กู้ไป๋อีชําเลืองมองบาดแผลบนร่างของมู่เฉียนซี “เจ้าแน่ใจนะว่ายังสู้ต่อ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าได้ทายาแล้ว สามารถสู้ต่อไปได้!”
ปัง ปัง!
ร่างสีขาวและสีม่วงทั้งสองร่างปะทะกันอย่างดุเดือด
เย่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังการต่อสู้อันน่าตื่นตะลึงบนตัวของพวกเขา แววตาของเขาร้อนผ่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเขาได้กลายเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจเช่นนี้ ทั่วทั้งโลกสี่ทิศ คงไม่มีผู้ใดที่สามารถแตะต้องคนที่เขาอยากปกป้องได้อย่างแน่นอน
บางทีศัตรูของตระกูลเย่ของเขา เขาก็อาจจะสามารถหามันและเอาชนะได้!
เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้น และหลังจากที่ได้เห็นมู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีต่อสู้กันแล้ว เขาก็ยิ่งอยากที่จะแข็งแกร่ง
ตูม!
จากนั้นมู่เฉียนซีและเย่เฉินก็ผลัดกันต่อสู้กับกู้ไป๋อี เย่เฉินลุกไม่ขึ้นมาตั้งนานแล้ว ส่วนมู่เฉียนซียังกัดฟันอดทนสู้ต่อไป รอจนกว่าถึงขั้นที่แม้แต่กินยาก็ไม่สามารถฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปได้
ท้ายที่สุดก็ได้ถูกกู้ไป๋อีโยนเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน โดยปกติแล้วเด็กสาวผู้นี้ดูไม่ค่อยจะจริงจังต่อเรื่องอะไรก็ตามสักเท่าไร แต่เมื่อพยายามสู้ฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็เหนือชั้นกว่ามากนัก!
มู่เฉียนซีโบกมือกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยมาอีก ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้!”
หากไม่สามารถเอาชนะกู้ไป๋อีที่ไม่มีพลังปราณใด ๆได้ แล้วจะสามารถเอาชนะผู้อาวุโสใหญ่และหัวหน้าตำหนักของตำหนักเป่ยหานเพื่อช่วยอารองออกมาได้อย่างไร?
กู้ไป๋อีพยักหน้า “ได้!”
ชื่นชมสาวน้อยผู้นี้ แม้ว่านางจะไม่อยากเคารพเป็นอาจารย์ แต่เขาก็ยินดีจะสอนนาง
การต่อสู้ในวันที่สองนั้นดีขึ้นมาก อย่างน้อยมู่เฉียนซีก็สามารถผ่านการโจมตีของกู้ไป๋อีได้มากกว่ายี่สิบกระบวนท่า
และในที่สุดเย่เฉินก็ไม่ได้รับถูกพิฆาตไปในกระบวนท่าเดียว เนื่องจากประสบการณ์การต่อสู้ของเขาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับราชาวิญญาณขั้นที่สองในวันที่สาม
การเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ช่างน่าพิสมัยยิ่งนัก!
ทุก ๆ วันมู่เฉียนซีและเย่เฉินต้องถูกทารุณและถูกโจมตีแทบตาย แต่พวกเขายิ่งต่อสู้ก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้น
กู้ไป๋อีกล่าว “เย่เฉิน!”
“หืม!” ตัวตนอันสูงส่งราวกับภูเขาน้ำแข็งที่เคลื่อนไหวได้นี้เป็นครั้งแรกที่เรียกชื่อของเย่เฉิน มันทําให้เย่เฉินรู้สึกปลื้มปีติยินดีจริง ๆ
“ทักษะวิญญาณ!”
“หลังจากนี้เจ้าสามารถฝึกฝนทักษะวิญญาณของเจ้าได้ เจ้าไม่จําเป็นต้องฝึกฝนการต่อสู้จริงอีกต่อไป”
ของล้ำค่าของกู้ไป๋อีถูกสายฟ้าฟาดจนเกลี้ยง แต่หัวสมองของเขากลับไม่ได้ถูกฟาดจนโง่งม
ด้วยสถานะของเขาจึงได้เคยเห็นทักษะวิญญาณมาไม่น้อย เพียงแค่หยิบมันออกมาสักอันหนึ่งก็เพียงพอแล้วสําหรับเย่เฉินในการฝึกฝน
มู่เฉียนซีเองก็มองเช่นกัน ทักษะวิญญาณระดับสูง! สมแล้วที่เป็นของที่ผู้แข็งแกร่งของกองกําลังสำนักนิกายระดับสามนําออกมา
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเอาไปฝึกเถอะ!”
“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณท่านเสี่ยวไป๋”
ท่านเสี่ยวไป๋!
ใบหน้าของกู้ไป๋อีแข็งค้างขึ้นมา เรียกเขาว่าเสี่ยวไป๋ก็แล้ว ยังจะมีคนเรียกเขาว่าท่านเสี่ยวไป๋ที่แปลกประหลาดเช่นนี้อีก
“พรูด! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ท่านเสี่ยวไป๋” มู่เฉียนซีอดหัวเราะไม่ได้
นางยิ้มตาหยีมองกู้ไป๋อีแล้วกล่าวว่า “ท่านเสี่ยวไป๋ น่ารักเกินไปแล้ว!”
ความหนาวเย็นที่น่าหวาดกลัวของกู้ไป๋อีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เย่เฉินเองก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แต่นายท่านของเขากลับยิ้มอย่างไร้หัวใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
“ข้าแซ่กู้!” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างจริงจัง
“ขอบคุณท่านกู้มาก!” หลังจากเย่เฉินกล่าวขอบคุณเสร็จ ก็รีบวิ่งหนีไป เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกท่านกู้ผู้เยือกเย็นคนนี้ฆ่าปิดปาก!
“หัวเราะพอหรือยัง?” กู้ไป๋อีกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
“อื้ม!” มู่เฉียนซีพยักหน้า
“เช่นนั้นก็มาอีก!” ร่างของเขาพุ่งไปและลงมือกับมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีไม่ทันตั้งตัวกับการโจมตีที่รุนแรงนี้ มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้ถือว่าเจ้าแข็งแกร่งแล้วจะคิดว่าตนเองเก่งกาจ ถ้าหากว่าข้าไม่ระงับพลังความสามารถเอาไว้ล่ะก็ ข้าจะรังแกเจ้าอย่างโหดร้ายในทันที!”
“เจ้าคงจะไม่ทําเรื่องไร้สาระเช่นนี้หรอก!” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชา
“……”
“ข้าก็ไม่เชื่อว่า ไม่ใช้พลังวิญญาณแล้วจะเอาชนะเจ้าไม่ได้!”
สู้กันจนถึงในตอนท้าย มู่เฉียนซีถูกฝ่ามือซัดจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง
เย่เฉินจัดการทุกอย่าง มู่เฉียนซีเพียงแค่ฝึกกับกู้ไป๋อีเท่านั้นก็พอแล้ว
แต่ทุกครั้งก็ล้วนแพ้ ไม่มีโอกาสชนะสักนิดเลย มันช่างน่าหดหู่เสียจริง ๆ
เย่เฉินกล่าว “นายท่านร้ายกาจมากแล้ว ต่อให้ข้าใช้พลังวิญญาณข้าก็มิอาจชนะได้ นายท่าน ท่านไม่ได้ใช้พลังวิญญาณเลยแต่กลับสามารถผ่านกระบวนท่ามากมายนี้จากท่านกู้ได้ นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “ยังไม่พอ ข้าต้องชนะ!”
กู้ไป๋อีกล่าวเสียงขรึม “เขาพูดถูก ต่อให้เป็นเฟิงอวิ๋นซิวสะกดพลังวิญญาณทั้งหมดไว้ก็ไม่มีทางเอาชนะข้าได้ เจ้าสามารถทําได้ถึงขั้นนี้ ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว”
“เฟิงอวิ๋นซิวทําไม่ได้ ก็ไม่แน่ว่าข้าจะทําไม่ได้ ทุกคนล้วนไม่ใช้พลังวิญญาณ จุดเริ่มต้นก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉียนซีค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
เย่เฉินตะลึงงัน เฟิงอวิ๋นซิว!
ที่พวกเขากล่าวถึงคงไม่ใช่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของโลกทั้งสี่ทิศ นายน้อยเฟิงอวิ๋นซิวแห่งตําหนักตงจี๋หรอกกระมัง!
กู้ไป๋อีกล่าว “เจ้ามีความมั่นใจในตนเองเช่นนี้ ข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนจบ”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็รอที่จะพ่ายแพ้เสียเถอะ!” มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นกล่าว
“ข้าจะรอ!”
ปัง!
ตึก ตึก!
ภายในเมืองเหยียน มีองครักษ์เกราะดํากลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา
หลังจากเข้ามาในเมืองแล้ว ก็ตรงเข้าไปในจวนเจ้าเมือง
เมื่อเย่เฉินได้รับข่าวนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “ไปสืบมา ว่านั่นเป็นใครกัน?”
“ขอรับ!”
ตระกูลเย่มีเงินทองมากพอที่จะสนับสนุน และเนื่องจากผู้เฒ่าเย่ได้ก้าวข้ามระดับมหาจักรพรรดิไปแล้ว จึงสามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองเหยียนได้ และการสืบข่าวนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย!
ไม่นานก็มีข่าวมาว่า “เป็นรองเจ้าเมืองเหลย การจะเป็นแขกที่จวนเจ้าเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เย่เฉินขมวดคิ้วแน่น “แม้ว่าเมืองเหลยจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองเหยียนของเรา แต่การตั้งใจมาเป็นแขกโดยเฉพาะ ก็เป็นปัญหาเล็กน้อยแล้ว ข้าเกรงว่าวัตถุประสงค์ในการมาของพวกเขาจะไม่บริสุทธิ์ ระวังไว้หน่อย!”
“ขอรับ!”
รองเจ้าเมืองเหลยมาเยี่ยมเยียนและขอให้เหล่าขุมกําลังของเมืองเหยียนเข้าร่วม
เจ้าเมืองเหยียนไม่อยากที่จะทำเช่นนี้ แต่ปรากฏว่าฝ่าตรงข้ามได้โวยวายว่าพวกเขานั้นต้อนรับแขกไม่ดี เจ้าหมอนี่เองก็บรรลุระดับมหาจักรพรรดิแล้ว ล่วงเกินไปคงไม่ดี!
“ถ้าหากว่าเจ้าเมืองเหยียนไม่อยากที่จะเชื้อเชิญ ข้าน้อยจะไปเชิญเองทีละตระกูลก็ได้ คาดว่าก็คงจะไม่มีผู้ใดปฏิเสธ แต่ทว่าจะต้องยืมจวนเจ้าเมืองใช้เป็นสถานที่” รองเจ้าเมืองเหลยที่นามว่าเหลยอ้าวกล่าว
เจ้าเมืองเหยียนขมวดคิ้วเข้าหากัน “เช่นนั้นก็มิจำเป็นต้องให้รองเจ้าเมืองเหลยไปเชื้อเชิญเป็นพิเศษแล้ว ข้าจะประกาศให้พรุ่งนี้ พวกเขา……”
“พรุ่งนี้มันช้าเกินไป! ข้าไม่อยากเสียเวลามากเกินไป แค่คืนนี้!” ยังไม่ทันที่เจ้าเมืองเหยียนจะกล่าวจบ รองเจ้าเมืองเหลยก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“……”
เมื่อจดหมายเชิญถูกส่งมา สิ่งที่เกิดขึ้นในจวนเจ้าเมืองก็ถูกรายงานไปยังหูของเย่เฉินทุกคำ
“เมืองเหลยนี่กำลังเจ้ากี้เจ้าการเสียเอง เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาต้องการที่จะตีเมืองเหยียน”
เจ้าเมืองเหยียนเป็นพ่อตาของเขา เขาคงไม่นั่งเฉย ๆ หรอก!
เย่เฉินกําลังจะไปปรึกษากับมู่เฉียนซี แต่พบว่ามู่เฉียนซียังคงฝึกซ้อมกับกู้ไป๋อีอยู่
มู่เฉียนซีจ้องมองอย่างเย็นชา แต่กู้ไป๋อียังคงเป็นเหมือนราวกับภูเขาหิมะที่ไม่เคยละลายมานับหมื่นปี ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างสุดกําลัง
ความเร็วของเขาทําให้เขาตาพร่ามัว ในที่สุดนิ้วมือของมู่เฉียนซีก็ได้วางลงบนขมับของกู้ไป๋อี
มู่เฉียนซียิ้ม “ข้าชนะแล้ว!”
กู้ไป๋อีไปตบข้างหลังนางเบา ๆ “คุณหนูใหญ่ ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าเจ้าชนะอยู่อีกหรือ?”