น้ำเสียงอันแหบแห้งยังคงก้องอยู่ในหู แต่จิ่วเยี่ยนั้นได้อันตรธานไปแล้ว
ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง เกิดอันใดขึ้นกับจิ่วเยี่ย?”
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “ต้องทำลายคำสาปในคัมภีร์หมื่นคำสาปนั่น ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่สถานการณ์ของจิ่วเยี่ยไม่ค่อยจะดีนัก ทางที่ดี ต่อไปซีเอ๋อร์เจอเขาน้อยลงจะดีกว่า!”
มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งขึ้น “เจอให้น้อยลงอย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของนายท่าน สุ่ยจิงอิ๋งจึงกล่าวออกมาอย่างเฉียบขาดว่า “ทางที่ดีที่สุด อย่าได้เจอกันอีกตลอดไป!”
“พวกเราจะต้องหาที่ตั้งของสามเผ่านั้นให้เจอ ต้องหาวิธีให้ได้ ข้ารับปากกับเขาไว้แล้วว่าจะต้องรักษาเขาให้หาย จะไม่ให้เจอกันได้อย่างไรล่ะ?”
คล้ายกับว่าจะเคยชินกับการที่เขาปรากฏตัวออกมาอยู่ข้างกาย หากไม่เจอกันตลอดไป ก็ดูเหมือนว่าในใจได้ขาดบางสิ่งบางอย่างไป
“ทุกอย่าง ล้วนแต่ฟังซีเอ๋อร์!”
ถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงความปลอดภัยของซีเอ๋อร์ แต่นางก็ไม่อาจขัดคำสั่งของซีเอ๋อร์ได้
อย่างน้อยในตอนนี้นางก็ยังสามารถปกป้องซีเอ๋อร์ได้
“ข้าจะพักผ่อนแล้ว!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเหนื่อยล้า
เดิมทีแค่อยากจะบอกข่าวดีกับเขา แต่กลับนึกไม่ถึงว่าได้รู้ข่าวดีนี้แล้ว นางก็ได้รู้ข่าวร้ายเช่นกัน
……
เวลาหนึ่งวันของเย่เฉิน เขาได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่ในศาลของบรรพบุรุษ
ในตอนนี้เอง ชายชราผู้หนึ่งได้เดินเข้ามา และกล่าวว่า “ตระกูลยาโบราณทั้งสาม จะยอมรับหม้อวิญญาณนิรันดร์เป็นนายได้เท่านั้น คำสาบาน จนตายก็ไม่อาจทรยศได้ แต่ตอนนี้ตระกูลเย่ได้สิ้นลงไปแล้ว นายน้อยใคร่จะทำสิ่งใด ก็ทำเถอะ!”
เย่เฉินหันหน้าไปมอง พลางกล่าว “ท่านปู่!”
“ในตอนแรก ข้าแค่อยากจะให้นายน้อยอยู่แค่ในเมืองเหยียนแห่งนี้ ต่อให้ไม่มีอะไรทำ ขอเพียงแค่ใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว กลับนึกไม่ถึง……”
ทุกเรื่องมักจะมีข้อยกเว้นเสมอ เด็กผู้นี้เขาดูแลมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ตอนนี้เขาได้ลุ่มหลงในอารมณ์รัก อีกทั้งยังรักหญิงสาวเช่นนั้นอีก ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางราบรื่นแน่นอน
เย่เฉินกล่าว “ข้าเย่เฉิน จะขอเอาแต่ใจตัวเองเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ละอายใจต่อบรรพบุรุษยิ่งนัก!”
……
วันต่อมา เย่เฉินไปหามู่เฉียนซี แต่กลับถูกกู้ไป๋อีขวางเอาไว้
“ไม่มีคำสั่งจากนาง ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้”
เย่เฉินมองดูชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา ครั้งตอนที่นางจากไป นางไปตัวคนเดียว แต่ตอนกลับมากลับพาคนคนหนึ่งกลับมาด้วย
คนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไร้ซึ่งพลังวิญญาณใดใด แต่ความน่ากลัวนั้นกลับไม่ธรรมดาเอาซะเลย แต่กลับเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น!
“เช่นนั้นข้าจะรอข้างนอกก็แล้วกัน!”
สุดท้ายรอจนท้องฟ้ามืดลง แต่ดูเหมือนว่าด้านในนั้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดใด เย่เฉินกล่าว “เกิดอันใดขึ้นกับแม่นางมู่หรือไม่?”
“อาจจะกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ก็ได้ ข้าไม่ได้รู้สึกว่ามีใครเข้าไป ไม่น่าจะเป็นอะไร!” ถึงแม้ว่าจะไร้ซึ่งพลังวิญญาณ แต่พลังจิตยังคงอยู่
รอจนเกือบถึงยามจื่อ มู่เฉียนซีเพิ่งจะตื่นขึ้นมา และแน่นอนว่านางรับรู้ได้ว่าด้านนอกนั้นมีคนอยู่
นางเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “เย่เฉิน เข้ามาเถอะ!”
เย่เฉินเดินเข้ามา แต่เขาเพียงแค่คุกเข่าอยู่กับพื้น “เย่เฉินคารวะนายท่าน”
“นี่เจ้าตัดสินใจแล้วเหรอ?”
“ขอรับ!”
กู้ไป๋อีที่เดินเข้ามา เห็นสีหน้าของมู่เฉียนซีผิดปกติไป
นางเป็นคนที่กำเริบเสิบสาน ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ใบหน้ารูปไข่นั้นกลับดูเหมือนจะซีดเซียวก็มิปาน
เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปถามว่า “คุณหนูใหญ่ เป็นอะไรไป?”
มู่เฉียนซีกล่าว “เย่เฉิน เจ้าออกไปก่อนเถอะ รอให้ข้าฟื้นฟูร่างกายก่อน ข้าจะเรียกเจ้ามาคุยอย่างละเอียดอีกที”
“ขอรับ!” เย่เฉินจากไป
ส่วนกู้ไป๋อียังคงมองมู่เฉียนซีอย่างเย็นชาอยู่ “พลังวิญญาณของเจ้าผันผวนจนไม่รู้สึกถึงความปั่นป่วน นี่ไม่ใช่เป็นเพราะการฝึกบำเพ็ญแล้ว”
ไม่มีพลังวิญญาณแต่ประสบการณ์ยังคงอยู่ มู่เฉียนซีสามารถปกปิดเย่เฉินได้ แต่ไม่สามารถปกปิดสายตาของกู้ไป๋อีไปได้
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ในเมื่อเจ้าเปิดเผยคำโกหกของข้า เช่นนั้นก็ลองทายดูสิว่าข้าเป็นอะไร หากเจ้าทายถูก ข้าก็จะไม่ให้เจ้าเป็นข้ารับใช้ของข้าแล้ว ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าให้เหมือนว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจจนกว่าพลังวิญญาณของเจ้าจะกลับมาเป็นปกติ แต่หากเจ้าทายไม่ถูก…”
“เดินออกไป เลี้ยวซ้าย แล้วไปนอนซะ ข้าก็อยากจะพักผ่อนแล้ว!” มู่เฉียนซีชี้ออกไปด้านนอกพลางกล่าว
กู้ไป๋อีคิดเช่นไรก็คิดไม่ออก “ข้าไม่ใช่นักปรุงยา ข้าไม่รู้หรอก เจ้าเป็นนักปรุงยาไม่ใช่เหรอ ดูแลตัวเองดี ๆ ก็แล้วกัน!”
กล่าวจบเขาก็เดินออกไปและปิดประตูห้องมู่เฉียนซีทันที
มู่เฉียนซีที่อยู่ในห้องเพียงลำพังในตอนนี้ก็จนปัญญามาก “ข้าเป็นนักปรุงยาคนหนึ่ง ได้เห็นคนไข้อาการกำเริบขึ้นอีกครั้งจนทรมานถึงเพียงนี้ นักปรุงยาอย่างข้าก็ต้องพยายามให้มากขึ้นใช่หรือไม่!”
……
ฉ่า!
จิ่วเยี่ยถูกส่งกลับมายังวังคุกโลหิต ชายชุดดำผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวด้านหลังเขา
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทไปพบท่านผู้นำตระกูลมู่มาอีกแล้วเหรอพะยะค่ะ?”
จิ่วเยี่ยไม่ตอบ คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า “ท่านอู๋หยาได้บอกเอาไว้แล้วว่าทางที่ดีที่สุดฝ่าบาทอย่าได้ไปเจอท่านผู้นำตระกูลมู่อีกเลย ทุกครั้งที่ไปเจอนาง คำสาปก็จะยิ่งกำเริบมากขึ้น เมื่อก่อนฝ่าบาทยังสามารถปกปิดได้ แต่ตอนนี้มันทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่าบาทไม่อาจปกปิดได้แล้วนะพะยะค่ะ”
“เรื่องของข้า จำเป็นต้องเจ้ามายุ่งด้วยอย่างนั้นเหรอ!” ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเย็นยะเยือกจนไร้ซึ่งอุณหภูมิ
“ถึงแม้ว่าทำเพื่อท่านผู้นำตระกูลมู่ แต่ในขณะที่คำสาปในร่างของฝ่าบาทยังไม่ได้แก้…”
“พอได้แล้ว!” จิ่วเยี่ยตะคอกอย่างเย็นชา
“ส่งคนไปตามหาที่อยู่ของเผ่าสัตว์เทพโบราณทั้งสามเผ่านั่นให้เจอ ต่อให้ข้าต้องเหยียบทำลายเผ่าสัตว์เทพโบราณทั้งสาม ข้าก็จะต้องรีบหาคัมภีร์หมื่นคำสาปนั่นให้เจอ และจะต้องหาวิธีแก้คำสาปให้จงได้!”
คำสาปที่คนผู้นั้นมอบให้กับเขา โหดเหี้ยมกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก
แต่หากคิดจะให้คนอย่างหวงจิ่วเยี่ยยอมรับชะตากรรมนั้นแล้วล่ะก็ ฝันไปเถอะ!
เหยียบทำลายเผ่าสัตว์เทพโบราณทั้งสาม วาจาบ้าคลั่งเช่นนี้ มีเพียงแค่ฝ่าบาทของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถกล่าวออกมาได้
เผ่าสัตว์เทพโบราณทั้งสามเผ่านั้นลึกลับมาโดยตลอด อีกอย่างพวกมันมีสายเลือดของสัตว์เทพ พลังความแข็งแกร่งนั้นไม่ธรรมดา ใช่ว่าอยากจะทำลายแล้วจะทำลายไปได้
“พะยะค่ะ!” ทว่า คำสั่งของผู้เป็นนายนั้นไม่อาจขัดขืนได้
……
หนึ่งวันผ่านไป สีหน้าของมู่เฉียนซีดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว แต่เมื่อนึกถึงร่างกายของจิ่วเยี่ยที่ผิดปกติไปนั้น ใจของมู่เฉียนซีกลับเป็นกังวลไม่น้อยเลย
ยิ่งกังวลก็ยิ่งกระวนกระวายใจ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรผลีผลามได้!
“เย่เฉิน!” มู่เฉียนซีกล่าว
“นายท่าน!” เย่เฉินนั้นได้มารออยู่นานแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้ามีความคิดเช่นไร?”
เย่เฉินกล่าว “พวกเราคิดจะปักหลักอยู่ที่เมืองเหยียน ก็จำเป็นต้องกำจัดภัยคุกคามอันดับหนึ่งอย่างตระกูลเหลยก่อน”
มู่เฉียนซีกล่าว “แล้วตัวของเจ้าเองล่ะ?”
“ตัวของข้า….” เย่เฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพร สามารถทำยาพิษ ดูอาการเจ็บป่วยได้ แต่เป็นเพราะร่างกายที่ไร้ซึ่งพลังวิญญาณ ทำให้เจ้าไม่สามารถเป็นนักปรุงยาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นผู้บำเพ็ญตนไม่ได้อีก เจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองเหรอ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“นับตังแต่วันนั้นที่ตระกูลเย่ของข้าถูกลอบโจมตี ข้าในวัยเด็กก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่เพราะมียาช่วยชีวิตที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเย่ ข้าก็คงจะกลายเป็นผุยผงไปแล้ว ถึงแม้จะมีชีวิตรอดมาได้ แต่ร่างกายของข้ากลับอ่อนแอมาก ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ นอกเสียจาก…. นอกเสียจากนายท่านวิญญาณนิรันดร์จะเป็นคนลงมือเอง มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ผู้ใดช่วยข้าได้”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าทุ่มสุดตัวเพื่อวางเดิมพันไว้กับข้า ให้ข้าปกป้องความรักในชีวิตนี้ของเจ้า แต่เหตุใดถึงไม่เชื่อในความสามารถของข้าถึงเพียงนี้ล่ะ?”
ดวงตาของเย่เฉินเบิกกว้างมองมู่เฉียนซีด้วยความตกใจ “นายท่าน……นี่นายท่านหมายความว่า……”
เขามีแผนการในใจ มีความคิดที่โหดเหี้ยมพอ แต่ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่เช่นนี้ มีแค่สิ่งเหล่านี้มันยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีพลังความแข็งแกร่งถึงจะปกป้องคนที่รักได้
แต่เมื่อตระกูลเย่ของเขาถูกทำลาย เขาก็ไร้วาสนาที่จะได้เป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าสิบกว่าปีต่อมาจะมีคนบอกกับเขาว่า นางสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ เช่นนี้จะไม่ให้เขาตกตะลึงได้อย่างไรกันเล่า