กู้ไป๋อีผลักประตูออกไป นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นมู่เฉียนซีกำลังกดทับอยู่บนร่างของชายผู้หนึ่ง เส้นผมหนาดำขลับของชายผู้นั้นสยายอยู่บนพื้นอย่างมีเสน่ห์ ใบหน้าที่งดงามอย่างไร้ที่เปรียบนั้นสามารถทำให้สีสันของใต้หล้านี้ดูจืดชืดลงได้ก็มิปาน
ต่อให้เป็นเขา เมื่อเปรียบเทียบกับคนผู้นี้แล้วก็ดูธรรมดาลงทันที คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?
นึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าบุกเข้ามาในนี้ จิ่วเยี่ยหันไป ดวงตาอันเย็นยะเยือกคู่นั้นมองไปที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงประตู
ชายชุดขาวผู้หนึ่งที่ดูเย็นยะเยือกประดุจหิมะอันแสนหนาวเหน็บที่อยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาหิมะ
ทั้งสองจ้องตากัน และมู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิในห้องของตนเองนั้นพลันเปลี่ยนเป็นติดลบกว่าสิบองศาแล้ว
จิตสังหารของจิ่วเยี่ยนั้นนางคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง!
ส่วนกู้ไป๋อีก็ดูเหมือนจะเย็นชากว่าเมื่อก่อนมาก
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เขาไม่ใช่ศัตรู”
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของกู้ไป๋อี จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ พยักหน้า “ขอรับ คุณหนูใหญ่!”
เสี่ยวไป๋!
คุณหนูใหญ่!
คำเรียกขานของทั้งสองทำให้จิตสังหารของจิ่วเยี่ยนั้นลดลงไปมาก แต่ก็ไม่ได้ลดลงจนจางหายไป
มู่เฉียนซีออกแรงกดทับเขาและกล่าวว่า “อย่าขยับ”
“ตรวจชีพจร ตรวจเลือด ตรวจร่างกาย ต้องตรวจทุกอย่าง ขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว”
“ข้าเชื่อฟังเจ้า” จิ่วเยี่ยพยักหน้าเบา ๆ
มู่เฉียนซียังตรวจทุกอย่างไม่ทันเสร็จ จิ่วเยี่ยก็อยากจะเปลี่ยนตัวเองจากฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุก แต่สุดท้ายเขาก็อาศัยความอดทนของเขาเพื่ออดกลั้นเอาไว้
“เรียบร้อยแล้ว!” ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ปล่อยเขา
จิ่วเยี่ยกล่าว “ข้าเชื่อฟังซีทุกอย่าง ซีจะให้รางวัลข้าใช่หรือไม่?”
“รางวัล เจ้ายังจะต้องการรางวัลอีกเหรอ ข้าสูญเสียพลังไปตั้งเยอะกว่าจะปราบเจ้าได้ มิเช่นนั้นเจ้าคงจะไม่เชื่อฟังข้าเช่นนี้หรอก นี่ยังคิดจะเอารางวัลจากข้าอีก” มู่เฉียนซีไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ข้าก็แค่…อยาก!” ใบหน้าอันงดงามอย่างไร้ที่เปรียบของจิ่วเยี่ยที่ยื่นเข้าไปใกล้มู่เฉียนซีนั้นช่างยั่วยวนเป็นอย่างยิ่ง
“ซีอยากจะให้ข้าเอารางวัลเองหรือไม่ล่ะ?” จิ่วเยี่ยกล่าวถาม
หากให้เขาเอารางวัลเอง จะต้องไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งเป็นแน่
มู่เฉียนซีโน้มตัวเข้ามาใกล้และใช้ปากประกบที่ริมฝีปากเขา นางเพียงแค่ลิ้มรสเบา ๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจิ่วเยี่ยจะค่อย ๆ ปล่อยตัวนาง
มู่เฉียนซีกล่าว “เรื่องการฝึกบำเพ็ญเอาไว้ก่อน ข้าจะไปห้องปรุงยาเพื่อดูอาการของเจ้าก่อน”
มู่เฉียนซีรีบวิ่งไปที่ห้องปรุงยาของจวนเจ้าเมืองเมืองเหลยอย่างเร่งรีบ และหลังจากที่ได้วิเคราะห์นางก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อน คำสาปในร่างกายของจิ่วเยี่ยนั้นทำให้เขาเกิดความต้องการเข่นฆ่าอย่างกระหายเลือด แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น…
ความปรารถนาอีกอย่างหนึ่งค่อย ๆ ครอบงำเขาไปมากแล้ว
คำสาปนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้น มิน่าล่ะ เหตุใดสุ่ยจิงอิ๋งถึงได้หวาดกลัวจิ่วเยี่ยถึงเพียงนั้น
มู่เฉียนซีอยากจะปลุกนิรันดร์ให้ตื่นขึ้นมา แต่ปลุกเช่นไรนิรันดร์ก็ไม่ตื่น ครั้นแล้วนางจึงปรุงยาที่เคยปรุงในครั้งก่อนออกมาหลายชุด จากนั้นก็กลับไปหาจิ่วเยี่ย
นางเงยหน้ามองดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้น และกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ข้ารู้แล้วว่าคำสาปในร่างกายของเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง เหตุใดเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้มันจะไม่ได้ผลมากนัก แต่เจ้าก็ดื่มมันเข้าไปก่อนเถอะ!”
จิ่วเยี่ยดื่มยาที่มู่เฉียนซียื่นให้จนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว จากนั้นเขาก็กล่าวถามว่า “อยากฝึกทักษะโยวหลัวเมื่อไหร่?”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ตอนนี้พลังวิญญาณของข้าก็แค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามเท่านั้น ข้าจะฝึกได้หรือไม่?”
“รากฐานของเจ้ามั่นคง ก็น่าจะฝึกได้แล้ว” จิ่วเยี่ยกล่าว
“เช่นนั้นวันพรุ่งก็ได้ วันนี้ดึกมากแล้ว ควรจะพักผ่อนได้แล้ว”
“วันพรุ่ง!”
“หรือว่าเจ้าอยากสอนให้เสร็จคืนนี้แล้วรีบกลับไป?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าว
“หากเจ้าอยู่กับข้าที่นี่ ทั้งเจ้าทั้งข้าก็ล้วนแต่เป็นอันตรายมาก แต่หากว่า…” ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น นางจับเขาและกล่าวว่า “เรามาช่วยกันคิดหาทางแก้เป็นเช่นไร?”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ เขากล่าว “ข้าเห็นซีแล้วข้าจะสูญเสียการควบคุม ซีไม่กลัวเหรอ?”
“กลัวสิ มีสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกลืนกินได้ทุกเวลาเช่นนี้อยู่ข้างกาย ใครไม่กลัวบ้างล่ะ แต่เจ้าได้มอบสุ่ยจิงอิ๋งผู้พิทักษ์นิรันดร์เอาไว้ให้ข้าแล้ว ข้ายังต้องกลัวอันใดอีก”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวอย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
ท่าทีการตอบโต้ทั้งสองของมู่เฉียนซีทำให้จิ่วเยี่ยไม่พูดอันใดออกมา
เขาอุ้มมู่เฉียนซีขึ้นและกล่าวว่า “อืม! พักผ่อนเถอะ!”
การพักผ่อนในค่ำคืนนี้ จิ่วเยี่ยพักผ่อนจริง ๆ
เขารู้ดีว่าหากเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ผลลัพธ์จากการที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ก็คือถูกสุ่ยจิงอิ๋งส่งตัวกลับไป
ทำได้เพียงแค่มองซีอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่อยากจะจากนางไปเร็ว และ…
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกพลันลึกซึ้งดุจดั่งมหาสมุทร
เช้าวันต่อมา มู่เฉียนซีไม่ได้ตามกู้ไป๋อีมาฝึกกระบี่
จากนั้นกู้ไป๋อีก็คิดถึงเรื่องเมื่อวาน นางได้เรียนรู้และทำมันสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาสอนอันใดแล้ว
เขาเดินมาถึงหน้าห้องมู่เฉียนซี คนที่อยู่ในห้องจนตอนนี้แล้วก็ยังไม่ออกมา
ชายหญิงอยู่ในห้องกันสองต่อสองเช่นนี้ กู้ไป๋อีรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
เอี๊ยด!
ประตูห้องถูกเปิดออก ร่างชุดดำร่างหนึ่งเดินออกมา
หน้ากากปีศาจสีดำได้บดบังใบหน้าอันงดงามอย่างไร้ที่เปรียบนั้นไว้แล้ว
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้น ช่างเย็นยะเยือกเป็นอย่างยิ่ง
กู้ไป๋อีมองดูชายผู้อันตรายผู้นี้และกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร?”
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าจะเป็นใครนั้น ซีรู้ก็พอแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้ แต่ว่า…”
กู้ไป๋อีรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวเขา ตราบใดที่คนผู้นี้คิดจะฆ่าเขา เขาก็มีโอกาสตายตรงนี้ได้ตลอดเวลา
กู้ไป๋อีรู้สึกกระทั่งว่า ต่อให้พลังความแข็งแกร่งของเขาฟื้นฟูกลับมาถึงขั้นสูงสุดแล้ว เขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของชายผู้นี้ได้
นี่คือสัญชาตญาณของเขา!
“ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ซีเป็นผู้หญิงของข้า ตลอดไป!”
น้ำเสียงที่แข็งกระด้างและเย็นชานี้ทำให้กู้ไป๋อีตกใจสะดุ้งขึ้น
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าเป็นเพียงแค่ลูกน้องข้างกายคุณหนูใหญ่เท่านั้น เหตุใดท่านถึงต้องกล่าววาจามากความเช่นนี้ด้วย”
เมื่อเผชิญหน้ากับจิ่วเยี่ยผู้น่ากลัวผู้นี้ กู้ไป๋อียังคงสุขุมเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
จิ่วเยี่ยเองก็ดูออกว่าชายผู้นี้สูงศักดิ์ไม่ธรรมดาและดูขวางหูขวางตามากกว่าทุกคนที่เคยเจอมา
“กล่าววาจามากความ เจ้าคิดเช่นนี้เหรอ?” แววตานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ทว่ากู้ไป๋อีไม่ใช่คนธรรมดา เขากล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “ในเมื่อท่านกลัว เหตุใดถึงไม่ฆ่าข้าซะล่ะ”
“ต่อให้พลังของเจ้าถึงขั้นสูงสุด ก็ไม่มีค่าพอที่จะให้ข้าลงมือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าผู้ที่พลังความแข็งแกร่งถดถอยลงเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ควรค่าที่จะให้ข้าลงมือ”
กู้ไปอีตกใจสะดุ้งเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่ามองแค่แวบเดียวชายผู้นี้ก็รู้ได้ว่าพลังของเขาถดถอยลง
“ต่อให้ท่านจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากท่านคิดที่จะทำร้ายคุณหนูใหญ่แล้วละก็ ข้าไม่มีวันปล่อยท่านไปแน่” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชา
“ข้า เป็นคนที่คิดอยากปกป้องนางมากกว่าผู้ใด!”
ปัง!
ในตอนนี้เองมู่เฉียนซีก็เปิดประตูออกมา และเห็นทั้งสองยืนอยู่หน้าห้อง
มู่เฉียนซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่พวกเจ้าทั้งสองไม่ได้ต่อสู้กัน!”
“แต่ก็ใช่ พลังของเสี่ยวไป๋ยังไม่ฟื้นฟูกลับมา!” มู่เฉียนซีกล้ารับประกันว่าหากพลังขั้นสูงสุดของเสี่ยวไป๋ฟื้นฟูกลับมา ทั้งสองอาจจะต่อสู้กันไปนานแล้วก็ได้
แต่ตอนนี้พลังของเสี่ยวไป๋ยังห่างชั้นกับจิ่วเยี่ยมากนัก เสี่ยวไป๋ไม่อาจสู้จิ่วเยี่ยได้
แค่เพียงฝ่ามือเดียว จิ่วเยี่ยก็สามารถทำให้เสี่ยวไป๋กลายเป็นโครงกระดูกขาวได้ แต่เขาไม่มีทางลงมือด้วยความวู่วามแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ ให้คนเตรียมอาหารเช้าให้พร้อม เสร็จแล้วข้าจะฝึกฝนสักหน่อย รอให้ข้าฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ เจ้าเตรียมตัวพ่ายแพ้ได้เลย!”
กู้ไป๋อีกล่าว “ขอรับ!”
มู่เฉียนซีมองไปที่จิ่วเยี่ยที่ลมหายใจไม่คงที่ในตอนนี้ นางกล่าวถามว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”