มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าตกลง”
เฟิงหลิงอวิ๋น “คุณชายมู่ ไม่ใช่ว่าจะซื้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้เสี่ยวชีหรือ ? ไม่ดูอีกหน่อยรึ ? เจ้าคงจะไม่เอาเจ้าหมอนี่เป็นสัตว์พันธสัญญาของเสี่ยวชีหรอกกระมัง ?”
มู่เฉียนซีถาม “เสี่ยวชี ชอบเจ้าตัวนี้หรือไม่ ?”
เสี่ยวชีพยักหน้า “ชอบ ข้าชอบ”
มุมปากเฟิงหลิงอวิ๋นกระตุก เจ้าหมอนี่เชื่อฟังผู้เป็นนายท่านอย่างมาก ตัวเขาเองคงไม่สามารถกล่าวอะไรได้ โดยส่วนตัวนั้น เขาคิดว่านกน้อยตัวนี้ยังไม่ดีเท่านกยูงสามสีเลย
กลิ่นอายของนกสีดําตัวนี้อ่อนแอมาก มู่เฉียนซีทำให้มันเชื่องได้อย่างง่ายดาย หลังจากฝึกให้มันเชื่องเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็เตรียมพร้อมที่จะรักษามัน
มันพยายามดิ้นรนด้วยความกลัวเข็มยา มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เจ้ายังเป็นสัตว์วิญญาณอยู่หรือไม่ นี่เจ้ากลัวการฉีดยารึ ?”
“เปี๊ยว!” มันร้องออกมา ดวงตาของมันมองเสี่ยวชีประหนึ่งมีน้ำตาคลอเยี่ยงมนุษย์ ช่างน่าสงสารโดยแท้!
หลังจากถูกมู่เฉียนซีบังคับฉีดยาและกินยา เจ้านกตัวนี้ก็มีกำลังแข็งแกร่งขึ้นมา อู๋ตี้มองเจ้านกสีดำพลางกล่าวว่า “ไม่เลว… ไม่เลวเลยเจ้านกดำ เจ้ามีสายเลือดของสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังบริสุทธิ์อย่างมาก แต่ว่าข้านั้นไม่รู้ว่าเป็นสายเลือดของสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์หน้าโง่ตัวใด”
เสี่ยวหงพึมพําอยู่ข้างๆ “เหอะ ๆ ดูกล่าววาจาเข้าสิ อย่างกับเจ้าไม่ได้โง่”
อู๋ตี้โกรธกรุ่นทันที “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาบอกว่าข้าโง่ เจ้าต่างหากที่โง่ เจ้าโง่ เจ้าโง่!”
มู่เฉียนซีไม่สนคู่กัดทั้งสอง นางขมวดคิ้วครุ่นคิดขณะมองเจ้านกสีดำตัวนี้ ‘อืม… แม้แต่อู๋ตี้ยังกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเจ้านกสีดำนี่น่าจะไม่เลว แต่ถึงอย่างไร ข้าคิดว่าข้าก็ควรมอบทางเลือกให้แก่เสี่ยวชี’
“เสี่ยวชี เจ้าจะทําพันธสัญญากับมันหรือไม่ ?”
“ทำขอรับ”
นกสีดําตัวน้อยตัวนั้นเหมือนจะชอบเสี่ยวชีมาก มันเข้ากันได้ดีกับเสี่ยวชี เหมาะกับเสี่ยวชีอย่างมาก
เมื่อลงนามในสัญญาแล้ว ทันใดนั้นแสงสีดําก็พุ่งขึ้นสู่ท้องนภากว้าง ความแข็งแกร่งของนกสีดําตัวน้อยนั้นเพิ่มมากขึ้น ร่างกายเล็ก ๆ ของมันกลายเป็นร่างที่ขยายใหญ่อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ มันพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างาม
ในชั่วพริบตามันกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง… สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง… สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม!
ปีกสีดํากางเปิดออกราวกับว่ามันต้องการที่จะครอบคลุมท้องฟ้าของเมืองชางเฟิง
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่เจ้านกสีดำที่เวลานี้ไม่ใช่เจ้านกตัวน้อยแล้ว ทําให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออกระคนหวาดกลัว
“สวรรค์! เกิดอะไรขึ้น ? มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามอยู่เหนือท้องฟ้าเมืองชางเฟิง รีบแจ้งท่านเจ้าเมืองเร็วเข้า”
ผู้คนทั่วทั้งเมืองชางเฟิงตื่นตระหนกอย่างหาที่เปรียบมิได้ สัตว์วิญญาณระดับสามเทียบได้กับการมีอยู่ของจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูง เมืองชางเฟิงของพวกเขาดูภายนอกเหมือนจะไม่มีจักพรรดิแห่งภูตระดับสูง แล้วที่พวกเขาเห็นอยู่ในเวลานี้…?
ความกลัวแล่นเข้าครอบงำจิตใจของพวกเขา พวกเขาทราบดี หากนกตัวนี้ต้องการที่จะโจมตีเมืองชางเฟิง เมืองชางเฟิงของพวกเขาจะต้องพินาศอย่างแน่นอน
อู๋ตี้ลืมตาขึ้น มันกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “กะ… กลิ่นอายนี้ กลิ่นอายนี้เป็นของนกกระจอกแห่งความมืด โชคของเจ้านกนี่ไม่เลวเลย”
เสี่ยวหงคำรามดัง ‘ฮู่!’ อยู่ในลำคอก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเลิกคิดเช่นนั้นได้แล้ว เจ้านั่นแข็งแกร่งกว่าพวกเรา เจ้าไม่กลัวว่าพวกเราจะถูกนายท่านทอดทิ้งรึ ?”
อู๋ตี้ “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ? ข้าอู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานหนึ่งเดียวในใต้หล้า เจ้านกน้องใหม่ตัวนั้นเทียบไม่ได้กับขนแมวสักเส้นของข้าเสียด้วยซ้ำ หากมีใครที่จะต้องถูกทอดทิ้ง ก็คงเป็นเจ้านั่นแหละเจ้าหมูขี้เกียจ”
เสี่ยวหงกล่าวอย่างโมโห “ไร้สาระ ข้าผู้นี้เผาไหม้ทุกสิ่งให้มอดไหม้หมดสิ้นได้ ชื่อเสียงการฆ่าล้างผลาญของข้านั้นขจรขจายไปไกลถึง…”
“ถึงไหนเล่า ?” อู๋ตี้แกล้งถามขัดคอ มันคิดมาตลอดว่าเจ้าหมูเสี่ยวหงนั้นแสนประหลาด มันนั้นไม่เคยรู้ประวัติความเป็นมาของเสี่ยวหงเลย
เสี่ยวหงกล่าวอย่างบ้าคลั่ง “บัดซบ! ข้าเพียงแค่มีอารมณ์ร่วมกับที่เจ้ากล่าวพล่อย ๆ ไสหัวไปซะ!”
อู๋ตี้เสียดายเล็กน้อย มันลอบยิ้มอยู่ในใจ ‘ไม่พูดรึ ? หึ! สักวันข้าจะทำให้เจ้าต้องเผยธาตุแท้ออกมา’
เมื่อนกกระจอกแห่งความมืดกลับมา มันก็หายวับเข้าไปในมิติของเสี่ยวชี ทําให้ผู้คนหาร่องรอยของมันไม่เจอ
มู่เฉียนซียิ้มพึงพอใจ “ดีมากเสี่ยวชี เวลานี้เจ้ากับเจ้านกดำก็ได้ทำพันธสัญญากันแล้ว ร่างมันเป็นได้ทั้งใหญ่เล็ก ข้าก็วางใจได้เปลาะหนึ่ง แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถเอาชนะได้แต่ก็สามารถหนีได้ ข้าไม่ต้องกังวลเวลาเจ้าไปทําภารกิจแล้ว”
“อืม”
มู่เฉียนซี “ในช่วงครึ่งปีนี้ เจ้าไม่เพียงแต่จะต้องทําภารกิจให้สําเร็จราบรื่นเท่านั้น แต่ยังต้องมีชีวิตอยู่ให้ดีด้วยเข้าใจหรือไม่ ?”
“ขอรับ”
……
วันถัดมา เสี่ยวชีออกจากเมืองชางเฟิง นับตั้งแต่นี้ไปเขาจะกลายเป็นฝันร้ายของสํานักนอกของสำนักอวิ๋นเยียน มู่เฉียนซีนางอดทนมานานพอแล้ว ถึงเวลาที่จะเริ่มทยอยแก้แค้น
เวลาต่อมา เมื่อเฟิงหลิงอวิ๋นพบว่าเสี่ยวชีที่ไม่เคยห่างจากมู่เฉียนซีหายตัวไปแล้ว เขาจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มู่เฉียนซีบอกเขาว่าเสี่ยวชีไปทําเรื่องที่สําคัญ ๆ แต่ตำแหน่งบนแผนที่นั้นยังคงไม่มีข่าวคราวใด ๆ เลย
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเทือกเขาชีชงที่ใกล้กับเมืองชางเฟิง ทุกคนเล่าลือกันว่ามีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้น
มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์…! หรือจะเป็นหม้อเทพนิรันดร์ ?
ในพริบตานั้นมีผู้แข็งแกร่งโผล่มาไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีผู้อาวุโสที่เจ็ดแห่งสำนักอวิ๋นเยียนอยู่ด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีกลุ่มคนชุดขาวโผล่มาอีก ไม่ทันไรก็ได้เห็นผู้อาวุโสที่เจ็ดที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับผู้ใด ได้กระทำตนเป็นเหมือนดั่งเต่าก็มิปาน เขานั้นทำตัวระวังตนเป็นอย่างมาก
เขาได้รับข่าวที่น่าตกใจมาว่าคนเหล่านี้มาจากหุบเขาหมอเทวดาแห่งสํานักนิกายระดับสองอีกแห่งหนึ่งในทวีปเซี่ยโจว
สำนักนิกายระดับหนึ่งเป็นที่สนใจในทวีปเซี่ยโจวอยู่แล้ว แต่สำนักนิกายระดับสองนั้นยังห่างไกลจากพวกเขามากนัก
เนื่องจากมีข่าวมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ออกมา กลุ่มนักผจญภัยจํานวนมากในเมืองชางเฟิงจึงได้รับคําเชิญและยังมีรางวัลให้ แน่นอนว่ากองพลทหารของหลิงอวิ๋นก็ได้รับเชิญเช่นกัน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “คําขอที่สามที่ยังไม่ได้ใช้ วันนี้ใช้ได้พอดี ข้าอยากจะขอให้ผู้นำกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋นพาข้าเข้าร่วมภารกิจนี้”
เฟิงหลิงอวิ๋นค่อนข้างวางใจ เขานั้นไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของมู่ซีเพราะคิดว่ามู่ซีเอาชนะยอดฝีมือราชาแห่งภูตระดับหกได้ เขากล่าวว่า “ได้ แต่ต้องระวังและอยู่ข้าง ๆ ข้า”
“ตกลง”
พวกเขามาถึงหุบเขาหมอเทวดาแล้ว มู่เฉียนซีมาด้วยจิตใจมุ่งมั่น เจ้าสิ่งที่ผู้คนเรียกว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นั่นอาจเป็นหม้อเทพนิรันดร์ก็เป็นได้ แล้วนางจะปล่อยมันไปได้อย่างไรเล่า ?
พวกหุบเขาหมอเทวดาตามล่านางและไล่ล่าจวินโม่ซีเพื่อแย่งชิงหม้อเทพนิรันดร์กับนาง นางจะต้องทําลายพวกเขาให้สิ้นซาก
เวลานี้จวนเจ้าเมือง สํานักนอกของสำนักอวิ๋นเยียน หุบเขาหมอเทวดา กอปรกับกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋น กลุ่มนักผจญภัยเฮยฉี และอื่น ๆ ก็ได้เข้าสู่เทือกเขาชีชงแล้วเช่นกัน
เส้นทางในครั้งนี้ไม่ใช่เส้นทางปลอดภัยที่นักผจญภัยเคยมาสํารวจแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่เป็นเขตพื้นที่อันตรายที่ค่อนข้างพิเศษ
ทว่าถึงอย่างไรกลุ่มเหล่านี้ก็แข็งแกร่งมาก มีผู้อาวุโสที่เจ็ดของสํานักอวิ๋นเยียนแห่งสํานักนิกายระดับหนึ่ง ผู้ซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดระดับเก้าของจักรพรรดิแห่งภูต ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
แม้ว่าหลายกลุ่มจะร่วมมือกัน แต่ก็ไม่ล้ำเส้นกัน
โดยเฉพาะคนของหุบเขาหมอเทวดาที่หยิ่งยโสราวกับตนเป็นเทพเซียน พวกเขาเหล่านี้รักษาระยะห่างจากพวกคนอื่น ๆ ราวกับว่าพวกเขาได้กลิ่นลมหายใจของคนอื่น ๆ แล้วจะอาเจียน
ท่าทางเช่นนี้ทําให้คนอื่น ๆ ไม่พอใจอย่างมาก แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของชายชุดขาวเหล่านี้แต่ละคนเป็นถึงจักพรรดิแห่งภูตระดับสูง ทุกคนจึงไม่กล้ากล่าวอะไรออกมา
เฟิงหลิงอวิ๋นและมู่เฉียนซียืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบกัน
เฟิงหลิงอวิ๋น “มู่ซี เรื่องที่เจ้ากล่าวมาเมื่อครั้งก่อน คงไม่ใช่พวกเขาหรอกใช่หรือไม่ ?!”
มู่เฉียนซีพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ผู้นำหลิงอวิ๋น อย่าไปใกล้พวกเขาและอย่าไปยุ่งกับพวกเขาเด็ดขาดข้าขอเตือนไว้ก่อน”
มู่เฉียนซีเคยต่อสู้กับคนของหุบเขาหมอเทวดามาแล้วถึงสองครั้ง แน่นอนนางรู้จักพวกเขาดี
พวกเขามาจากหุบเขาหมอเทวดาแห่งสํานักนิกายระดับสอง ผู้คนที่ต่ำกว่าสํานักนิกายระดับสองล้วนเป็นมดปลวกในสายตาของพวกเขา หากผู้ใดทำให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาสามารถฆ่าคนเหล่านั้นได้ตามใจชอบ
“อืม เช่นนั้นเจ้าเองก็ต้องระวังอย่าทําอะไรบุ่มบ่าม” เฟิงหลิงอวิ๋นกล่าว เขามองออกว่ามู่ซีเกลียดชายชุดขาวพวกนั้นมาก
มุมปากของมู่เฉียนซีโค้งขึ้นเล็กน้อย “แน่นอน ข้าจะไม่ทําอะไรบุ่มบ่าม”
ถ้าหากว่าจะทำ นั่นก็จะเป็นเวลาที่พวกคนของหุบเขาหมอเทวดาจะต้องตายกันทุกคน
.
Related