“ท่านผู้เฒ่ากับเจ้าตำหนักเป่ยหานล้วนต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง” กู้ไป๋อีกล่าวออกมาอย่างไร้ความรู้สึก
“ต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบหน้าที่ตน?”
กู้ไป๋อีกล่าว “ไม่พูดถึงเขาแล้ว พูดถึงแคว้นเทพฟ้านอินเถอะ! ผู้อัจฉริยะที่น่ากลัวที่สุดของแคว้นเทพฟ้านอินก็คือพระอินรั่วเฉิน นั่นคือผู้ที่น่ากลัวเป็นอย่างมากผู้หนึ่ง หากสามารถเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาซึ่ง ๆ หน้าได้ก็จงเลี่ยงเสีย”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “พระแห่งแคว้นเทพฟ้านอิน มิใช่ว่าพวกเขามีจิตใจที่ศักดิ์สิทธิ์และความเมตตาที่บริสุทธิ์หรอกเหรอ เมื่อถูกกล่าวออกมาจากปากของเจ้ามันกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้ เสี่ยวไป๋ เจ้าคงมิได้อิจฉาที่เขาทั้งหนุ่มแน่นและแข็งแกร่งหรอกกระมัง?”
อย่างน้อย ๆ เรื่องที่นางรู้มาจากแดนใต้นั้นก็มีเพียงเท่านี้!
กู้ไป๋อีกล่าว “จิตใจที่ศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนั้นข้าเองก็คิดเช่นนี้ แต่นับตั้งแต่ตอนที่ข้าได้พบเจ้ากับเขาไปครั้งหนึ่งก็พบว่าพลังความสามารถของเขานั้นลึกล้ำเสียจนไม่อาจหยั่งถึงได้ เป็นสิ่งหนึ่งที่อันตรายยิ่งนัก”
มู่เฉียนซีถอนหายใจแล้วกล่าว “ดูเหมือนโลกทั้งสี่ทิศนี้ จะมีผู้ที่ไม่ธรรมดาอยู่มิน้อย”
กู้ไป๋อีมองที่นางแล้วกล่าว “เจ้าเองก็ไม่ธรรมดา บางทีอาจใช้เวลาเพียงไม่นานนักโลกทั้งสี่ทิศก็จะเป็นลานเวทีของเจ้า แต่ทว่าอย่างไรเสียจงอย่าได้ไปพบเข้ากับอินรั่วเฉิน เขานั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเฟิงอวิ๋นซิว เพียงแต่ว่าเขาได้ลวงหลอกผู้คนไปทั้งใต้หล้าก็เท่านั้น”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้เสี่ยวไป๋จะเล่าเรื่องให้ข้าฟังมากมายเช่นนี้”
“ข้าเองก็ผ่านมาเช่นนี้ การจะกลายเป็นยอดผู้แข็งแกร่งแห่งโลกทั้งสี่ทิศนั้น เจ้าจำจะต้องต่อสู้บนเส้นทางที่ยากลำบาก”
“นั่นมันแน่นอน”
“เจ้าจะกลัวหรือไม่?” เขาถามขึ้น
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วกล่าว “กลัว? เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ?”
“ก็จริง เจ้านั้นเป็นเด็กที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินผู้หนึ่ง”
ถ้าหากนางรู้จักความกลัว ก็คงไม่กล้าที่จะกระทำต่อเขาเช่นนี้
“เจ้าเป็นผู้ติดตามที่อยู่ไม่สุขเลยจริง ๆ” มู่เฉียนซีกล่าวหยอกล้อขึ้น
……
เย่เฉินเจ็บปวดมาแล้วสามวันสามคืน แม้แต่ที่จวนเจ้าเมืองเองก็ยังตกใจ
สาวใช้ของจวนเจ้าเมืองแอบทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ มาจนถึงจวนตระกูลเย่แล้วก็ได้พบเข้ากับมู่เฉียนซีพอดี
นางกล่าวด้วยเสียงต่ำ “เป็นหญิงสาวที่งดงามนัก เจ้า…เจ้าก็คือแม่นางมู่ที่คุณหนูของพวกเรากล่าวถึงใช่หรือไม่?”
มู่เฉียนซีพยักหน้ารับ “เจ้าเป็นสาวใช้ของเหยียนเซี่ยฉีหรือ?”
นางรีบพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่แล้ว! ได้ยินมาว่าคุณชายเย่ป่วย คุณหนูใหญ่ของพวกเรากังวลใจแทบแย่ อีกทั้งท่านเจ้าเมืองของพวกเราไม่ยอมปล่อยตัวนางออกมา นางจึงได้แต่ร้อนรนใจ ดังนั้นแล้วข้าจึงได้ลอบออกมา…..”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย “ข้าคิดว่าข้าจะต้องไปเยี่ยมเยือนท่านเจ้าเมืองให้ดีเสียหน่อย เจ้านำทางไปได้หรือไม่?”
สาวใช้ตะลึงงัน “ท่านเจ้าเมือง….”
“ตกลง!”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ เสี่ยวไป๋!”
แน่นอนว่าเมื่อมู่เฉียนซีที่เป็นผู้ไร้ยศไร้นามผู้หนึ่งมาถึงประตูจวนเจ้าเมือง ก็ได้ถูกกันตัวเอาไว้
มู่เฉียนซีโบกมือเรียกแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้าไปจัดการ!”
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณหนูใหญ่ของข้าต้องการที่จะพบเจ้าเมืองของพวกเจ้า!”
บุรุษตรงหน้าผู้นี้สูงส่งเกินบรรยาย ทั้งตัวของเขามีความเยือกเย็นประหนึ่งนำแข็งที่แผ่ออกมา ไฉนเลยจะทำให้ผู้อื่นกล้ามาดูแคลน?
ทหารยามที่เฝ้าประตูจวนอยู่นั้นได้ถูกกลิ่นอายของเขาทำให้ตกใจกลัวเสียแล้ว เขารีบพยักหน้าพร้อมกล่าว “ขอรับ ข้าจะไปรายงานท่านเจ้าเมืองในทันใด”
ด้วยรัศมีที่มีอำนาจเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นถึงขั้นเจ้าเมืองก็มิอาจจะเทียบได้ คนผู้นี้มิใช่คนธรรมดาทั่วไป
มู่เฉียนซียิ้มและกล่าว “ดูเหมือนว่าการพาเจ้ามาด้วยสามารถทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวได้ยิ่งนัก”
“ทั่วโลกทั้งสี่ทิศก็มีเพียงแต่เจ้าที่มีความกล้านี้”
เมื่อผู้น้อยมารายงาน ท่านเจ้าเมืองก็นึกว่ามีคนใหญ่คนโตมาเสียแล้ว จึงได้รีบรุดไปดั่งไฟรน และได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่ใส่ชุดสาวขาวราวหิมะทั้งตัว
รัศมีนั้นช่างเหนือชั้น ถึงแม้ว่าเขาได้เจอเจ้าเมืองระดับสำนักนิกายระดับสองมาแล้ว นั่นก็ยังมิอาจเทียบเท่าได้กับเขา
ด้านข้างของเขานั้นมีหญิงสาวที่ดูน่าประทับใจผู้หนึ่งยืนอยู่
“เป็นเจ้า เด็กสาวผู้นั้นที่ช่วยชีวิตฉีเอ๋อร์เอาไว้” เจ้าเมืองกล่าวออกมา
“ข้าไม่นึกเลยว่าท่านเจ้าเมืองจะจำผู้น้อยเช่นข้าได้” มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างเบา ๆ
“คราที่แล้วข้าร้อนรนใจไปชั่วขณะ มิได้สืบสาวราวเรื่องความเป็นมาให้ชัดเจน ดังนั้นแล้วจึงได้เสียมารยาทไปอยู่บ้าง แม่นางมู่เชิญด้านใน” เจ้าเมืองเหยียนต้อนรับอย่างอบอุ่น
และเขาก็พบว่าชายผู้ที่มีรัศมีไม่ธรรมดาผู้นี้กลับยืนอยู่ด้านข้างของเด็กสาวผู้นั้น ราวกับว่าล้วนฟังคำสั่งทุกสิ่งอย่างของนางก็มิปาน
ให้บุรุษเช่นนี้มาติดตามนาง สาวน้อยผู้นี้มีสถานะตัวตนใดกันแน่?
“ให้คุณหนูใหญ่ออกมา” เจ้าเมืองเหยียนกล่าวขึ้น
ทันทีที่เหยียนเซี่ยฉีมองเห็นมู่เฉียนซี นางก็รีบวิ่งเข้ามาตรงหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวขึ้น “แม่นางมู่ พี่ชายเย่….”
ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวได้จบก็ได้ถูกเจ้าเมืองเหยียนถลึงตาใส่ไปคราหนึ่งจึงไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาอีก
มู่เฉียนซีกล่าว “เขาไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลใจ!”
ใบหน้าของฉีเอ๋อร์ฉายแววแห่งความยินดีออกมา นางกล่าว “ประเสริฐนัก”
เจ้าเมืองเหยียนกล่าวถามขึ้น “แม่นางมู่มายังจวนเจ้าเมืองในวันนี้มีกิจอันใด?”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย “ประการแรกก็เพื่อให้คุณหนูเหยียนสบายใจ ประการที่สองนั้น….”
มู่เฉียนซีเงยหน้ามองเจ้าเมืองเหยียนแล้วกล่าว “เรื่องความเคลื่อนไหวของเย่เฉินและคุณหนูใหญ่ในครั้งก่อนนั้น เป็นใครกันแน่ที่ปล่อยให้ข่าวรั่วออกไป เจ้าเมืองเหยียนสืบหาแน่ชัดแล้วหรือไม่?”
เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “มิใช่คนจวนเจ้าเมืองของข้าเป็นแน่ เกรงว่าคงจะเป็นเจ้าหนูแห่งตระกูลเย่นั่นที่ไม่ได้ตัวบุตรสาวข้าเลยใช้แผนสกปรกเช่นนั้น คงคิด….”
“พี่เย่ไม่ทำเช่นนั้นหรอก ท่านพ่ออย่าได้กล่าวเหลวไหล” เหยียนเซี่ยฉีร้อนรนเข้าแล้ว
“ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองจะมีมุมมองในด้านที่ไม่ดีกับเย่เฉินมากนัก” คิ้วของมู่เฉียนซีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“ผู้ที่ไม่สามารถมอบความสุขให้แก่ฉีเอ๋อร์ได้ แต่ยังกลับพัวพันฉีเอ๋อร์ ทำให้ฉีเอ๋อร์เสียเวลา เจ้าคิดว่าควรที่จะมองดีกับเขาหรือ?” คิ้วของเจ้าเมืองขมวดชนกันจนเป็นสามเส้นดั่งตัวอักษรจีนที่มีความหมายว่าแม่น้ำ (川)
“หรือท่านคิดว่าจะให้คุณหนูใหญ่ไปเป็นภรรยาน้อยของผู้อื่น แล้วเช่นนั้นนางจะมีความสุขหรือ? ก็แค่สำนักนิกายระดับสองที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก ท่านคิดว่าจะสามารถปกป้องบุตรสาวของท่านได้รึ?”
ถึงแม้ว่าแดนตะวันตกจะกว้างใหญ่กว่าแดนใต้ แต่เกรงว่าความแข็งแกร่งของเมืองแห่งความโกลาหลนั้นจะยังมิอาจเทียบได้กับหุบเขาหมอเทวดา
ก็แค่สำนักนิกายระดับสองที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก?
เจ้าเมืองเหยียนแสยะมุมปากเล็กน้อย สำหรับพวกเขาที่เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งแล้ว สำนักนิกายระดับสองเป็นสิ่งที่สามารถทำลายสิ่งอื่นได้อย่างตามใจชอบ
แต่เมื่อมันมาออกจากปากของนางก็ราวกับว่ามันไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อยที่จะพูดถึงมัน
“นึกไม่ถึงเลยว่าเย่เฉินจะได้บอกเรื่องนี้แก่เจ้าแล้ว เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? เมืองแห่งความโกลาหลเป็นกลุ่มกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในที่ทุรกันดารนี่แล้ว และก็เป็นทางเลือกเดียวของข้าด้วย”
“แล้วถ้าหากยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่งเล่า?” มู่เฉียนซีถามสวนขึ้นทันควัน
“เป็นไปได้อย่างไร?” เจ้าเมืองกล่าวด้วยความตกตะลึง
“นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป บางทีเย่เฉินอาจจะสามารถฝึกยุทธ์ได้”
“อะไรนะ? พี่เย่สามารถที่จะฝึกบำเพ็ญได้แล้ว จริงหรือ?” เหยียนเซี่ยฉีตื่นเต้นเป็นที่สุด
เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “เขามาเริ่มฝึกบำเพ็ญเอาในตอนนี้ ถึงแม้ต่อให้มีคุณสมบัติที่ดีมากไปกว่านี้ หากไม่ใช่เวลาถึงสิบปีก็ไม่อาจที่จะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้ ถึงแม้ว่าเขาจะได้กลายเป็นผู้นั้นเพียงคนเดียว แล้วตระกูลเย่ที่ตกต่ำนั่นจะมีประโยชน์อันใด?”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เจ้าเมืองเหยียน ดูเหมือนว่าท่านจะตัดสินเร็วเกินไปนัก”
“เร็วเกินไป?”
“ท่านกล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่?” สายตาของมู่เฉียนซีได้ฉายแววสว่างออกมา
“เดิมพันอะไร?”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ข้าขอเดิมพันว่า ภายในเวลาหนึ่งปี ความแข็งแกร่งที่เย่เฉินมีนั้นจะล้ำหน้าไปกว่าความแข็งแกร่งของเมืองแห่งความโกลาหล”
เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “นั่นเป็นไปไม่ได้ นอกจากว่าเบื้องหลังของเขาจะมีสำนักนิกายระดับสามคอยให้การสนับสนุน มิเช่นนั้นแล้วคงมิอาจที่จะสร้างสำนักนิกายระดับสองที่สามารถมาตีเสมอกับเมืองแห่งความโกลาหลได้”
แม้แต่กู้ไป๋อีเองก็ยังสงสัยว่าเด็กสาวผู้นี้จะกล่าวเกินจริงไปหน่อยหรือไม่