“เช่นนั้นแล้วท่านเจ้าเมือง……กล้าหรือว่าไม่กล้ากันแน่?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
“ชนะแล้วอย่างไรเล่า? แพ้แล้วอย่างไรเล่า?”
“ถ้าหากว่าท่านเจ้าเมืองชนะ จะได้ยาเม็ดชั้นปฐพีระดับที่เก้าจำนวนสิบขวดและยาเม็ดชั้นสวรรค์อีกหนึ่งขวด ถ้าหากว่าท่านเจ้าเมืองแพ้ ต่อจากนี้ไปต้องห้ามแทรกแซงเรื่องของเย่เฉินกับคุณหนูเหยียน เป็นเช่นไร?”
เจ้าเมืองเหยียนสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปคำหนึ่ง “ยาชั้นปฐพีสิบขวด แล้วก็ชั้นสวรรค์….”
สาวน้อยผู้นี้คงมิได้ปล้นคลังโอสถของกองกำลังสำนักนิกายระดับสามมาหรอกกระมัง! ยาเม็ดขั้นสูงเช่นนั้น พอลงเดิมพันนางกลับลงไปทีเดียวถึงสิบขวด
เมื่อมู่เฉียนซีสะบัดมือ นางก็ได้หยิบขวดยาออกมาขวดหนึ่ง
ถึงแม้ว่าระดับในการปรุงยาของนางจะยังไม่ถึงขั้นที่สามารถสกัดยาระดับพิเศษเช่นนี้ออกมาได้ แต่ทว่ามีจวินโม่ซีอยู่ ยาขั้นสูงจำนวนเพียงน้อยนิดเช่นนี้สามารถทำออกมาได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้นแล้ว นางไม่จำเป็นที่จะต้องเสียยาไปในการเดิมพันจริง ๆ
ทันทีที่เจ้าเมืองเหยียนได้เห็นยาเม็ดก็ยิ่งตะลึงงันมากไปกว่าเดิม!
“มีจริง ๆ……”
มู่เฉียนซีเก็บเอายากลับมาแล้วกล่าว “แล้วก็ยังมีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือภายในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านเจ้าเมืองต้องไม่กีดกันมิให้พวกเขาทั้งสองพบกัน”
“นี่เจ้า…..” เจ้าเมืองเหยียนตะลึงงัน
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเมืองเหยียน ท่านเพียงแต่ตอบข้ามาว่าตกลงหรือไม่ก็พอแล้ว”
ด้วยยาเม็ดที่ระดับสูงเช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งพื้นที่ทุรกันดารนั้นยังไม่มีจำนวนมากมายเช่นนี้ ภายใต้การหลอกล่ออันใหญ่หลวงเช่นนี้ เจ้าเมืองเหยียนจึงเกิดความสนใจ
อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็มอบยาเม็ดให้เขาอย่างให้เปล่า เขาปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ
และเมื่อมองไปยังบุตรสาวที่ไม่ได้เรื่องของตนที่มีสีหน้าอย่างรอคอย ไม่รู้ว่าจะสามารถขังนางเอาไว้ได้อีกนานเท่าไร เช่นนั้นไม่สู้ตอบตกลงในการเดิมพันครั้งนี้ไปเลยเสียและสร้างก้าวเดินให้แก่ตนเองเสียหน่อย
“จำต้องยอมรับเลยว่าข้านั้นได้ถูกหลอกล่อเสียแล้ว เช่นนั้นแล้วข้าขอรับคำท้าเดิมพันนี้ของเจ้าเอาไว้” เจ้าเมืองเหยียนกล่าว
มู่เฉียนซีมอบยาขวดนั้นให้แก่เจ้าเมืองเหยียนแล้วกล่าว “นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า และไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของเดิมพัน”
เจ้าเมืองเหยียนหยิบขวดยานั้นไปแล้วตะลึงค้าง น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันกลับมีราคาเท่าดั่งเมือง เด็กสาวผู้นี้ออกมืออย่างกระเป๋าหนักเสียจนน่ากลัว
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ในเมื่อได้พูดคุยกันเสร็จแล้ว เช่นนั้นหากคราวหน้ามีโอกาสข้าจะมาพูดคุยกับท่านเจ้าเมืองอีก”
มู่เฉียนซีกำลังจะจากไปพร้อมกับกู้ไป๋อี นางกล่าวขึ้นกับเหยียนเซี่ยฉี “คุณหนูเหยียน วันนี้เป็นหนึ่งวันที่ยากลำบากของเย่เฉิน ถ้าหากว่าได้เห็นคุณหนูเหยียนปรากฏตัวขึ้น เขาจะต้องดีใจเป็นอย่างมากแน่”
“ข้า…ข้าจะไป!” เหยียนเซี่ยฉีไม่กล้าหันไปมองใบหน้าของเจ้าเมืองที่บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีดำที่มืดเสียยิ่งกว่าก้นกระทะ
เจ้าเมืองเหยียนกล่าวขึ้น “ช่างเป็นผู้หญิงที่อกตัญญูเสียจริง!”
……
“พี่เย่!” หลังจากเข้าไปในจวนตระกูลเย่ เหยียนเซี่ยฉีที่ได้ยินเสียงเย่เฉินร้องคำรามออกมานั้นก็รีบเดินเข้าไปอย่างร้อนรนประหนึ่งดั่งไฟเผาใจ
มุมปากของมู่เฉียนซียกตัวขึ้นเล็กน้อย “เย่เฉิน ข้าได้นำตัวสาวงามมาส่งให้เจ้าแล้ว หากเจ้าไม่สามารถอดทนผ่านมันไปได้ก็ช่างเถอะ ข้าก็จะหลอมเจ้าเป็นโอสถมนุษย์เสีย”
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ให้หญิงสาวผู้หนึ่งมาขวางทาง คุณหนูใหญ่ไม่กลัวว่านางจะทำอะไรมั่วซั่วขึ้นมาหรือ?”
มู่เฉียนซีมองไปยังกู้ไป๋อีแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ สิ่งที่เจ้าเข้าใจนั้นมันผิดนะ! ฉีเอ๋อร์ไม่ใช่ความวุ่นวายของเย่เฉิน แต่นางสามารถที่จะมอบพลังทั้งหมดให้แก่เขาได้ และทำให้เขาเป็นผู้ที่ต่อสู้ไปได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก”
กู้ไป๋อีไม่เห็นด้วย นางเป็นเพียงเด็กสาวที่ชอบร้องไห้ พรสวรรค์ของนางนั้นนับว่าพอใช้ได้ นางเป็นผู้ที่คนที่จวนต่างโปรดปรานประคบประหงม จะสามารถช่วยอะไรได้?
หากมิช่วยให้ยุ่งวุ่นวายไปกว่าเดิมก็ถือว่าดีแล้ว!
มู่เฉียนซียิ้มอย่างจนปัญญา นางไม่อยากที่จะเปลืองน้ำลายกับผู้ที่ไร้ความรู้สึกเช่นเสี่ยวไป๋
นางโบกมือแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ พวกเราอย่าได้อยู่ตรงนี้เป็นแสงไฟส่องให้เจิดจ้าเลย กลับไปพักผ่อนเสียเถอะ!”
เป็นดั่งที่มู่เฉียนซีคาดเอาไว้ ต่อให้ยากลำบากมากแค่ไหน แต่เมื่อเย่เฉินได้เห็นเหยียนเซี่ยฉีนั้น เขาก็กลับเต็มไปด้วยพลังที่เหลือล้น
และในที่สุดเขาก็สามารถผ่านมันไปได้ เขาได้กลายเป็นจอมภูต มิเพียงแต่เป็นจอมภูตธรรมดาทั่วไปเท่านั้น หากแต่เป็นจอมภูตที่มีพลังธาตุไฟเสียด้วย
มันช่างเหมาะสมกับการเป็นนักปรุงยาอย่างที่สุด!
จอมภูต ปรมาจารย์ภูต ราชาแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง!
เย่เฉินที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญมาเลยแม้แต่วันเดียว เมื่อแรกเริ่มก็กลับกลายเป็นราชาแห่งภูตขั้นที่หนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้เรื่องหนึ่ง
มู่เฉียนซีเองก็ได้เห็นสีหน้าที่มีความตกตะลึงจากกู้ไป๋อีผู้ที่ปกติแล้วไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าสักเท่าไร มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ สงสัยเป็นอย่างมากใช่หรือไม่?
ที่จริงแล้วง่ายดายยิ่งนัก ข้านั้นต้องการที่จะเป็นนักปรุงยาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ปัญหาเล็ก ๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าข้าสามารถจัดการกับมันได้ ตั้งแต่เล็กมาเย่เฉินได้กินสมุนไพรวิญญาณไปไม่น้อยเพื่อบำรุงร่างกาย ได้เลื่อนระดับขึ้นไปเป็นราชาแห่งภูตนั้นก็มิใช่เรื่องแปลกอะไรมากนัก”
ไม่แปลกอะไรมากนัก? ถ้าหากว่านักปรุงยาแห่งตำหนักเป่ยหานรู้เข้าล่ะก็ ล้วนแต่จะตะลึงจนอ้าปากค้าง! นี่ยังไม่แปลกอีก? กู้ไป๋อีแอบกล่าวกับตนเอง
“เย่เฉินคารวะนายท่าน!” เย่เฉินที่รู้สึกตื่นเต้นคุกเข่าลงต่อหน้ามู่เฉียนซี ในวันนี้เขาได้เคารพนับถือมู่เฉียนซีอย่างที่สุดแล้ว
นอกจากหม้อวิญญาณนิรันดร์แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนักปรุงยาที่เก่งกาจถึงเพียงนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ต้องกล่าวคำพูดอื่นแล้ว จงใช้การกระทำของเจ้ามาแสดงความภักดีของเจ้า ข้าต้องการ…ที่ทุรกันดารแห่งนี้”
ทุ่งที่ทุรกันดารแห่งนี้มิใช่สถานที่ที่แข็งแกร่งที่สุดในภาพรวมของแดนตะวันออกอย่างแน่นอน และมันเป็นที่ที่ทุรกันดารที่สุดอย่างแท้จริง
แต่มู่เฉียนซีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่าต้องการพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้ ราวกับผู้ที่ขายซาลาเปาอยู่ข้างถนนก็มิปาน ช่างยากที่จะจินตนาการได้เสียจริง
เย่เฉินกล่าว “ขอรับ!”
เย่เฉินผู้นี้ก็คือแมงป่องมีพิษตัวหนึ่ง เขานั้นโหดเหี้ยมและใจดำกว่าเยวี่ยเจ๋อกับโม่จิ่น
ดังนั้นแล้วแค่เพียงนางบอกเขาว่าเป้าหมายคืออะไรก็พอ ส่วนรายละเอียดที่ว่าจะไปทำเช่นไรนั้น เขามีแผนการของตนเอง
ส่วนนางก็ทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่ไม่สนใจกิจการไปได้อย่างสบายใจ ฝึกบำเพ็ญไปอย่างสบายใจก็พอแล้ว
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าคิดที่จะสร้างกองกำลังขึ้นที่พื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้?”
มู่เฉียนซีตอบ “ใช่แล้ว! ทั้งแดนตะวันออก กลุ่มกำลังในพื้นที่อื่นนั้นได้อยู่ไปอย่างมั่นคงแล้ว หากจะไปแงะให้ขยับก็เปลืองแรงยิ่งนัก แต่พื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้กลับเป็นที่ที่ไม่มั่นคงสงบนิ่งที่สุดแห่งหนึ่ง เจ้าไม่คิดว่าหากเริ่มลงมือจากที่นี่จะสะดวกมากหรอกหรือ”
“ทำไมถึงไม่จดจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ?” ในใจของกู้ไป๋อี หากคิดที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งก็จะต้องตั้งใจฝึกบำเพ็ญเท่านั้น อย่าถูกเรื่องอื่นใดมารบกวน
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ข้าก็อยากมาก! อยากที่จะจดจ่อยู่กับการปรุงยา แต่ข้ามีศัตรูที่แข็งแกร่งมากยิ่งนัก ในตอนนี้ญาติที่ข้าสนิทชิดใกล้ที่สุดกลับตกไปอยู่ในกำมือของผู้อื่น เช่นนี้มิให้ในมือของตนเองมีกำลังที่สามารถจะต่อต้านกับพวกนั้นได้แล้วจะไปไหวได้อย่างไร?”
กู้ไป๋อีมองเห็นดวงตาที่ราวกับดวงดาราคู่นั้นส่องประกายเย็นวาบที่น่าหวั่นพรึงออกมา ศัตรูของนางจะเป็นที่ใดกัน?
เขาไม่ได้มองสำนักนิกายระดับสองอยู่ในสายตา ดังนั้นจึงเกรงว่าจะเป็นสำนักนิกายระดับสาม ในตอนนี้อยู่ในแดนตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ของตำหนักตงจี๋ เช่นนั้นก็ควรจะเป็นตำหนักตงจี๋มิใช่ตำหนักเป่ยหาน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ กู้ไป๋อีก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
มู่เฉียนซีมองกู้ไป๋อีอย่างเงียบ ๆ ศัตรูของนางก็คือตำหนักเป่ยหานที่กู่ไป๋อีอยู่
เจ้าหมอนี่รู้จักเพียงแต่การฝึกบำเพ็ญและไม่สนใจในการความขัดแย้งใด ๆ หวังว่าการต่อสู้ในกาลข้างหน้าเขาจะไม่เข้าร่วมด้วยนั่นถึงจะดี
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้าออกไปก่อนเถอะ! ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับเย่เฉินตามลำพังเล็กน้อย”
“ขอรับ!”
หลังจากที่กู้ไป๋อีออกไปแล้ว เย่เฉินก็กล่าวขึ้น “นายท่านต้องการที่จะถามถึงคลังโอสถของตระกูลเย่ใช่ไหม?”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “เจ้าเดาถูกแล้ว ในเมื่อได้จัดการเรื่องของเขาเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าเองก็เลือกที่จะมาภักดีกับข้า เช่นนั้นก็จงบอกตำแหน่งคลังโอสถของตระกูลเย่มาเถิด ข้าต้องการดีงูสวรรค์!”