญิงสาวผู้นี้ได้ทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปสองตัว
กู้ไป๋อีรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ส่วนมู่เฉียนซีเองก็มิได้เล่นด้วย นางกล่าวเตือนขึ้น “หากว่าเจ้าไม่อยากตายละก็ ทางที่ดีที่สุดคืออยู่ให้สงบ ๆ หน่อย”
มู่เฉียนซีไปเพลิดเพลินกับเนื้อย่างของตัวเอง แน่นอนว่ากู้ไป๋อีที่ได้ผ่านสายฟ้าฟาดมาก็หิวแล้วเช่นกัน
เมื่อได้ยินเสียง จ๊อก ๆ มู่เฉียนซีก็มองไปทางกู้ไป๋อีพร้อมยิ้มแล้วกล่าว “เจ้าหิวเหรอ?”
“ใช่!” น้ำเสียงของเขาชัดใสและเย็นชา
แม้สภาพจะทุลักทุเล แต่เขากลับนั่งนิ่งสงบอยู่ด้านข้างราวกับรอให้สาวรับใช้นำอาหารอันเลิศรสไปให้ก็มิปาน
มู่เฉียนซีนั้นมิใช่สาวรับใช้ของเขา หากแต่ตอนนี้นางต่างหากคือผู้ที่เป็นนายของเขา!
“เช่นนั้นเจ้าก็จงหิวต่อไปเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความเกียจคร้าน
ความเลวร้ายของสาวน้อยผู้นี้ทำให้ใบหน้าที่เหมือนดั่งภูเขาน้ำแข็งใบนั้นแทบจะแตกกระจายออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้ไป๋อีผู้มีสถานะที่สูงส่งและพลังความสามารถที่เต็มขั้นได้ลิ้มรสถึงรสชาติของความหิวโหย มันช่างทรมานเสียจริง
มุมปากของมู่เฉียนซียกโค้งขึ้นเล็กน้อย เทพผู้สูงส่งที่อยู่บนวังจันทราเบื้องบนได้ร่วงหล่นลงมาบนพื้นพสุธา จงดื่มด่ำกับรสชาติเปรี้ยว หวาน เผ็ด ขม บนโลกมนุษย์นี้ให้ดีเถอะ!
หลังจากที่กินอิ่มและดื่มจนเปรมแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้เรียกให้เจ้าสองตัวนั้นที่กำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายให้เลิกทำตัววุ่นวายเสีย เพื่อให้พวกมันมาเฝ้าดูเอาไว้ จากนั้นนางก็ไปพักผ่อน
มู่เฉียนซีกล่าวเตือนขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋ อย่าได้เดินไปไหนมั่วซั่ว! มิเช่นนั้นหากถูกสัตว์วิญญาณกัดเข้า มันก็จะเป็นการสิ้นเปลืองใบหน้านี้ของเจ้าเสีย”
แววตาของกู้ไป๋อียิ่งเพิ่มความเย็นชามากขึ้นไปกว่าเดิม สิ่งที่พิเศษของเขาในสายตาของหญิงสาวผู้นี้กลับมีเพียงแค่ใบหน้าของเขา มันช่างเป็นความอัปยศของยอดฝีมือขั้นสูงแห่งโลกทั้งสี่ทิศเช่นเขาจริง ๆ
“กู้ไป๋อี!” เสี่ยวไป๋ ชื่อนี้ประหนึ่งเหมือนชื่อของสัตว์เลี้ยง เขานั้นมิอาจที่จะรับได้เลย!
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “กู้ไป๋อีนั้นเป็นชื่อของเจ้า! เช่นนั้นดูเหมือนเรียกเจ้าว่าเสี่ยวไป๋ก็ไม่เลว ต่อจากนี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวไป๋แล้วกัน”
ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบราวกับงานฝีมือน้ำแข็งแกะสลักหมื่นปีนั้น ในตอนนี้ก็ได้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้างแล้ว ดวงตาที่เย็นชานั้นเริ่มมีเปลวเพลิงไหวติงขึ้นมา
การถูกหยอกล้อ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกปฏิบัติอย่างไร้เหตุผลนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งเช่นเขาบ้าคลั่ง
แต่ทว่าเขาเป็นผู้ที่มีเหตุผลเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพลังความสามารถของเด็กสาวนั่นเป็นเช่นไร แต่กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวนั้นเพียงพอที่จะทำให้นางออกไปจากทุ่งรกร้างศิลาดำนี้ได้อย่างปลอดภัย การที่เขาอยู่ข้างตัวนางนั้นเป็นการปลอดภัยอย่างที่สุด
เขายังมิได้ฝึกบำเพ็ญไปจนถึงขั้นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ได้ฝึกไปจนถึงขั้นสูงสุดของวิถียุทธ์ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องมาตายไปเช่นนี้อย่างแน่นอน เขาจึงต้องยอมอดกลั้นเพื่อรักษาสิ่งทั้งมวลที่เขามีอยู่เอาไว้
ยอมอดกลั้นเพื่อรักษาทุกสิ่งของตน เขาเองก็มีวันนี้เช่นกัน!
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่สบายเป็นอย่างมากสำหรับมู่เฉียนซี เมื่อตื่นขึ้นมู่เฉียนซีได้เดินออกมาจากกระโจมก็พบว่าสีหน้าของกู้ไป๋อีนั้นแย่เสียยิ่งกว่าเดิม
นางนั้นมิได้พยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่มาแต่เดิมอยู่แล้ว เพียงแต่มิให้เขาตายไปก็เท่านั้น อีกทั้งเมื่อคืนทั้งคืนมีลมกลางคืนพัดอยู่ตลอด สีหน้าดีสิแปลก
มู่เฉียนซีโบกมือแล้วกล่าว “อู๋ตี้ เสี่ยวหง เสี่ยวไป๋ พวกเราออกเดินทาง! ไปหาราชาสัตว์ศิลาดำ”
อู๋ตี้ เสี่ยวหง “ขอรับ!”
กู้ไป๋อีตะลึงงัน ราชาสัตว์ศิลาดำ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ถึงต่อให้นางพาสัตว์พันธสัญญาทั้งสองตัวไปด้วยก็ยังไม่แน่ว่าจะปลอดภัยนัก
นางยังไม่กลัวมีอันตรายอีกหรือ?
มู่เฉียนซีกล่าว “สิ่งล้ำค่าที่ข้าหามาได้เมื่อคืน เดิมทีมันก็จะตกเป็นของข้าอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเจ้าได้ดึงดูดสายฟ้าฟาดเข้าอย่างกระทันหัน เลยทำให้สมบัติของข้าได้ถูกราชาสัตว์ศิลาดำแย่งกลับคืนไปเสีย เจ้านั้นเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เจ้ากลัวว่าข้าจะสู้กับราชาสัตว์ศิลาดำไม่ได้ใช่หรือไม่? หากสู้มิได้ก็จะเอาเจ้าไปเป็นแพะรับบาปเป็นเช่นไร?”
กู้ไป๋อีทำเพียงแค่มองออกไปยังที่ห่างไกลและไม่กล่าวอะไร และยิ่งไม่อยากที่จะสนใจเด็กสาวป่าเถื่อนไร้เหตุผลผู้นี้
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้ายังจะทำตัวเย็นชากับข้าอีก ตอนนี้ข้านั้นเป็นนายของเจ้า! ลองเรียกว่านายท่านให้ข้าฟังหน่อยสิ!”
นายท่าน! คําสองคํานี้ จะให้กู้ไป๋อีที่หยิ่งทะนงและมีตำแหน่งสูงส่งเรียกออกมาได้อย่างไร
“นายท่านไม่ได้ เช่นนั้นเจ้านายเล่า?”
“……..”
กู้ไป๋อีก็ยังคงไม่ตอบสนองเช่นเดิม มู่เฉียนซีโบกมือแล้วกล่าว “อู๋ตี้ ถอดเสื้อผ้าเจ้าหมอนี่ให้สิ้นแล้วโยนไปตากแดดที่บนยอดศิลาดำ”
อู๋ตี้กล่าวตอบ “รับทราบ!”
เดิมทีเสื้อผ้าของกู้ไป๋อีที่ได้ถูกมู่เฉียนซีดึงไปเมื่อวานนั้นก็มิได้มีเหลือมากนัก หากถูกกระทำอีกเขาก็คงจะเหลือแต่ตัวเปล่าเปลือย
“แม่นางน้อยขอจงเอาใจเขาใส่ใจเรา อย่าทำอะไรให้สุดโต่งมากนัก มิเช่นนั้นแล้วเจ้าจะเสียใจภายหลัง!” กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สายตาของมู่เฉียนซีนั้นเย็นชาเสียยิ่งกว่าเขาอีก “ข้าจะบอกเจ้าให้นะเสี่ยวไป๋! เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะรู้สำนวนหนึ่งเอาไว้ ‘ผู้อยู่ใต้ชายคา จำต้องก้มหัว’ ทางที่ดีที่สุดเจ้าจงเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ให้ชัดเจน ไม่ว่าก่อนหน้านี้พลังความสามารถของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีพลังลมปราณหรือพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะสูงศักดิ์เพียงใด แต่เมื่ออยู่พื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้ ไม่มีใครที่จะรู้จักเจ้า!”
“อีกอย่าง ข้าก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะแก้แค้น! คนผู้หนึ่งที่ได้กลายเป็นผู้พิการไร้ความสามารถ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะมีตำแหน่งสูงส่งเพียงใด แต่ตอนนี้เกรงว่าผู้ที่เคยยอมศิโรราบให้แก่เจ้าคงอดไม่ได้ที่จะเหยียบซ้ำเจ้าย้ำ ๆ”
ไม่ว่าอย่างไรกู้ไป๋อีก็คาดไม่ถึง ว่าสาวน้อยที่โอหังผู้นี้จะวิเคราะห์สถานการณ์ของเขาได้ชัดเจนเป็นอย่างมาก
“เจ้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่อย่างถูกทำให้อับอาย หรือว่าเลือกที่จะสูญเสียความเคารพเล่า?” มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“คุณหนูใหญ่!” คำสามคำนี้ถูกกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
เมื่อนางได้ข้ามมายังอดีตก็ได้เป็นผู้นำตระกูลมู่ แต่ทว่าก่อนที่นางจะเป็นผู้นำตระกูลมู่นั้นก็ดูเหมือนว่านางจะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลมู่มาก่อน
ดูแล้วสิ่งที่เจ้าหมอนี่สามารถจะรับได้ก็มีแต่คำนี้เสียแล้ว มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าวรับ “ก็ได้!”
“ไปกันเถอะ! ไปหาดอกกล้วยไม้หงส์ดำ ถ้าหากว่าข้าพลาดดอกกล้วยไม้หงส์ดำไป รอให้พวกเราไปจากทุ่งรกร้างศิลาดำข้าจะขายเจ้าเข้าสถานบำเรอ ก็เพียงพอที่จะขายได้ราคาดี”
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจที่จะทดแทนกับความเสียหายของดอกกล้วยไม้หงส์ดำได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เอาไว้ช่วยเจ้าสวะเซี่ยเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านี้ ใบหน้าอันเย็นชาของกู้ไป๋อีก็ยิ่งแข็งทื่อขึ้นไปเรื่อย ๆ
ตูม!
เมื่อมู่เฉียนซีถูกสัตว์ศิลาดำโจมตี มู่เฉียนซีก็มิได้ให้สัตว์พันธสัญญาออกโรงเหมือนดั่งเช่นที่กู้ไป๋อีได้คาดการณ์เอาไว้
เขาเหลือบไปเห็นเงาร่างสีม่วงนั้น เจตจํานงแห่งการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งความหมายนั้น แม้ให้เขาต้องเจอภูตผีก็ยังรู้สึกว่ามันช่างเหมือนเขาคนที่สอง
เพราะความโหดเหี้ยมกล้าหาญในการไล่ตามสู่การเป็นยอดฝีมือ แต่เมื่อคิดถึงความเลวร้ายของหญิงสาวผู้นี้ กู้ไป๋อีก็คิดว่าสัมผัสของเขาคงผิดพลาดไป
ปัง ปัง ปัง!
เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่านางมีพลังความแข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สาม แต่กลับมีเจตจำนงในการต่อสู้ข้ามขั้นที่น่าพรั่นพรึง กู้ไป๋อีพลันรู้สึกขึ้นมาว่าเขานั้นมิอาจที่จะอ่านเด็กสาวผู้นี้ให้เข้าใจได้
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้กวาดล้างพร้อมกับการบีบบังคับถามอย่างโหดร้าย ในที่สุดก็ได้ข่าวเกี่ยวกับที่อยู่ของราชาสัตว์ศิลาดำนั่นแล้ว
ในตอนนี้มู่เฉียนซี อู๋ตี้ เสี่ยวหงพร้อมด้วยกู้ไป๋อีได้มาถึงยังหน้าปากทางถ้ำของราชาสัตว์ศิลาดำแล้ว