ตอนนี้มู่เฉียนซีกำลังคิดหาวิธีแก้ไขตามบันทึกที่แตกสลายในมรดก
นิรันดร์ที่หลับใหลเหมือนดั่งหมูที่ตายแล้วนางจึงไม่สามารถพึ่งพามันได้ มู่เฉียนซีอันเชิญหม้อเทพชิงมู่ออกมาและกล่าวว่า “ชิงมู่ พวกเราทั้งสองมาร่วมมือกันเถอะ!”
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง อย่าให้ใครมาเข้าใกล้ข้าได้!” มู่เฉียนซีกล่าว
กู้ไป๋อีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มู่เฉียนซีมาโดยตลอด เมื่อเห็นนางหยิบหม้อยาออกมาก็ตะลึงงัน “เจ้าจะหลอมยาหรือ?”
จะมีนักปรุงยาคนไหนที่ปรุงยาระหว่างการต่อสู้ของทั้งสองเมือง!
มู่เฉียนซีกล่าว “อืม! หากยังไม่พบสิ่งที่สามารถทำลายและควบคุมสัตว์วิญญาณพิษเหล่านี้ได้ เกรงว่าคนที่แพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้คงจะเป็นพวกเรา ดังนั้นตอนนี้เราต้องหาวิธีที่จะจัดการกับพวกมัน?”
กู้ไป๋อีกล่าว “มันเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า พวกเราถอยกลับไปแล้วค่อยคิดหาวิธีดีไหม?”
สถานการณ์ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ แต่การล่าถอยก็ไม่ใช่เรื่องยาก
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าอยากจะพ่ายแพ้ศึกแล้วหนีไปงั้นรึ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าขายหน้าเกินไปหน่อยหรือ?”
“ปรุงยาในสนามรบ คุณหนูใหญ่บ้าไปแล้ว”
มู่เฉียนซีหัวเราะ “เจ้าก็อย่าเอะอะโวยวายไปนักเลย นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณหนูใหญ่ของเจ้าทําเรื่องนี้”
เมื่อไฟติด มู่เฉียนซีก็เริ่มปรุงยาแล้ว
เมื่อเห็นการกระทำของมู่เฉียนซี เย่เฉินก็ตกใจเช่นกัน “นายท่านจะปรุงยา ในระหว่างการต่อสู้ของสองเมือง ปรุงยา!”
เขาเกิดในสามตระกูลโอสถใหญ่ แต่ไม่เคยได้ยินว่าบรรพบุรุษของพวกเขาทําเรื่องบ้า ๆ แบบนี้มาก่อน แต่คุณหนูใหญ่เขา…
เจ้าเมืองเหลยเองก็ตกใจเช่นกันและกล่าวว่า “สาวน้อยนั่นกําลังทําอะไร? จะปรุงยารึ? จะมาปรุงยาที่นี่? นางคิดว่าเมืองเหลยเป็นห้องปรุงยาของนางรึ?”
“ข้างกายสาวน้อยนางนั้นมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ พวกเราคงรับมือไม่ไหว พวกเราไปจัดการพวกเขาก่อนเถอะ! เมื่อถึงเวลาสาวน้อยผู้นั้นยังไม่ทันได้ปรุงยาออกมา พวกคนจากเมืองเหยียนเหล่านี้ก็คงถูกพวกเราฆ่าตายจนหมดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!” คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าเมืองเหลยกล่าวพลางหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง
“พูดได้ดี ฆ่าพวกมันให้หมด!” เจ้าเมืองเหลยคํารามอย่างเกรี้ยวกราด
เสี่ยวหงและอู๋ตี้ปกป้องมู่เฉียนซี ทำให้ไม่ง่ายที่จะจัดการกับคนอื่น ๆ จึงทําให้ความกดดันของเย่เฉินและคนอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการล้อมของยอดฝีมือและสัตว์วิญญาณในเมืองเหลย พวกเขาก็ยิ่งยากลําบากมากขึ้น
“ท่านผู้นําตระกูลเย่ พวกเราทนไม่ไหวแล้ว จะถอยหรือไม่?”
“ใช่! พวกเราถอยกันเถอะ! ไม่อย่างนั้นนั่นจะเป็นหนทางไปสู่ความตาย!”
“……”
“สู้! อดทนไว้!” เย่เฉินกล่าวด้วยพลังอันทรงพลัง
นายท่านกําลังกลั่นยาอยู่ เช่นนั้นจะต้องมีวิธีจัดการแน่ พวกเขาจะถอยไปตอนนี้ได้อย่างไรกัน?
“สู้!” เย่เฉินเลือกที่จะสู้อย่างไม่ลังเล พวกเขาจะไม่ถอยกลับ
“ล้มเหลว!”
“ล้มเหลว!”
“ไม่ได้!”
“……”
กู้ไป๋อีเห็นมู่เฉียนซีที่กำลังปรุงยานั้นราวกับเมฆและสายน้ำที่ไหลผ่านอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็พึมพําซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะส่ายหัวไปมา
แม้ว่านางจะล้มเหลว แต่นางก็ไม่เคยยอมแพ้ นางทุ่มเทอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากนางไม่บรรลุเป้าหมาย สาบานว่าจะไม่เลิกรา!
ในตอนนี้เอง ก็ได้มีลูกธนูพุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีที่กำลังโดดเด่นอยู่ในสนามรบนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนคิดจะฉวยโอกาสฆ่า
กระบี่เฉียนหานของกู้ไป๋อีถูกชักออกจากฝัก กวัดแกว่งกระบี่ผ่านดวงจันทร์อันหนาวเหน็บและตัดลูกธนูดอกนั้นออกอย่างดุดัน
แววตาอันเฉียบแหลมและเย็นชาของกู้ไป๋อีกลอกไปมา กระบี่อีกเล่มหนึ่งตวัดผ่านอากาศไปเป็นเส้นโค้งใหญ่และพุ่งไปยังมุมของลูกธนูนั่น
บึ้ม!
กระบี่นั้นฟาดฟันลงไปจนเกิดเป็นร่องลึกบนพื้น!
“อ๊า!” เสียงกรีดร้องดังขึ้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระบี่อันรุนแรงนี้ เขาไม่อาจหลบได้ เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นและได้สิ้นชีวิตลงในยมโลก
พวกเขามองไปที่ชายชุดขาวที่เย็นชาผู้นั้นด้วยความประหลาดใจ เย็นชาราวกับหิมะที่หนาวเย็นบนยอดเขา
สูงเกินเอื้อม และล้ำค่าเกินกว่าจะบรรยายได้!
จิตสังหารอันเย็นยะเยือกและกระบี่สะท้านสวรรค์นั้นทําให้ผู้คนตกตะลึง!
สิ่งที่ยากที่จะจินตนาการได้ก็คือชายผู้นี้เป็นเพียงจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่จักรพรรดิยอดยุทธ์แข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ มันไม่น่าเชื่อเลย
เย่เฉินคิดว่าการโจมตีอันทรงพลังที่เหมือนกับดอกบัวเพลิงที่เบ่งบานของนายท่านของตนแข็งแกร่งมากแล้ว ตอนนี้ยังได้พบกับกู้ไป๋อีที่ไม่ธรรมดายิ่งกว่าอีก
มู่เฉียนซีรีบบรรจุยาในหม้อยาและยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าทําสําเร็จแล้ว”
ชิงมู่กล่าว “พรสวรรค์ของนายท่านและความเข้าใจในยานั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าหากว่านายข้ารู้ว่านายท่านทํายาแก้พิษนี้สําเร็จแล้ว จะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ได้เห็นว่าสนามรบที่เดิมที่วุ่นวาย กลับเงียบสงัดลง
นางเห็นเงาร่างสูงสีขาวร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้านาง
ในมือของเขาถือกระบี่ยาวสีฟ้าเงินและด้านหน้าของเขามีร่องลึกและยาวมาก
เสี่ยวไป๋ใช้พลังทั้งหมดของเขากวัดแกว่งกระบี่ออกมาด้วยพลังอันน่าหวาดกลัว
หากเป็นระดับมหาจักรพรรดิที่กวัดแกว่งกระบี่เล่มนี้ออกมา ก็นับว่าสมเหตุสมผล แต่ความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้เป็นเพียงจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น
ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมทุกคนถึงตกใจจนอ้าปากค้าง มู่เฉียนซีส่งขวดยาให้กู้ไป๋อี
“เมื่อครู่ใช้พลังไปไม่น้อย กินยาขวดนี้ไปให้หมดเพื่อฟื้นฟูก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเราจะต้องทําเรื่องสำคัญ” มู่เฉียนซีกล่าว
“อื้ม!” กู้ไป๋อีกินยาเข้าไป และพลังลมปราณก็ได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งของเขาถึงจุดสูงสุดแล้ว และสถานะตัวตนของเขาก็ไม่ได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดังนั้นเขาย่อมได้ใช้ยาที่ดีที่สุด
แต่หลังจากที่ได้เห็นยาของนางแล้ว ก็พบว่ายาที่เคยใช้ก่อนหน้านี้กลับมีประสิทธิภาพที่ย่ำแย่ยิ่งนัก
มู่เฉียนซีส่งเข็มยาให้กู้ไป๋อี “เอาเข็มเหล่านี้แทงเข้าไปในร่างของสัตว์พิษพวกนั้น และลองดูผลลัพธ์”
“อื้ม!” กู้ไป๋อี้พยักหน้ารับ
“ข้าไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องการต่อสู้และความเร็วของเจ้าแล้ว แต่ก็ต้องระวังให้มาก!”
“คุณหนูใหญ่ เจ้าเองก็ต้องระวังด้วย!”
“อื้ม!”
พวกเขาทั้งสองแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วนและพุ่งออกไปสองทิศทาง
มู่เฉียนซีขยับมือเบา ๆ เข็มยาหลายเล่มก็พุ่งไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดของสัตว์พิษเหล่านั้น
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
เข็มยาเจาะไปที่ผิวหนังของพวกมันและยาก็ได้ถูกรวมเข้าไปในเลือดเนื้อของพวกมัน
พิษในร่างกายของพวกมันเริ่มปะทะกันอย่างรุนแรง ทําให้สัตว์พิษเหล่านี้ไม่สามารถทําร้ายใครได้อีก
ปัง ปัง ปัง!
หลังจากนั้นไม่นาน สัตว์พิษเหล่านี้ก็ล้มลงกับพื้น
ปัง ปัง ปัง!
ฝั่งของกู้ไป๋อีก็ดําเนินไปอย่างราบรื่น
เมื่อเจ้าเมืองเหลยเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวล้มลง เขาก็ตกตะลึงเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น? ทําไมสัตว์พิษเหล่านี้ถึงล้มลง?”
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”
เจ้าเมืองเหลยคิดได้ถึงร่างสองร่างนั่น “เป็นพวกเขาหรือ? มันต้องเป็นเพราะพวกเขาทํากลอุบายอะไรแน่?”
เจ้าเมืองเหลยกล่าวอย่างมีจิตสังหารว่า “ฆ่าพวกมันเดี๋ยวนี้ อย่าให้เหลือชีวิตรอดเด็ดขาด!”
“ขอรับ!”
การคงอยู่ของมู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขามากกว่าคนอื่น ๆ ในเมืองเหยียน
นอกจากเจ้าเมืองเหลยแล้ว ยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิอีกสองคนก็ได้พุ่งไปทางกู้ไป๋อีกับมู่เฉียนซี ในขณะเดียวกันก็ได้นำจักรพรรดิแห่งภูตขั้นสูงจำนวนมากไปด้วย ใช้กระบวนทัพเช่นนี้เพียงเพื่อจะจัดการกับระดับจักรพรรดิขั้นต่ำเพียงสองคนเท่านั้น!